กาละแห่งคะนึง ๑ ใบไม้ปลิดขั้วพลิ้วปลิวไหวว่อน สื่อสะท้อนความบางที่เบาไหว หากชีพหนี่งไร้หลักพักพิงใด ก็คล้ายใบไม้พลิ้วปลิวตามลม ๒ ณพุ่มพฤกษ์วสันต์พรูดูเขียวสด ชุ่มฉ่ำรดใบบางอย่างเหมาะสม ลำเลียงแร่จากดินถิ่นอุดม คอยประคบประหงมใบไม้เยาว์ ๓ ได้แสงแดดอย่างเหมาะสังเคราะห์แสง เสริมก้านแกร่งเร่งขยายผิวใบเก่า จนวันผ่านเอิบอิ่มยิ่งพริ้มเพรา สีเขียวเคล้าประกายเข้มโตเต็มใบ ๔ แล้วสัจจะนิรันดร์ก็พลันเผย ใบไม้เอย...เขียวเด่นเป็นเหลืองไหม้ เคยทะนงสูงล้ำค้ำฟ้าไกล ก็ปลิดใบลอยคว่ำต่ำสุดดิน ๕ นี่หละหนอ...ชีวิต...พินิจเถิด การก่อเกิดผันแปรแค่ดับสิ้น เพียงรู้ทุกข์รู้ธรรมนำชีวิน ก็รู้สิ้นรู้ชัด...อนัตตา
11 ธันวาคม 2552 10:18 น. - comment id 1072841
ขอนุญาตแจมครับ กลอนคุณงามคำ และคมนัก ใบไม้ร่วง ยังห่วงต้น หล่นคลุมพื้น ให่ชุ่มชื่น พวกพิง อิงอาศัย เป็นปุ๋ยดิน เลี้ยงหล่อ ก่อกิ่งใบ อนาถใจ แล้วคนเรา เอาไหนเอย....
11 ธันวาคม 2552 13:55 น. - comment id 1072896
นี่หละหนอ...ชีวิต...พินิจเถิด การก่อเกิดผันแปรแค่ดับสิ้น เพียงรู้ทุกข์รู้ธรรมนำชีวิน ก็รู้สิ้นรู้ชัด...อนัตตา """"""""""" มาอ่านกลอนเตือนใจไม่ให้ประมาทครับ
11 ธันวาคม 2552 21:23 น. - comment id 1073061
งามจริง ๆ ครับ คมทั้งคำคมทั้งความ
11 ธันวาคม 2552 23:12 น. - comment id 1073129
แวะมาเยือนบทกลอนแห่งชีวิตที่นับวันจะร่วงตามวัย สังขาร
12 ธันวาคม 2552 21:15 น. - comment id 1073356
ชอบบทกลอนของพี่มากเลยล่ะค่ะ เพราะมาก จะติดตามตอนต่อไปนะคะ
13 ธันวาคม 2552 03:31 น. - comment id 1073458
มนุษย์เอยเคยดิ้นถวิลหวัง โหมประดังฝังอยู่ดูหลงใหล เมื่อยามจากลากกรรมที่ทำไป ทุกสิ่งไซร้ใครแย่งดั่งแร้งกา