๏ แห่ผ้าขึ้นพระธาตุ..........เมืองนครฯ ศิลป-วัฒนธรรมสอน.........สั่งไว้ สั่งลูกสั่งหลานจร................จดว่า จักกลับมาแห่ไซร้..............ทราบถ้วนทั่วกัน ๚ ๏ วัฒนธรรมมากล้วน......ชื่นชม เป็นที่ชนนิยม...................ยิ่งล้ำ คุณค่ายิ่งสั่งสม..................มาแต่ บุราณเฮย หากเปรียบได้ดั่งค้ำ...........ค่าไว้คู่เมือง ๚ ๏ บรรพบรุษมอบให้...........สิ่งงาม เพื่อฝากลูกหลานตาม.........ติดต้อง กระทำอย่างมอบนาม..........เหนือค่า อณุรักษ์คุณค่าคล้อง............คู่ฟ้ามลายสูญ ๚๛
20 กุมภาพันธ์ 2548 16:29 น. - comment id 428330
ประเพณีการแห่ผ้าขึ้นธาตุ ทำกันมาแต่ครั้งใดนั้น ไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่ปรากฎว่าในสมัยร.2 ได้กระทำกันในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 หรือ วันวิสาขบูชาทุกปี.. ต่อมาในสมัย ร.4 ได้กำหนดประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุเพิ่มเป็น 2 วัน คือ นอกจากวันวิสาขบูชาแล้ว ยังเพิ่มวันมาฆบูชาอีกวันหนึ่ง.. เรื่องเล่าเกี่ยวกับประเพณีนี้ ยาวหน่อยนะคะ เรื่องมีอยู่ว่า... ในสมัยโบราณประมาณปี พ.ศ.1773 ขณะที่กษัตริย์สามพี่น้อง คือ พระเจ้าศรีธรรมโศกราช พระเจ้าจันทรภาณุ และ พระเจ้าพงษาสุระ กำลังเตรียมการสมโภชพระบรมธาตุ ก็พอดีพระบฏ ซึ่งเป็นผ้าแถบใหญ่ยาวผืนหนึ่ง ถูกคลื่นซัดมาขึ้นที่ชายหาดอำเภอปากพนัง ชาวบ้านได้เก็บผ้านั้นไปซักทำความสะอาด แล้วถวายพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช พระองค์โปรดเกล้าให้ประกาศหาเจ้าของ จึงทรงทราบว่า ผู้เป็นเจ้าของคือ กลุ่มชาวพุทธประมาณร้อยคนที่เดินทางมาจากหงสาวดี เพื่อนำพระบฏไปบูชาพระพุทธบาทที่ลังกา ทว่าระหว่างทางที่เดินทางมากลางทะเลนั้นเกิดพายุเรือแตก มีผู้รอดชีวิตมาได้ราวสิบคนเท่านั้น พระเจ้าศรีธรรมโศกราชทรงเสนอให้นำพระบฏนั้นไปห่มองค์พระบรมธาตุ ผู้เป็นเจ้าของผ้าพระบฏก็อนุโมทนาด้วย จากนั้นชาวนครศรีธรรมราชก็ได้ถือปฏิบัติตามประเพณีมาจนถึงปัจจุบัน ก่อนถึงวันดังกล่าว ชาวนครศรีธรรมราชและจังหวัดใกล้เคียงจะพร้อมใจกันร่วมบริจาคทรัพย์ตามศรัทธา เพื่อนำเงินไปซื้อผ้ามาเย็บรวมกันเป็นผืนใหญ่ ครั้นถึงวันก็จะนำแถบผ้านั้นไปพันโอบรอบฐานองค์พระบรมธาตุเจดีย์ที่บรรจะพระบรมสารีริกธาตุ อันเป็นที่นับถือของชาวนครศรีธรรมราชและชาวใต้ทั้งมวล ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุนี้ น่าจะได้รับแบบปฏิบัติมาจากอินเดีย แฝงคติความเชื่อที่ว่า การสร้างบุญกุศลที่ให้ผลสัมฤทธิ์นั้น จะต้องปฏิบัติต่อพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า แม้พระพุทธองค์จะเสด็จสู่ปรินิพพานแล้ว การกราบไหว้บูชาสัญลักษณ์แทนพระองค์ เช่น เจดีย์ หรือ พระพุทธรูป ก็ให้ผลเสมือนได้กราบไหว้บูชาพระพุทธองค์ด้วยเช่นกัน ปัจจุบันผ้าพระบฏเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ที่เคยวาดภาพสีสันวิจิตรเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติลงบนผ้าหลากสี พร้อมทั้งประดับประดาด้วยลูกปัดสีและดอกไม้สวยงาม ก็เหลือเพียงผ้าพื้น 3 สี คือ สีขาว แดง และเหลือง ัภัตตาหารที่เคยแห่มาถวายพระพร้อมกันก็หายไป อีกทั้งขบวนแห่ก็ไม่เอิกเกริกพร้อมเพรียงกันเช่นแต่ก่อน พุทธศาสนิกชนต่างเตรียมผ้ากันมาเอง ใครจะแห่ผ้าขึ้นธาตุก่อนหลังก็แล้วแต่สะดวก เมื่อแห่ทักษิณาวัตรรอบพระบรมธาตุเจดีย์ครอบ 3 รอบแล้วก็นำผ้าเข้าสู่วิหารพระม้า หรือวิหารพระทรงม้า ในตอนนี้ผู้ร่วมในขบวนแห่จะส่งตัวแทนเพียง 3-4 คน สมทบไปกับเจ้าหน้าที่ของวัด เพื่อนำผ้าพระบฏขึ้นไปล้อมองค์พระบรมธาตุเจดีย์ ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.trekkingthai.com/cgi-bin/webboard/generate.pl?board=kaoluang&content=0316
20 กุมภาพันธ์ 2548 17:15 น. - comment id 428369
มาชมการแห่ผ้า จดจำ เสริมส่งวัฒนธรรม อยู่ไว้ บุญหนุนช่วยกระทำ เผยแผ่ เพียงว่าศรัทธานั้น ค่าล้ำ จิตใจ ขอบคุณที่ช่วยเผยแผ่ ประเพณีชาวพุทธ ครับ
20 กุมภาพันธ์ 2548 21:11 น. - comment id 428453
ปีนี้ไม่ต้องฝากขนมมากับนายกวางทองนะจ๊ะ โดนอุ๊บอิ๊บ .. ไม่แบ่งเลย
20 กุมภาพันธ์ 2548 22:22 น. - comment id 428498
...ประวัติศาสตร์ก่อนนั้น....นานนัก ชนรุ่นหลังประจักษ์...........กล่าวอ้าง พระธาตุใหญ่เปรียบหลัก- ฐานยิ่ง ใครก่อหรือใครสร้าง..........น่าล้วนอัศจรรย์.... ........................สวัสดีครับ.....................