ครบเก้าเดือนอุ้มท้องเจ้าร้องไห้ ใคร?เจ็บเจียนขาดใจกลับไม่บ่น เลือดทั้งกายกลั่นไหลเป็นสายปน รักเข้มข้นพันผูกให้ลูกยา เมื่อผ่านวันผ่านเดือนหมุนเคลื่อนคล้อย เจ้าเด็กน้อยเริ่มมีแรงเริ่มแกร่งกล้า ค่อยสอนเดินสอนทำสอนคำจา สอนวิชาเรียนรู้ไว้คู่ใจ จากวันนั้นถึงวันนี้หลายปีผ่าน จนวันวารเปลี่ยนสู่วัยผู้ใหญ่ ส่งเรียนสูงศึกษามหาวิทยาลัย ได้อาศัยลูกแน่ยามแก่ชรา สู้อาบเหงื่อต่างน้ำทำงานหนัก เพื่อลูกรักได้ผ่านการศึกษา เล่าเรียนจบจนคว้าปริญญา แม่ภูมิใจลูกมีตราปัญญาชน มีครอบครัวอยู่เย็นเป็นฝั่งฝา คงหมดภาระใจไม่หมองหม่น ลูกคงมีความสุขไม่ทุกข์ทน แม่คนนี้ย่างเข้าแล้ววัยชรา... ถึงวันแม่แล้วลูกรัก.. อยากทายทักถามไถ่ได้พบหน้า สบายดีหรือเปล่าเจ้าลูกยา สื่อภาษาความรักจากหญิงนึง มีรูปถ่ายเก่าเก่าคลายเหงาบ้าง มีไอ้ด่างข้างกายคลายคิดถึง ภาพลูกน้อยผ่านวัยให้รำพึง เงียบหายซึ่งข่าวคราวเจ้ากลอยใจ นั่น...หญิงชรา แลนัยน์ตาหม่นหมองอยากร้องไห้ ฝากสายลมแสงดาวกล่าววอนไป ขอกลอยใจกลับคืนถิ่นก่อนสิ้นลม
17 กรกฎาคม 2552 22:52 น. - comment id 1015905
เำพราะมากค่ะ อ่านแล้วเศร้า คิดถึงแม่ ไม่ได้กลับบ้าน 4 ปีแล้วค่ะ
18 กรกฎาคม 2552 00:32 น. - comment id 1015963
เำพราะมากค่ะ อ่านแล้วเศร้า คิดถึงแม่ ไม่ได้กลับบ้าน 4 ปีแล้วค่ะ อนงค์นาง 17 ก.ค. 52 - 22:52 IP 24.185.230.248 สวัสดีครับ อนงค์นาง ไม่ได้กลับบ้านก็อย่าลืมโทรศัพท์มาหาแม่นะครับ ^ ^
18 กรกฎาคม 2552 06:58 น. - comment id 1015971
อ่านแล้วซึ้ง อยากร้องไห้จัง คิดถึงแม่ ที่จากไป ท่านเป็นพระในดวงใจลูกทั้งหกคน
18 กรกฎาคม 2552 13:58 น. - comment id 1016009
ลูกในสายตาของแม่ คือ... แก้วตา แก้วใจ หากลูกเจ็บช้ำ ให้แม่เป็นเองเสียดีกว่า จากหัวใจของผู้เป็นแม่ แม่ในสายตาของลูก คือ... ชีวิต สิ่งยึดเหนี่ยว ดวงใจ แค่วันนี้หากแม่ยังอยู่ เรา คงได้อุ่นใจ เพราะรู้ว่ามีคน ที่รักเรา หวังดีต่อเราเสมอ คอยเราอยู่ที่บ้าน ใครที่ยังมีแม่อยู่ โปรดหันไปมอง ดูแล รักท่านนะคะ
18 กรกฎาคม 2552 09:43 น. - comment id 1016014
คิดถึงแม่จัง เมื่อคืนยังฝันถึงอยู่ เช้ามาก็ได้อ่านกลอนเรื่องแม่
18 กรกฎาคม 2552 10:03 น. - comment id 1016021
แบมเพิ่งกลับไปหอมแก้มแม่เมื่อต้นเดือน ที่ผ่านมา แม่แก่ไปเยอะ 87 แล้วค่ะ แม่บอกว่า ใจแม่สู้แต่สังขารแม่ไม่ไหวแล้ว ขอแค่ได้ยินเสียงลูกๆทุกๆวัน ก็ต่ออายุให้แม่ได้อีกหลายปี อยากให้ลูกๆทุคนให้กำลังใจพ่อแม่ แม้ไม่มาก แต่ให้ทุกวันเพื่อนท่านจะได้มีพลัง อยู่กับลูกๆหลานๆไปนานค่ะ กลอนบทนี้ขอเก็บไว้อ่านด้วยนะคะ
18 กรกฎาคม 2552 10:21 น. - comment id 1016025
อยู่ไกลกันกับแม่ แต่ก็ได้คุยกันเกือบทุกวันค่ะ
18 กรกฎาคม 2552 11:27 น. - comment id 1016043
is where the heart is!! มอบมาลัยความดีแด่แม่นี้ด้วยดวงใจ! ภาพขององค์พระประมุขและพระบรมราชินีนาถ ที่เปรียบประดุจ เพชรน้ำงามที่ประดับใจ ประดับไทยทั้งชาตินั้น ตราตรึง อยู่ในใจเนิ่นนาน ... พระเสโทที่ทุ่มเท คือหยดน้ำเพชร งามบริสุทธิ์ใสเกินเพชรใดจะเทียมทัน หยดน้ำเพชรที่หยดพร่างลงกลางใจแก่พสกไทยผู้ทุกข์ทนยาก ในแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองนี้ที่เกิดมา และเพชรใดไหนเล่า จะเทียบเท่าและยิ่งใหญ่ เท่ากับรักนี้ ที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ได้ทรงมอบให้ แก่ไทยทั้งชาติด้วยหยาดน้ำพระทัยที่ใสเย็นฉ่ำ งามล้ำสูงค่าเกินรักใดในหล้าโลก พระแม่ขวัญมิ่งเมืองเปรียบประดุจดัง เพชร......หรือ...... อัญมณี.......... อัญมณีของชีวิต.....คือ จิต คือใจ คือวิญญาณ..... อัญมณี ของตัวตนของเรา ที่เราต้องแสวงหา อบรม ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา เพียงนั้นถึงจะได้มา ประดับกาย และดวงใจ ให้งามเลิศล้ำ คงทน ไม่มีวันที่ผู้ใดจะมาขโมยไปจากใจเราได้ ไม่ต้องห่วงหา พาใจให้วิตกกังวลว่าจะสูญหาย ไร้ร่องรอย แม้วันหนึ่งกายจำต้องลาลับกลับสู่ผืนดิน.. แม้เพชรน้ำงามที่ห่วงหาพาใจอาวรณ์ ร้อนรน เราก็ยังมิอาจนำพาไปในภพหน้า....... นอกเสียจากเพชรน้ำงามในใจดวงนี้ที่จะตามติดจิตวิญญาณ.. .ไปทุกภพทุกชาติ...... เพชรน้ำงาม...ดังน้ำใจที่ใสเย็นเช่นหยาดฝน... ดั่งน้ำค้าง...บริสุทธิ์ใส..ชื่นฉ่ำ...... พร่ำรินให้แก่ทุกดวงใจที่ยากไร้...... ยังประโยชน์มากมายให้แก่เพื่อนร่วมโลก.......... ดังน้ำพระทัยใสเย็น...ของสมเด็จย่า... พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้สพระบรมราชินีนาถ ตัวอย่างเพชรเลอล้ำค่าของคนไทยทั้งแผ่นดิน น้ำพระทัยงามยิ่งกว่าหยาดเพชร งามดังน้ำจากหยาดฟ้า ที่หยาดมาจากสวรรค์... เพื่อดับร้อนผ่อนเข็ญ ให้โลกนี้ร่มเย็นเป็นสุข.. เบาทุกข์ยาก...จากพสกนิกร........ หยาดพระเสโท..ทรงทุ่มเท คือหยดน้ำแห่งชีวิต ที่ทรงอุทิศเพื่อเป็นแบบอย่าง ให้มีผู้เจริญรอยตาม ตามถิ่นทุรกันดาร...ไกลแสน..... เพื่อแผ่นดินธรรม..แผ่นดินทอง....ของเรานี้หนา...... เวลาเป็นของมีค่า....พระราชดำรัสงามราวย้ำใจ.. ให้เร่งใฝ่ประกอบดี ประกอบงาม ประดับใจมิไหลหลง ไปตามโลกนี้ที่ยั่วยวน ชวนขาดสติ........เพียงภายนอก...... เพชรแสนดี คือการมีเวลาสร้างงามให้ก่อเกิดแก่ใจในตน และต่อทุกผู้ เพื่อสืบสานปณิธาณ...... ดังรากแก้วที่ต้องหยั่งรากฝังลึก ผนึกแน่นเติบใหญ่เป็นพันธุ์ไม้ให้ร่มเงารื่น แก่นกกาได้อาศัย....ยังชีพ ชีวิต....ที่เพียงกายสวยงาม.... ไว้ประดับเพียงเพชรพร่าง นั้นเปรียบดังชีวิตนี้ที่ยิ่งธุลีไร้ค่า....... อยากเกิดมา เป็นดั่งอัญมณี ที่มีค่าทั้งนอกใน ไม่ยากเลย.... ใจนะใจ...ของเรา....เลือกเอง..ลิขิตเอง... ประดับใจ ด้วยเพชรแห่งคุณงามความดี ที่เกิดมาดั่งผู้ให้ ไร้ร้องขอ รู้พอเพียง....... ดับร้อน ดับโลก ด้วยเย็นจากใจที่ใสงามราวหยาดรุ้ง เพื่อดำรงโลกให้สวยด้วยใจของผู้เสียสละ..... แบ่งปัน......แก่เพื่อนร่วมโลก ร่วมแผ่นดิน.... ดังบทเพลงนี้ที่ขอมอบให้......... แก่คนดีที่มีใจงามราวเพชรแท้ ที่มีเพียงหนึ่งในร้อย ในพัน ในล้าน.......... พราวแพรวอันดวงแก้วแวววาม สดสีงามหลายหลากมากนามนิยม นิลกาฬ มุกดา บุษราคัมคม น่าชมว่างามเหมาะสมดี เพชรน้ำหนึ่ง งามซึ้งพึงเป็นยอดมณี รุ่งโรจน์สดสี เพชรดีมี... หนึ่ง...ในร้อยดวง ความดีคนเรานี่ดีใด ดีน้ำใจ ที่ให้แก่คนทั้งปวง อภัย รู้แต่ให้ไปไม่หวง เจ็บทรวงหน่วงใจ ต้องรู้ทน รู้กลืนกล้ำ เลิศล้ำ ความเป็น ยอดคน ชื่นชอบตอบผล ร้อยคน มี....หนึ่ง...เท่านั้นเอย ..................................... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/poem37255.html คิดถึงบ้าน คิดถึงแม่! .................. ........................... คิดถึงบ้าน..คิดถึงแม่..... แม่.... ยอดหญิง ยอดงาม .... ที่ได้รับเกียรติให้เป็นคนดีศรีบ้านเกิด..ผืนดินแห่งศรัทธารักของเรา แม่.. ผู้หญิงร่างเล็ก บอบบาง แต่มีใจดวงงาม กว้างกว่ากว้าง ยิ่งกว่าทะเล... แม่.. สองมือหยาบกร้าน กรำงาน ดวงตาข้างหนึ่งเลือนลาง แต่ดวงใจกลับใสงาม อิ่มเต็มทั้งดวง.. พร้อมจะเคียงข้าง แบ่งปันน้ำใจรักนั้น ให้กับผู้คนและสังคมเล็กๆ..บ้านเกิดของเรา..มาตุภูมิของเรา... ยังจำได้...ในฤดูเดือนสิบสอง ที่น้ำทั้งในคลองและทะเลจะเจิ่งนองตลิ่ง พายุพัดแรงมาก จนยอดมะพร้าวไหวเอน ราวจะโค่นล้มตามแรงลม น้ำทะะลสูงเชยหาดซัดสาดดังโครมครืนๆ... ภาพเด็กผู้หญิงตัวน้อยๆค่อยๆช่วยแม่ลากรถเข็นมะพร้าวริมชายฝั่ง ด้วยดวงใจหวัง มิให้แม่เหน็ดเหนื่อยเพียงลำพัง ยอมแม้กระทั่งไปโรงเรียนสาย...เดินดายเดียว.. ภาพคุณย่าแสนรัก..ที่คอยประคับประคองทายาให้มือน้อยๆที่ถูกเชือกบาด จนมีเลือดไหลซิบๆ ..ที่บางครั้งแทบงอมือไม่ได้....เขียนหนังสือไม่ได้! ..................... ...................................
18 กรกฎาคม 2552 12:34 น. - comment id 1016065
แวะมาเยี่ยมเยียนและอ่านงานงามครับ รักเสมอ แก้วประเสริฐ.
18 กรกฎาคม 2552 14:09 น. - comment id 1016080
พระ ประเสริฐเลิศล้ำ....ในโลกา คุณ ยิ่งใหญ่เหลือคณา.....มั่นแท้ ของ สิ่งใดไหนหา......มาเอยปานเปรียบ แม่ ผู้กลั่นเลือดอกแน่ หล่อเลี้ยงเต็มอิ่ม ไม่มีท่านก็ไม่มีดอกบัวในวันนี้ แม้ท่านจะจากไปนานแสนนาน คุณนั้นยังคณานับมีได้ สวัสดีค่ะ คุณธันวันตรี คุณเขียนจนดอกบัวอ่านแล้วอยากร้องให้ เพราะดอกบัว ยังมิได้ตอบแทนพระคุณท่านเลยค่ะ ขอให้คุณดอย มีแต่ความสุขค่ะ
18 กรกฎาคม 2552 14:08 น. - comment id 1016081
อ่านแล้วสงสารแม่กับพ่อขึ้นมาจับใจเลยครับ เยี่ยมมากครับ
18 กรกฎาคม 2552 17:34 น. - comment id 1016136
ไม่มีใครรักลูกเท่ากับแม่และพ่อค่ะ...
19 กรกฎาคม 2552 12:59 น. - comment id 1016248
ความหมายในบทกวี สิ่งนี้เกิดขึ้นให้เห็นบ่อยๆค่ะ.. นึกถึงคำนี้ค่ะ " ลุกกี่คนๆ แม่ลี้ยงได้ แต่แม่คนเดียว ทำไมลุกดูแลแม่ไม่ได้" อ่านแล้วตระหนักในรักของแม่ค่ะ...
19 กรกฎาคม 2552 14:52 น. - comment id 1016278
ผมว่ามีอะไรหลายอย่างที่ยังนึกว่าแปลก ในความคิดของผม ผมเห็นคนหลายคน อายุก็มากแล้ว มีครอบครัว และมีลูก แต่ความเป็นแม่ ยังคงคอยห่วงใยต่อเราเสมอๆ แม่ต้องคอยบอกกล่าว ว่าสิ่งนี้ยังผิด สิ่งนี้ยังถูกตลอด... ความรักของแม่ที่มอบให้กับลูก ช่างเสมอต้นเสมอปลาย ถึงแม้ลูกๆ จะมีครอบครัว หน้าที่การงานแล้วก็ตาม ท่านยังคงรัก เอาใจใส่ และเป็นห่วงตลอด แต่ผมเชื่อว่า น้อยนักลูกจะคิดถึงแม่ ยิ่งเป็นผู้ชาย ยิ่งมีความผูกพันธ์น้อย...หมายถึงการแสดงออก ทำให้ผู้ชายส่วนใหญ่ คิดถึงพ่อและแม่น้อยมาก ยิ่งมีครอบครัวแล้ว ยิ่งมีน้อย....เท่าที่ผมเห็นมา หากลูกผู้ชายคนไหนมีความรักต่อแม่อย่างแท้จริง การแสดงออกก็จะต่างจากผู้ชายที่ผมกล่าวมา แต่ละปีจะต้องมีของสักอย่างให้แม่และพ่อได้ชื่นชม เป็นการ สักการบุชา หรือไม่ก็ขนมนมเนย เพื่อแสดงถึงความรัก และความเป็นห่วง ที่ผมพูดมาเช่นนี้ ผมมองภาพรวม...อาจเฉพาะสังคมรอบข้างที่ผมอาศัยอยู่ แต่ผมเข้าใจว่า แม่รักผมมากแค่ไหน...ในทุกๆ ครั้งที่คุยโทรศัพท์ แม่จะมีคำถามในลักษณะที่ว่า เป็นห่วง ตลอด ผมขอสรุปว่า แม้ลูกๆ ทุกคนจะเรียนสูงปานใด มีหน้าที่การศึกษาที่ดีแค่ไหน มีครอบครัวแสนจะสุขใจเท่าไร อิทธิพลของความรักที่แม่มีต่อลูกก็ยังมีมากๆพอกัน....ถ้าหากลูกเข้าใจความรู้สึกของแม่...
19 กรกฎาคม 2552 19:24 น. - comment id 1016390
เก่งจัง เก่งๆๆๆ เค้าไม่เป็นอ่ะ กลอน เป็นแต่ลูกบิด อิอิ ......
19 กรกฎาคม 2552 21:42 น. - comment id 1016483
ครูกระดาษทราย แก้วประภัสสร เพียงพลิ้ว พุดพัดชา แก้วประเสริฐ ปรางทิพย์ เอื้องคำ ดอกบัว white rose กิตติกานต์ กวีน้อยเจ้าสำราญ ฉางน้อย ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมเยียนครับ
20 กรกฎาคม 2552 14:35 น. - comment id 1016802
ใกล้วันแม่ลูกรักจักถวิล หอมรวยรินกลีบกลิ่นช่อบุปผา ร้อยเป็นพวงดวงมาลาน้อมบูชา ขอขมา...ลูกยา....ถ้าผิดไป ขอขอบพระคุณอย่างยิ่งที่ช่วยแนะนำข้อแก้ไข ในผลงาน..นี่คือผู้ซึ่งมีความจริงใจต่อกันแห่งเมืองน้ำหมึก หวังว่าโอกาสหน้าคงจะได้รับ ความอนุเคราะห์จากท่ากอีก สวัวดีครับ
20 กรกฎาคม 2552 15:19 น. - comment id 1016835
20 กรกฎาคม 2552 15:41 น. - comment id 1016847
หากได้อ่านเรื่อง น้ำนมสีแดง แหละนกกางเขน ของ บรมครูอังคาร นั้นจะทราบว่า มารดานั้นมีรังสีวิเศษอาบซ่าน คือรังสีแห่งรักที่แผ่ออกมาไม่มีวันหมด ยกมาวางประกอบไว้ให้รำลึกและซาบซึ้งครับ หัวข้อ : น้ำนมสีแดง ข้อความ : อังคาร กัลยาณพงศ์ แจ่มจันทร์เจ้าฉายแสงทอหน้าผา อาบสีเงินยวงอย่างวิเวกวังเวงจากฟากฟ้าพู้น ประกายดาราร่วงรุ่งเรียงรายลงดั่งสายพิณพิเศษ แม้มีหัตถ์ทิพย์แห่งความเป็นไปเอื้อมเลยจากเงื้อมผาขาวดีดสายพิณพิเศษนั้น ก็จะเป็นลำนำซับซ้อนมิติภพชาติ สะท้อนคลื่นกระแสกรรมไปหลายดาราจักร บรรยากาศสงบนิ่ง ชักชวนมวลอนูภาคแห่งเรณูหอมบุหงาลดามาลย์อันอ่อนหวานนั้น ลอยล่องตระหลบหอมลงตรงซอกหุบเหวลึก ระหว่างโตรกชะโงกเงื้อมง้ำ มีกระแสแควป่าคดเคี้ยวหลากไหลไปดั่งพญานาคราชร้ายพรายเกล็ดเหลือบสีกลางคืน ประกายเกล็ดประดับด้วยแสงดาวระยับวับวาว เลื้อยแล้วสงบนิ่งเล่ห์หลับไหล อยู่ใต้แสงเสี้ยวเดือนทองคำ คืออัจกลับแก้วของปฐพี ท่ามกลางป่าชัฏช้าอรัญญิกาลัยใหญ่กว้างอ้างว้างนั้นคลื่นแห่งเทือกขุนภูผาสลับซับซ้อน เสียงหมาป่าเห่าหอนโหยหวนอยู่ที่เงื้อมผาหนึ่งซึ่งสูงเสียดแสงดาว คลื่นเสียงหอนโหยหวนกระเพื่อมวงกังวานไปจนเวิ้งเทือกเขาลำเนาไม้ ค่อยค่อยจางหายแผ่วเบาละลายลงในละอองหมอกเมฆกลางคืนดึกดื่น เสียงสะอื้นเบาๆจากเงาของเจตภูติหนึ่งเรืองๆแสงสกาววาว กำลังทักษิณาวัฏฏ์รอบเงื้อมผาสูง บางรอบก็ห่างออกไป บางรอบก็ใกล้เข้ามาเกือบถึงหน้าผานั้น ประหนึ่งจะร้อยรัดไว้ด้วยอำนาจสายใยแห่งเสน่หาอาลัยไม่ขาด เสียงสามหมาป่าเห่าหอนโหยหวน เรียกหาแม่หมาป่าในวงเดือน แต่มันไม่สามารถมองเห็นเจตภูติ คือวาววิญาณหนึ่ง ซึ่งไหวๆระยับแสงสีนิลในรูปแม่หมาป่า เขี้ยวขาวราวแสงดาว แววตาวาวราวร้อนด้วยเปลวไฟ อันปรารถนามาไหม้หัวใจตัวเอง ให้วอดวายดับสลายลงตรงซอกเงื้อมผาป่าชัฏนั้น ย้อนหลังระลึกไปถึงวาระหนึ่ง ซึ่งรอนรอนแสงพระสุริยา อ้างว้างกลางป่าใหญ่ โพล้เพล้ลงรำไรเริ่มสนธยา แม่หมารีบลงมาตามไหลเขา กระทั่งถึงป่าโปร่ง ตั้งใจจะหาอาหารไปฝากลูกน้อยทั้งสามชีวิต ซึ่งรอคอยแม่อยู่ในโพรงใต้ซอกเงื้อมหินใหญ่ ณ หน้าผาสูงเสียดแสงดาว แต่ถึงคราวเคราะห์ร้าย บังเอญแม่หมาป่าพลาดพลั้งขาหลังข้างหนึ่งไปติดกับเหล็กของนายพรานไพรใจฉกรรจ์ นางอกสั่นขวัญหนีตกใจเป็นที่สุด จึ่งในนาทีอันคับขันนั้น นางตัดสินใจกัดขาตัวเองจนเข่าขาด อิสระเสรีหนีไปได้แต่เจ็บปวดแสนสาหัส เลือดไหลตลอดทาง รีบวิ่งเซซังมาหาลูกน้อย ในโพรงใต้แท่นหินใหญ่นั้น สามลูกหมาป่าดีใจ รุมล้อมแม่หมา ขออาหาร วิ่งเวียนซ้ายเวียนขวา รุมรอบมารดาด้วยสุดเสน่หาอาลัย แม่หมาสุดที่จะเจ็บปวดโซเซ เสียหลักล้มลงก็รีบกลับตัว อยู่ในท่าให้นมลูก จ้องมองลูกแล้วสลดใจ เสียงสั่นเครือบอกลูกหมาว่า "ลุกเอ๋ย คืนนี้แม่เหนื่อยเหลือเกินแล้ว ยังหาเหยื่อไม่ได้เลย แต่แม่ยังมีน้ำนมสีแดงเหลืออยู่ ถนอมไว้ให้ลูกทั้งสามเป็นพิเศษ แต่ต้องผลัดกันดูดดื่มทีละตัวตามลำดับ" ลูกหมาป่ายังไร้เดียงสา ตามประสาสัตว์มันจึงดูดเลือดจากบาดแผลขาหลังตรงเข่าขาดนั้น ด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นน้ำนมพิเศษ เหตุหิวจัดจึงดื่มจนอิ่มทั้งสามชีวิต กระทั่งแม่หมาสุดอ่อนเพลีย ชีพจรเต้นช้าลงเพราะสูญเสียเลือดมาก ลูกหมาตัวสุดท้ายถามแม่ว่า "ทำไมน้ำนมของแม่เป็นสีแดงและปนรสเนื้อหวาน ลูกไม่เคยกินเลย" "ลูกเอ๋ย นี่แหละน้ำนมมื้อสุดท้าย ที่แม่สะสมทะนุถนอมไว้ทั้งชีวิต บัดนี้ถึงเวลาแล้ว แม่ปรารถนาให้ลูกดื่มสิ้นทั้งหัวใจ" เสียงแม่หมาค่อยๆแผ่วเบาลง เมื่อสายเลือดจะเหือดหายหมดไปจากกาย สั่งลูกว่า "เลยสามวันไปแล้ว ถ้าแม่หลับไม่ตื่นฟื้นขึ้น ขอให้พวกเจ้าซึ่งอดอยากหิวโดยแทะกินอสุภซากของแม่เป็นอาหาร รีบเติบโตแข็งแรงรักษาตัวเองให้ได้ สามพี่น้องอย่าทอดทิ้งกัน"หยุดสักสองสามอึดใจ กล่าวต่อไปว่า "วิญญาณแม่และความรักแท้ของแม่แต่เดิมแล้วไซร้ ให้ลูกไปเรียกแม่ในแจ่มจันทร์เจ้า ณ พู้นฟากฟ้าฝั่งฝัน" พลันแม่หมาก็สิ้นแรง ซบสลบไสลขาดใจตาย ลูกหมาเห็นแม่นิ่ง และสิ้นลมหายใจก็หวั่นไหวรู้สึกไปถึงความตาย ดั่งที่แม่เคยเล่าให้ฟังแต่หนหลัง ทั้งสามชีวิตวิปโยคโศกเศร้าเป็นที่สุดแล้ว ซบกับอสุภซากของมารดา นิ่งน้ำตาไหลพรากจากทำนบแห่งหัวใจ ซึ่งพังทลายอย่างไม่มีอะไรมาขวางกั้น อันความสุดที่ทุกข์โศกาดูรนั้นเสมอกันทุกรูปนาม ไม่เว้นหมู่มนุษย์ และสรรพสัตว์ ล่วงสามทิวาราตรีกว่าแล้ว สามลูกหมาทนหิวโหยไม่ไหว นึกถึงคำสั่งของแม่ในวาระสุดท้ายได้ ก็แทะอสุภซากแม่กินต่างอาหาร จนเติบโตแข็งแรงพอจะช่วยตัวเองได้ สามชีวิตก็ยังจดจำคำมั่นสัญญาอาลัยแม่ ไม่เคยหลงลืม จึ่งพร้อมกันไปร่ำไห้ คือหอนอย่างโหยหวนเป็นลำนำเพลงวังเวงอยู่บนเงื้อมผาสูง ปรารถนาให้คลื่นเสียงของลูกน้อยอันเศร้าสร้อยละห้อยหา ก้องกังวานฝั่งฟ้าไปถึงมารดา ณ ดวงเดือนดวงดาวกระจายอยู่ระยับระย้าทั่วฟากฟ้า เพื่อให้ใต้ล้าแลเห็นคุณค่าวิเศษแห่งสุนทรีย์ อันประเสริฐเลิศล้ำนั้นฉันใด ในโพรงหินใต้เงื้อมผ่า คูหาแห่งมารดาแก้วนั้น อัฏฐิของแม่ก็กระจายอยู่เพื่อเตือนใจสามลูกน้อยให้ละห้อยผูพันใฝ่ฝันระลึกถึงแม่ไปไม่วางวาย เมื่อสามลูกน้อยได้มาเห็นกองอัฏฐิของแม่ก็ประดุจดั่งเห็นดวงหน้าแม่ และความเป็นไปในหนหลัง เคยสั่งเสียลูกไว้ทุกห้องหัวใจ หวั่นไหวระลึถึงคุณค่าน้ำใจของมารดาอันดีงามสุดประเสริฐเลิศล้ำก็ฉันนั้น กาลจักรก็เคลื่อนคล้อยโคจรไปนับหลากหลายวันเดือนปี ทั้งสามชีวิตก็ยังระลึกถึงมารดาอยู่เช่นนั้นเป็นนิจศิล ยิ่งในวันเดือนเพ็ญ เช่นวิสาขมาสสมัย สามชีวิตจะไปหอนโหยหวนขออโหสิกรรมต่อแม่ทีลูกได้ล่วงเกินแทะกินซากของมารดาเป็นอาหาร ทั้งสามลูกหมามักจะมาจ้องมอง หอนไปหาแม่หมา ณ ป่าช้าจันทรามหาสถานเป็นประจำอยู่ช้านานเช่นนั้น จวบจนวันที่สามชีวิตจวนจะจบสิ้นอายุขัย สามลูกหมาป่านัดกันมาพร้อมใจตาย ยึดเอาเงื้อมผาของมารดาเป็นป่าช้าจิตกาธานให้แสงพระสุริยา ทั้งสายฟ้า สายฝน ลมบน หมอกเมฆ และหยาดเหมยหนาว ช่วยชำระล้างกระดูกจนขาวโพลง กระจุยกระจาย ท้าทายแสงเดือนแสงดาว หนาวเย้ยยะเยือกอยู่กลางดึกดื่น ณ ชะง่อนเงื้อมผาป่าชัฏช้าอรัญญิกาลัย รุกขเทพเจ้าป่า ผู้เป็นใหญ่ซึ่งสิงสถิตอยู่ในวิมานมิ่งไม้อันเลอเลิศด้วยสภาวะทิพย์นั้น เล็งเห็นรู้แจ้งสิ้น ด้วยกำลังญาณวิเศษ ก่อนจะเอนกายทิพย์ลงสนิทนิทราลัย ทรงสมเพชเวทนาเป็นที่ยิ่ง นิ่งประมวลความรู้สึกสังเวช หวั่นไหว ละลายฝากไว้ในยวงหยาดน้ำค้างเป็นสื่อสัญลักขณ์พิเศษ ซึมหายบอกเล่าให้ทุกเม็ดธุลีทรายดินฟัง ประดุจดั่งลายสือทิพย์ของภพชาติ ซ่อนเร้นไว้ในมิติพิเศษแห่งอันตกาล ปลงสังเวช รูปนามนิมิตนั้น ซึมหายไปกับเม็ดธุลีทรายดินอันประดุจนาฬิกาแก้วกาลจักร จะหยดหยาดอำนาจพิเศษแห่งยวงเวลาไว้เตือนแหล่งหล้า ฟ้าดินไตร ท่ามกลางความเป็นไป อยู่ชั่วนิจนิรันดร