ใบไม้ต้นฤดู เดือนตุลา ๖
ม้าก้านกล้วย
สิบสี่ตุลาคมระงมร้อง
แข่งเสียงก้องของกระสุนที่รุนไล่
แข่งกับแสงโชนร้อนของฟอนไฟ
ที่ลุกไหม้ขึ้นมาจลาลจ
วุ่นวายเมืองสถุลมันวุ่นว่อน
กัดกร่อนใบไม้ล้าโกลาหล
เลือดกูเลือดเพื่อนมันเปื้อนปน
ด่าก่นทรราชอย่างอาจหาญ
ใบไม้หนึ่งล้มลงยังคงมี
ใบไม้สี่ห้าใบไปต่อต้าน
ใบไม้สิบใบทุกข์โดนรุกราน
ใบไม้หาญร้อยใบไปทดแทน
น้ำตาโศกหลอมโรยโปรยประดัง
น้ำตาคลั่งหลั่งหล่นอย่างข้นแค้น
น้ำตาบ้ากล้ารุกปลุกคั่งแค่น
น้ำตาแสนล้านหยดรดแผ่นดิน
จนอาฆาตมาตรร้ายไปทั้งบาง
มากวาดล้างมารร้ายออกไปสิ้น
รุกไล่ผู้ทุรชนพ้นแผ่นดิน
ด้วยบ้าบิ่นด้วยโกรธาด้วยอาวุธ
มิคสัญญีไร้ใครปกป้อง
กูจะต้องเข่นฆ่ามึงถึงที่สุด
เลือดล้างเลือดตาต่อตาท้าประยุทธ
ไม่สิ้นสุดแรงประหัตขัดอารมณ์
๑๔ ตค.
เหตุการณ์ล่วงเลยมาจนถึงวันใหม่แล้ว พลังมวลชนทั้งหมดทั้งหิว ทั้งเหนื่อยอ่อนแทบขาดใจ ทั้งหมดหวังพึ่งองค์พระประมุข พากันนั่งอยู่ที่หน้าประตูวังอย่างสงบ ตีหนึ่ง..ตีสอง..ตีสาม..ตีสี่แล้ว หลายคนนอนหลับสลบไสล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้ตัวแทนนักศึกษาเข้าพบ และทรงรับสั่งกับตัวแทนด้วยพระเมตตา และทุกคนเมื่อได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้องก็เตรียมตัวแยกย้ายกันกลับบ้าน.
.อาศัยความมืดมิดปกคลุม อาศัยความอ่อนล้าของพลังหนุ่มสาวที่ตรากตรำมาตลอดหลายวัน อาศัยมวลชนที่กระเซ็นออกมาจากกลุ่มใหญ่แล้ว กำลังเจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งได้ระดมตีผู้ชุมนุมประท้วงด้วยไม้กระบอง หลายคนบาดเจ็บ และมีหลายคนเสียชีวิตที่นี่ เลือดของวีรชนหลั่งไหลอยู่ที่หน้าวังสวนจิตรนี่เอง
ข่าวการปะทะมาถึงมวลชนกลุ่มหนึ่งที่ยังไม่สลายตัวในตอนเช้า พวกที่กระเซ็นกระสายมาเล่าเหตุการณ์ที่ทหาร ตำรวจไล่เข่นฆ่าประชาชนให้ผู้ประท้วงกลุ่มใหญ่ทราบ มีการนัดรวมพลกันอีกครั้งที่บริเวณลานพระรูปทรงม้า แล้วกระจายกันออกทำลายสิ่งที่เห็นว่าเป็นของอำนาจรัฐอย่างบ้าคลั่ง
พลังอีกส่วนหนึ่งที่รวมกันอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ถูกโอบล้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ที่มีอาวุธครบมือ การปะทะอีกส่วนหนึ่งเกิดขึ้นที่นี่ พวกที่อยู่ภายนอกก็กรูกันไปที่สน.ชนะสงคราม บางคนตะโกนให้เผาซะ เพราะตำรวจที่นี่เป็นผู้เปิดฉากตีผู้ประท้วง แต่ประชาชนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงได้ขอร้องไว้ เพราะเกรงว่าเปลวเพลิงจะลามไปก่อความเสียหายให้บ้านที่อยู่ข้างเคียง
เวลาเช้าตรู่ของวันนั้น พลังมวลชนที่ถูกควบคุมอย่างมีแบบแผนได้สลายไปแล้ว กลายเป็นกลุ่มย่อยที่รวมตัวกันไม่ติด ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างทำ ไม่มีผู้นำเด็ดขาด เห็นตำรวจ ทหารที่ไหนก็ถือเป็นศัตรูไปหมด ส่วนหนึ่งบุกไปที่กรมประชาสัมพันธ์ เพราะเป็นแหล่งข่าวของทางการ หน่วยกล้าตายส่วนหนึ่งบุกเข้าไปเผาอาคารของกรมประชาสัมพันธ์ และเผากรมสรรพากรที่อยู่ใกล้เคียง ข้าราชการข้างในหลายคนติดอยู่ในกองเพลิงออกมาไม่ได้ มีบางคนปีนออกมาทางหน้าต่างแล้วกระโดดจากชั้นบนลงมา เขาพวกนั้นตายด้วยและได้รับการขนานนามว่า วีรชน เช่นกัน
เผากองสลากเลย มันเป็นตัวมอมเมาประชาชน มีเสียงชายคนหนึ่งตะโกนขึ้น แล้วอีกหลายคนก็เฮโลไปที่กองสลากกินแบ่งที่ถนนราชดำเนิน
รถเมล์หลายคันถูกเผาทำลาย อีกหลายคันถูกยึดเป็นพาหนะของผู้ประท้วง อาวุธของผู้ประท้วงเป็นมีด และไม้ และเหล็ก มีปืนสั้นบ้างแต่ไม่มากนัก ส่วนหนึ่งยึดมาจากตำรวจที่บาดเจ็บและยอมจำนน
สถานการณ์ลุกลามไปเป็นจราจลทั่วกรุงเทพฯ ตำรวจที่อยู่ตามโรงพักต่างถอดเครื่องแบบออกและปลอมเป็นประชาชน สถานที่ราชการและแม้แต่เสาไฟจราจรตามสี่แยกถูกผู้ประท้วงทำลายอย่างบ้าคลั่ง ..ไม่ใช่ต้องการเรียกร้องประชาธิปไตยแล้ว จากนี้ไปเป็นการกระทำเพื่อล้างแค้นให้ตายกันไปข้างหนึ่งเท่านั้น..
คืนวันนั้น จอมพลทั้งสองคนประกาศลาออก รวมทั้งคณะรัฐบาลด้วย เพราะพลอ.กฤษ สีวรา และพลออ.ทวี จุลละทรัพย์ ผู้บัญชาการทหารบกและทหารอากาศ คุยกับจอมพลทั้งสองที่สวนรื่น ชักแม่น้ำทั้ง ๕ รวมทั้งเรื่องสุมาอี้และพระเจ้าตากตอนเสียกรุงให้ฟัง (นี่เป็นเรื่องจริง) แต่พต.ณรงค์ ไม่ยอมจำนน ยังโลดแล่นออกฆ่าผู้ประท้วงแบบตาต่อตาด้วยกำลังจำนวนหนึ่ง
วันที่ ๑๕ ตค.
แม้ว่าจอมพลทั้งสองจะลาออกจากตำแหน่งในคณะรัฐบาลแล้ว แต่ตำแหน่งทางการที่เป็นผบ.สูงสุด และอธิบดีกรมตำรวจ ยังอยู่ ยังคิดจะกลับมาครองอำนาจอีก ยังมีการปะทะกันอยู่ทั่วไป ทั้งที่กองกำลังตำตรวจนครบาล และกรมโยธาธิการ พวกที่อยู่ในธรรมศาสตร์และถูกปิดล้อมถูกกระสุนปืนที่ยิงจากเฮลิคอปเตอร์ บาดเจ็บและล้มตายจำนวนมาก เมื่อเห็นว่ากองบัญชาการตำรวจนครบาลรักษาไว้ไม่ได้และถูกเผา ทรราชทั้งสามจึงหนีออกจากประเทศไทยเมื่อเวลา ๑๖.๑๓ น.
หลังจากทีวีและวิทยุแพร่กระจายข่าวนี้ออกไป การจราจลก็สงบลงทันที เสียงไชโยโห่ร้องดังให้ได้ยินทั่วไปในตามกรุงเทพฯ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีรับสั่งถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า..เป็นวันมหาวิปโยคของชาวไทย และได้พระราชทานคณะรัฐมนตรี และให้มีการร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญเพื่อขอทูนเกล้าฯ ในโอกาสต่อไป