๏ ตราบเห็นพี่คล้อยหลังพ้นฝั่งท่า สู่วังหน้าคุมผองกองทหาร ด้วยยามนี้ข้าศึกหมายรุกราน ประชิดด่านเขตแดนใกล้แคว้นกรุงฯ ๏ มีโองการร่วมทัพไปรับหน้า ให้กรีธาออกพลันในวันพรุ่ง หนึ่งชาติชายถวายคำจักบำรุง พร้อมจะพุ่งเพลงดาบตราบชีพวาย ๏ ให้วิตก..อกนวลแอบครวญคร่ำ เสียงกลองย่ำเคลื่อนไป..ก็ใจหาย โอ้น้องนี้..คอยเหลียวด้วยเดียวดาย เกรงพี่ชายไปลับไม่กลับมา ๏ ยามอยู่เรือนห่างเห็นหรือเป็นสุข จะนั่งลุกทุกช่วงก็ห่วงหา เฝ้าคำนึงป่านฉะนี้..โอ้พี่ยา จะต้านฝ่าไพรีอยู่ที่ใด ๏ คนอยู่หลังคอยแต่ชะแง้เฝ้า แต่รุ่งเช้าจวบผันถึงวันใหม่ วอนปวงเทพเทวาฤทธาไป บันดาลให้พี่คลาดทุกศาสตรา ๏ อยู่ครองเพศบำเพ็ญในวันพระ ถือศีลละด้วยจิตขนิษฐา หวังผลบุญแห่งธรรมจะนำพา ปกรักษาขุนหมื่นกลับชื่นชม ๏ สองมือปลิดกลีบบางลงวางเทียบ คอยคัดเปรียบสีชาด..ขนาดสม จากก้านดอก..ล้อมนามด้วยหนามคม ร้อยปฐมวาจามาลาคำ ๏ ทีละกลีบ..ละกลีบ..คอยจีบจัด น้อมมนัสจรดรวงเป็นพวงร่ำ ผสานเกลียวต่อปลายต่างสายธรรม ประณตนำในวิมุตองค์พุทธา ๏ ลายสลับแซมหมุดด้วยพุดแถว เจียนใบแก้วจีบเรียงเคียงบุปผา ร้อยพิสุทธิ์ด้วยขั้นมัลลิกา ริ้วระย้าช่อชายสายจำปี ๏ แล้วสำรวมกาย-จิตอธิษฐาน ขอเหล่าหาญกล้าผดุงแห่งกรุงศรีฯ จงสัมฤทธิ์มีชัยต่อไพรี ป้องธานีพ้นได้จากภัยเทอญ.. ๏ จักรอรับขวัญแก้วทหารกล้า กลับยังท่าคืนนางไม่ห่างเหิน เมื่อการศึกแผ่นดินสิ้นดำเนิน จักรับเชิญคำพี่..เป็นศรีเรือน..
6 กันยายน 2549 17:39 น. - comment id 603904
กานต์ก็คอยค่ะคุณนาง
6 กันยายน 2549 18:34 น. - comment id 603932
ทันที่ที่อ่านงานแสนงามของคุณนางจบลง พุดพัดชาก็รำลึกถึงงานแสนรักของตัวเอง เรื่อง... คู่ทาษ! จึงยินดีพลีกำนัล แด่คุณนาง ประกอบบทกวีแสนสุนทรีย์ทางจิตวิญญาน ด้วยรักชื่นชมนะคะ อ่านจบแล้วลบออกก็ได้นะคะ เพราะยาวย้วยค่ะ หากเพื่อท่านผู้อ่านในดวงใจแห่งเราจะ ได้รับรสสุนทรีย์สองทางเลยค่ะ เพราะพุดแค่คิดว่างานเราสองคนน่าจะ เป็นปี่กับขลุ่ยได้ค่ะ http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3337.html คืนนี้.... ไร้จันทร์เพ็ญเด่นดวง...ในท่ามกลางฟ้ามืด แม้นจะเป็นคืนข้างขึ้นสิบห้าค่ำก็ตามที ฝนหลงฤดูยังคงรินร่ำร่ายมนตราลีลาวสันต์ มิสร่างซามิขาดสาย ราวนางฟ้ากำลังร่ำไห้ครางครวญ กับนวลเมฆเทาทึมทอดทาบไปทั่วทิศทาง ทั้งราวไพรราวเมือง สไบนวล... นอนนิ่งนิ่งในเตียงโบราณ แสงเทียนในโคมแก้วพร่างระยิบ... ระบัดไปตามแรงลม ลีลาวดี ไหวดวงดอกระทมพวงพราว เฝ้าออดอ้อนหยอกล้อพ้อสายฝนริมหน้าต่าง ให้อวลระคนหวานเศร้า มาสัมผัสพร่างมาให้หอมกับร่างงามในท่ามสายลมยามค่ำ ม่านลูกไม้ รายรอบเตียงพลิกพลิ้ว เผยให้เห็นร่างอรชร นอนเหน็บหนาว... ราวหัวใจจะปลิดปลิวลิ่วลอย.. สายฝนยังคงพร่างไอเย็นพราว ราวมาลูบไล้ร่างซูบซีดบอบบางนั้นให้ชื่นฉ่ำอ่อนโยน เงาในกระจกโค้งมน..ตรงข้าม สะท้อนร่างราน ที่นอนนิ่งขวางกลางเตียงเพียงลำพัง ผมดกดำล้อมรอบกรอบเสี้ยวเรียวหน้ารูปไข่ แผ่สยายราวสายไหมกระจายบนหมอนนุ่มนวลขาวสะอ้อน วงหน้าซีดเซียว ถูกไล้ด้วยแสงเทียนทอ...ให้ยิ่งงามละออราวรูปสลัก หากทว่าวงพักตร์ไยมิแจ่ม แต้มด้วยคราบน้ำตาซึมซึ้ง ที่กำลังสะท้อนพราววะวาววับ จับแสงเทียนที่ทอทอด ราวหยาดเพชรเม็ดใส ประดุจหยาดน้ำค้างไพรบนใบบัว ที่กำลังกลอกลิ้งทิ้งแสงพราย ขับวงหน้าให้ยิ่งงามแอร่มหวานเศร้ารานร้าวจับใจ ในภวังค์อันดื่มด่ำ ปิติเกษมล้ำลึก เสมือนตกอยู่ในเงื้อมเงา นิทราฝันอันแสนดี... ฉับพลัน..!!! มีร่างหนึ่งปรากฎพร่าง มากับแสงพรายพราวรายรอบ เขา.... ทรุดตัวลงนั่งริมขอบเตียง ค่อยๆยกประคองใบหน้านวลละมุนมาวางไว้แนบตัก ด้วยแสนรักเอยแสนรักในกมลละไมละเมอ บุรุษผิวสีทองแดง.... มิได้เอ่ยปาก หากทว่า...ทำไม..! น้ำตา...สไบนวลไหลพราก..มิขาดสาย ทันที่เห็น ราวจิตสัมผัสจิตได้ ที่...ทั้งชีวีชีวิตสไบนวลมิมีวันเลือนลืม เขา..คนดี.. ประคอง..ไล้ลูบจูบใบหน้า*สไบนวล.*.. อย่างนุ่มนวลอ่อนหวานอ่อนโยน อย่างรักใคร่ ด้วยจิตวิญญาณรักภักดี ที่ชายชาตรีพึงพลีสยบยอมมอบให้เพียงสตรีเดียว มิเหลียวแลใคร อย่างแสนซาบซึ้งใจ..ในฤดีในปฐพี..นี้..ที่มีค่าคู่ควรรัก.. ใบหน้าคร้ามแดด ดวงตาสีสนิมเหล็ก..รานร้าว ฝากซึ้งเศร้าหวานโศก ราวโลกจะลาล่วงดับดวงไปตรงหน้ามินาทีใดก็นาทีหนึ่ง มี..แววออดอ้อนอาวรณ์อาลัยในน้ำเสียงนวลนุ่มทุ้มซึ้ง.. สไบ..ได้ยินเสียงเขา.. ราวเพ้อพร่ำคะนึง กระซิบอยู่ริมหู..เรียวแก้ม อย่างหนักแน่นอบอุ่นที่สุด ราวอยากหยุดโลกให้เลิกวิโยคครวญตาม ให้รู้หักห้ามใจ *ไหนเจ้า เคยให้คำมั่นสัญญาต่อข้าไว้มิใช่ละหรือไร เจ้า...สไบนวล...แม่ยอดรัก.. ว่า.. เจ้าจักไม่โศกราน ให้ม่านน้ำตาพร่างหลั่งรินโหยไห้ ยามข้าสิ้นลมหายใจ* *เจ้า..เคยสัญญาใจไว้กับข้า..ไว้มิใช่ดอกละหรือไร ว่า....เจ้า...จักดำรงจิตใสหนักแน่นอดทน รู้อยู่...อย่างเมียนักรบ..คนกล้าหัวใจแกร่ง..หัวใจไทยังไงล่ะ แล้วไฉนเจ้า..จำมิได้แล้วล่ะหรือไร ไยมามัวหมองตรม ให้วิญญาณทรนงของข้า...ระทมเสียยิ่งกว่าเจ้า..เสียอีกเล่าแม่สไบยอดรัก* *เจ้า..สัญญากับข้า* *เจ้าจักไปวัด ทำใจมิไหวครวญมิหวนไห้..มิเหว่ว้า* เจ้า..จักอยู่อย่างภูมิใจในทุกคราที่คิดถึง ว่า.... เลือดรักยิ่งชีวิตของข้า ได้หลั่งกล้า..รินทาฝากไว้จนหยาดหยดสุดท้าย ฝากไว้ให้อาบหล้า ไว้ปกปักพื้นพสุธาไทพสุธาทอง แผ่นดินแม่มาตุภูมิ ให้เจ้ารู้ภูมิใจในเกียรติศักดิ์รักยิ่งใหญ่ * ที่.... ตราบจนลมหายใจสุดท้าย ก่อนพรายพลัดพรากเจ้านั้น ข้าเฝ้าฝันเห็นเพียงร่างข้า ทรุดตัวลงถวายคำสัตย์ปฎิญาณ สาบานต่อหน้าฟ้าดินวิญญาณบรรพชน ว่า... จักถวายจิตถวายชีวิต พลีภักดิ์เพียงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และ สำหรับเจ้า *ยอดดวงใจ*ที่ข้าแสนรักเอยแสนรักในกมลนั้น เจ้าได้อ้อมแขนแห่งขวัญรักข้าไปครอง ที่ข้ายินดีพลีปองมอบให้เมียขวัญและแม่ ส่วน เกียรติศักดิ์รักแท้ของข้านั้นข้าขอมอบไว้แก่ตัว เจ้าก็รู้..ดี แล้ว... ทำไม..! วันนี้...นาทีนี้...ชั่วเดือนปีในรำลึกสัญญา *เจ้า...ได้แต่เก็บตัวเก็บร่างในห้องหับ ไม่ยอมรับรู้โลกและกาลเวลาภายนอก ให้ใครใครเขากระซิบบอก ปากต่อปากกันไป.. ว่า.. เจ้า...นั้นคือสาวโบราณกลับชาติมาเกิด เจ้า.. ราวมารอเพียงฤกษ์คืนเพ็ญมารอข้า มาทวงสัญญา ราวรอเวลาในโลกทวิภพ ไม่รู้จบรู้เลิก จนร่างเจ้าแสนบอบบางผ่ายผอมราวลมจะพัดปลิว เจ้า..นวลสไบเอย ข้ากลับมาเผยจิตเผยใจ เพราะทนไม่ได้ที่จะให้เจ้าใช้ชีวิต ในท่ามกลาง ความดายเดียวเหว่ว้าอีกต่อไปแล้วนะ แม่ดวงแก้วดวงขวัญเจ้าจอมใจ ข้า..จึงจัก จะมาพบเจ้าในฝัน ค่ำคืนเพ็ญนี้ครั้งสุดท้าย และ... หมายให้เจ้ารำลึกจำคำมั่นสัญญานี้อีกที ที่ข้า...จะพลีพูดเพียรบอกเป็นครั้งสุดท้าย นะเจ้าสไบ..นวล* *เจ้ารู้ไหม ตั้งแต่นาที ที่เจ้า...ค้นพบศพข้า ท่ามกลางควันไฟไหม้โหมเวียงวังและหยาดน้ำตา และ เห็นเลือดข้าท่วมไหลนองพื้นปฐพี มีเพียงสไบชุ่มเลือดเคลียร่างวางไว้แนบอกข้า... ยามลาไกลเจ้า...! เจ้า... ก็เฝ้าได้แต่ซุกซบในอ้อมอกอ้อมใจข้า หากทว่า ไยเล่าเจ้าจึงมิร่ำไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ น้ำตาเจ้าคงไหลลง ราวธารเลือดมิเหือดแห้งหาย หากทว่ามันแสนร้าย ที่คืนกลับไปฝากไว้ในสี่ห้องหัวใจเจ้าให้ยิ่งแสนโศกราน ที่คนภายนอกพากันมองผ่านพากันกล่าวขาน ว่า... เจ้า..นั้นช่างเกิดมาสมศักดิ์ศรี เป็นเมียชายชาตรีชายชาติทหารชาตินักรบ ผู้เข้มแข็ง แกร่งกล้า มิไหวครวญ หวนไห้ราวรู้หน้าที่ดี หาก..มีเพียง ข้าและฟ้าดินอินทร์พรหมเท่านั้น ที่เฝ้ารับรู้ว่าเจ้าแทบทนเทวษมิได้ หากแทบอยากพลีร่างตายตามข้าไป...ในบัดนั้น หาก.. จะเช่นใดเล่าเจ้าสไบเอย เจ้า...ก็เคยซึ้งคำข้าฝากไว้มิใช่ดอกละหรือ *วิญญาณนักรบไท หัวใจทองอย่างข้า* จะอยู่อย่างอัปราไร้บ้านขาดเมืองได้อย่างไรกันเล่า..!! .. ข้าถึงยอมตายหมายแลกอิสรา และ มาตรแม้นโชคร้าย ข้า.. ก็ยังดียังได้ หมายฝากความหาญกล้าไว้ในทุกธุลีหล้า.. ให้ลูกหลานไทได้ยลยินได้ภาคภูมิใจ ยามเทวษถวิลถึง ให้พวกเขามิเขลาสิ้น ได้รู้ซึ้งถึงคุณแผ่นดิน รู้พิทักษ์รู้รักษามรดก ที่ปกป้องมาด้วยหยาดเลือดหยดน้ำตา และยอมพลีชีวาชีวิต ให้สถิตสถาวร อย่างไม่อาวรณ์อาลัยร่างเลย ไม่ยอมเฉยให้ไอ้ข้าศึกมันเหยียบย่ำบีฑา ให้มันซึ้งว่าพวกข้าคนไทย! มิได้ขลาดกลัวหวาดกลัว !! สไบเอย..! หัวใจข้าระทม..ระบมนักที่จำพลัดจำพรากจากเจ้า หากทุกคราคราว ... หัวใจข้าพราวด้วยความปิติภาคภูมิ ที่ได้รักษาเกียรติภูมิแห่งผืนดิน ไว้ให้เจ้าและลูกหลานไทได้รู้รักถวิลหยัดยืน นะแม่สไบ...แม่ยอดดวงใจ ผู้มีหัวใจดวงทองผ่องผุดพิสุทธิ์งาม ของข้าสุภาพบุรุษชาตินักรบ และ *เจ้า...ยังตายไม่ได้ แม้นหัวใจเจ้าจะรานโศกราวโลกกำลังจะแตกดับก็ตามที เจ้า...คนดีผู้ยอมผ่ายผอมตรอมตรมใจ เจ้า...มิเจรจาพาทีเล่นหัวกับผู้ใด มาแสนนาน มีเพียงใจนิ่งงันราวฝันร้ายไหม้โหมห้องใจเสมอมา ที่ข้ารู้..ดี ดวงใจเจ้าเย็นเยียบเหน็บหนาวเจ็บร้าวลึก ให้เจ้านอนซม จนเป็นไข้ *สไบเอ๋ย ข้า..ทนเห็นเจ้าอยู่อย่างทุกข์ระทมแบบนี้ไม่ได้ เพราะเจ้ายังตายมิได้ ยังไม่ถึงเวลาของเจ้านะแม่สไบนวล... แม้นเจ้าจะหวนหาข้าสักปานใด เจ้า..ยังต้องอยู่... ครองร่างจิตครองชีวิตสร้างกุศลเพื่อข้า เพราะ เจ้ารู้ไหมว่า...สวรรค์ไม่มีที่ว่าง รอรับร่างสุภาพบุรุษอาชาไนยหัวใจชายชาตินักรบอย่างข้า เพราะ ทุก*คมดาบของข้าที่ได้บั่นคอศัตรูได้ลิ้มชิมเลือด ผู้มารานรุกบุกประชิด หากทว่า เจ้า...รู้ไหมทุกชีวิตไอ้ศัตรู ที่มันมาหลั่งเลือดสังเวยคมดาบข้า มันเองก็คือผู้มีหยาดเลือดบริสุทธิ์ไม่รู้ว่าพ่อลูกผัวใคร มันเอง ก็คงมีสำนึกในความจงรักภักดีต่อชาติมัน ต่อแผ่นดินถิ่นเกิดของมัน เช่นเฉกเดียวกันกับข้า ผู้ยอมเสียวิญญาญ์ทำทุกสิ่งเพื่อผืนดินเช่นกัน หากเพียง จิตวิญญาณเรานั้น ต่างพลีฝาก..*ความฝันอันสูงสุด*คนละฝั่งคนละด้าน ที่... เราต่างก็จำต้องมาหลั่งเลือดรดหยดพลีชดใช้กรรม มาละหลั่งเลือดชะโลมหล้า เพื่อปกปักรักษาแผ่นดินต่างถิ่นต่างที่รัก *สไบเจ้าเอย... ข้าจึงยังมิพ้นพงกรรมคำพิพากษาจากฟ้าดิน ทางช้างเผือก ที่จะรอทอดรับร่างข้าสู่สรวงสวรรค์ยังอีกยาวไกล สไบเอย จงอย่านิ่งเฉยนะแม่นวลสไบ* *เจ้าจงฟังให้ดีดี น้ำตาอุ่นๆ ที่ข้าพลีรดบนอกใจเจ้านี้ คือคำร้องขอจาก *ลูกผู้ชาย..คู่ทาษคู่พิสวาทพลี* ที่จงรักภักดีต่อเจ้ายิ่งกว่าหญิงใดในปฐพีนี้ รอเวลา... ให้เจ้าคนดีได้พลีเพียรสร้างกุศลทานบารมี ภาวนารักษาศีลให้บริสุทธิ์ ให้จิตวิญญาณข้าได้หลุดพ้น ได้พบพานเจ้า *ดั่งที่สองเราได้เฝ้าอธิษฐานฝากคำมั่นสัญญา ที่ทั้งฟ้าดินอินทร์พรหมสิ้นยมโลกต่างรับรู้ รอเอาใจช่วยเราสอง ให้ได้ครองรักมั่นตราบชั่วนิจนิรันดร เจ้า.... จงอย่ามัวแต่อาวรณ์อาดูรพูนเทวษถวิลถึงข้า *ชายในดวงใจในฝันอยู่เลย* เจ้าจงพาร่างและจิตใส ถวายกายใจในร่มธรรม ให้นวลใจงามล้ำได้ตั้งมั่นสัตยาพิษฐาน กรานกราบเพียรภาวนา พาให้จิตวิญญาณข้า ที่รักรอเจ้า ได้หลุดพ้นวงวนวิบากกรรม ให้เราได้พานพบกันในแดนธรรม แดนทอง แดนไทย แดนพระรัตนตรัย ให้สว่างไสวเสียทีนะยอดรักเจ้าสไบนวล หากเราสอง มีบุญญาบารมีพอ ขออีกคราครั้ง เจ้าจงตั้งจิตตั้งใจ และ เจ้าจักรำลึกรู้ เมื่อวันหนึ่งเราได้กลับมาพบกัน เจ้า.... จักจำข้าได้ตามรำลึกสัญญา นะแม่สไบนวล สไบนาง ที่มิเคยห่างอกห่างใจข้า มิว่าชาติไหนภพไหน นะแม่สไบ สไบ ที่ข้าแสนรัก รักเอย.... และ ก่อนข้าลาไกล ข้าจะจูบซับหยาดน้ำตาพลีรักภักดีบูชาแด่เจ้านะ ขอเจ้าจงอย่าได้เศร้ารานโศกอีกเลยนะ แม่ยอดดวงหฤทัยของข้า .... .............. ........... .......... เสียงแว่วแผ่วหวานละมุน อบอุ่นหนักแน่นมั่นคงค่อยๆจางหาย.....หาย..หาย...ไป..... ในขณะที่ร่างสไบหนาวเหน็บราวจับไข้ เสียงสายฝน ยังร่ำรินราวร้องถวิลกระซิบเตือนอะไรบางสิ่ง บางอย่างให้สไบนิ่งฟังเสียงในความฝัน ให้สไบผู้รักดายเดียวเหว่ว้า ได้ลืมตาอย่างอ่อนล้า ขึ้นมาอย่างช้าช้าแล้วพลันพาทบทวน*นิมิตฝัน* อันพลันกระจ่าง ราวเรื่องจริงกับสิ่งที่เพิ่งผ่านมา *คำสัญญา คำมั่นสัญญา * *คำว่าคู่ทาษ * ที่สไบนวล.. แสนพิศวง...งงงัน..ฝันคว้าง... ค่าที่มักมาผุดในฝันแสนกระชั้นถี่เข้าถี่ขึ้น ราวจักเตือนให้ไหวรำลึกนึกรู้รำลึกถึงบางสิ่ง ที่รอฝันเป็นจริง ในไม่นานช้า อย่างที่สไบยากที่จะบอกกล่าวเล่าให้ใครและผู้ใด ได้รับรู้เรื่องราวราวเรื่องรักปาฎิหารย์นี้ กลิ่นกาย หอมราวดอกไม้ไทย ยังระคนในกมลนวลใจสไบ ที่หัวใจช่างหวิวไหวหวิวหวั่นหนาวเหน็บเหน็บหนาวเสียไม่มี .............. และ ด้วย... ดวงใจสลัวมัวหม่น ที่อธิบายให้ใครสักคนรับรู้มิได้ นอกจาก... มีเพียงเสียงเพรียก ให้พาร่างมาถึงนี่ แดนดินเมืองเก่าของเราแต่ก่อน ที่จิตใจยังอาวรณ์อาลัยอย่างยากจะหาใครมารับฟัง นอกเสียจากให้ซากศิลาทุกก้อนแห่งอดีตหนหลัง ลั่นทมพราวกิ่งไกวไหวสะท้านสะเทือนได้รับรู้ .*. สไบนวล ... จึงมานั่งนิ่งพิงต้นลั่นทมอีกครากับฟ้าชิงพลบ กับงดงามสงบแห่งพระพักตร์พระพุทธ ที่ผุดสร้างขึ้นมาเพียงเศียรที่วัดมหาธาตุ อันแสนพิลาสพิไล มองดูแสนสุขสงบงามใจในทุกครา ยามเฝ้าจ้องมองดูอย่างเงียบๆ และ สไบนวล... แสนไหวหวั่นดวงใจ ราวกับมีพลังลี้ลับกับบางสิ่งแฝงฝังรอเวลาแห่งพลังใจ รอกาลเวลา.... ในท่ามกลางความเหว่ว้า ใน.. สายแสงสนธยาสีทองอันอ่อนอ่อน ที่ทอทอดยอดปรางค์ปราาสาทวิหารเก่า ที่เคยงามอะคร้าวมลังเมลืองมาอย่างรำไรๆ สไบนวล.... ก็เห็นใครบางคน ค่อยๆก้าวออกมาจากเบื้องหลัง พระพักตร์พระพุทธรูปปูนปั้นอย่างช้าช้า ราวภาพฝัน ร่างในชุดทหารหาญสีเขียวเข้ม ขับใบหน้าคร้ามให้ดูขรึมขลังปลั่งสุกราวสีทองแดง แสงเงาเน้นให้ร่างนั้นดูทรนงคงมั่นบึกบึน หาก ทำไมเล่า ยามที่สไบนวลสบตาถึงกับสะดุ้ง เขา... คือคนคนเดียวคนดีกับที่สไบเคยเห็น ที่ลานลั่นทมมานานแสนนาน คนเดียวกับ ผู้ชายที่ละม้ายแม้นในความฝัน ที่ขยันมาปรากฎตัวบ่อยๆทุกวันพระ แม้นกระมั่งยามนี้...ที่สไบแสนสับสน ที่.. ทำให้หัวอกหัวใจสไบนวล พลันระรัวด้วยทั้งตื่นเต้นแสนตกใจ..ไม่แน่ใจเอาเสียเลย!!!! และ ไม่อยากคิดไกลไปว่า ว่าเขาคือ*ผู้ชายในฝัน*คนเดียวกันนั่นเอง *เขา*...ส่งยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนมาทายทัก และแสนแปลกดีนัก ที่สไบเห็นแสงน้ำพราวราวเพชรพร่างใส ราวหยาดรุ้งในเรียวตางาม สไบ...เพียงตามคิด..*ไย..!ผู้ชายชาติทหาร ถึงมีนัยน์ตารานโศก ราวจะหยุดโลก ให้เหลียวมองด้วยสงสารได้ถึงปานประมาณนี้ด้วยเล่า ........ *เขา....เอง..ก็งง.. ราวหลงในดงฝันสวรรค์รอเช่นเฉกเดียวกัน ที่... พลันพามาพบ*ผู้หญิงร่างบอบบาง* ที่ดูงามสงบอย่างแปลกประหลาดในยามพลบค่ำ ใน.. สถานที่ราววิมานเมืองวิมานแมนเมืองเก่าของเราแต่ก่อน งในเงื้อมเงางามสถิตราวเมืองโบราณให้นิรมิตฝันพร่าง ไสวกระจ่างราว... กลับหวนทวนคืนอดีตอันเรืองรุ่ง ด้วยมโหรีระทึกมาเยือนให้ประทับใจในอีกหนอีกครา ที่ทำให้เขาจำต้องหลั่งน้ำตาระรินทุกครา ยาม...ราวได้ยลยินด้วยจิตวิญญาณ ทันที่ที่ร่างใจ ได้มาสัมผัสเมืองนี้ ที่มี... พลังลึกลับดึงดูดให้เขาหวนกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า ราวรอคอยบางสิ่งแสนหวานแสนดี ที่เขารอพลีพบมาตราบจนชั่วชีวิต ทั้งๆที่เขาไปมาครบร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำมาแล้ว เขา...มองเธออย่างไม่วางตา เห็นความงามแผกพิศ ร่างในชุดกางเกงผ้าปักชาวเขาสีเหลืองทอง กับเสื้อแพรไหมบางเบาสีพยับหมอกไหล่ล้ำ เผยให้เห็นผิวสีน้ำผึ้งรวงเนียนละออ ที่บัดนี้เธอทัดดวงดอกลั่นทมริมแก้มงามสามสี ขับให้ผิวแก้มระเรื่อด้วยดวงดอกและแดดดวง ในยามตะวันลาฟ้าโพล้เพล้สีไพลแสนงามพราวราวรุ้งเยือน เขา... เห็นเธอใส่สร้อยร้อยเรียงด้วยหินสีสลับอย่างงามแปลก และ... เน้นให้วงหน้านั้น ราวสาวพันธุ์โบราณย้อนยุค ผุดมานั่งเคียงกับอลังการ กับงามเงาเหงางามในอดีต ที่แสนกรีดใจเขาในยามนี้ ยามที่ราวได้ยินเสียงเสภาขับกล่อมมาห้อมห่ม ให้กมลเขาตกอยู่ในท่ามภวังค์ฝันอัศจรรย์รักเสียเป็นยิ่งนักแล้ว เขา..ตกในพะวงฝันสวรรค์หวานตระการจิตนานมาก ก่อนที่..จะค่อยๆกระชากใจถอยกลับมาสู่ปัจจุบัน และ... กล่าวคำทักทายเธออย่างสุภาพชนพึงกระทำ *ผมขอโทษนะครับที่ทำให้คุณตกใจ ไม่ให้ซุ่มให้เสียง..ด้วยคิดว่าตัวเองอยู่ลำพังครับ* เพราะเย็นมากแล้ว ผม...เพิ่งกลับมาจากราชการ เลยมาแวะกราบพระนะครับ แล้วคุณละครับ เป็นผู้หญิงทำไมมานั่งนิ่งๆในยามเย็นๆอย่างนี้* เธอ.. หันมายิ้มน้อยๆคลี่คลายบรรยากาศ ยิ่งทำให้เขาแสนงงงันแกมประหลาดใจ ในความคิด *ผู้หญิงอะไรยามแย้มยิ้มราวโลกไสวพร่างราวดวงตายิ้มได้ ราวโลกพลอยแย้มแต้มหอมหวาน ตระการพราวไปด้วยดวงดอกไม้ ก็แปลกดีแฮะ... แต่... สิ่งที่ได้ยินจากเธอ ยิ่งทำให้เขาอึ้งอั้นงันงงเข้าไปใหญ่ *ฉันมาที่นี่บ่อยค่ะ มาตามฝัน คุณอย่าขำนะคะ จะตลกกันไปใหญ่ เขา..ตกใจมากกว่าจะขำ เพราะ ทำไม..และทำไม..! จึงเกิดมหัศจรรย์ใจ ที่เธอคิดตรงกัน กับความรู้สึกนะเบื้องลึกของเขาเสมอมา ที่มีเพียงฟ้าดินรับรู้ลำพัง เขานิ่งงัน และพลัน...!!!! ราวมีเสียงกระซิบจากเบื้องลึกแห่งจิตใสบ้านภายในของเขาเอง เจ้า...อย่ามัวรอช้า..นี่ไงล่ะผู้หญิงในฝัน ที่เจ้าถูกสวรรค์ส่ง ให้ตรงลงมาคอยท่าเธอ และรอพบเธอ เพื่อมอบรักภักดีให้ ก็เจ้าเห็นเธอครั้งแรก ก็สะท้านไหว ราวหัวใจจะเต้นออกมานอกอกมิใช่ดอกละหรือ เจ้าก็รู้ดี อย่างที่หลวงปู่เคยบอกเจ้า หากเจ้าไม่มีอาการทางใจอาการทางจิต ทุกครั้งทุกครา ที่มีผู้หญิงมากหน้าหลายตา ที่พากันวนเวียนผ่านเข้ามาอยากทายทักรู้จักรู้ใจเจ้า หากทว่าหาใช่ไม่...ด้วยเพราะหัวใจเจ้าแสนว่างเปล่า แต่ หากหญิงใดในหล้าก็ตาม ยามเจ้าพบเกิดอาการสะท้านไหว วูบวับราวชีวีเจ้าจะดับดวงด้วยจิตรำลึกรู้ จากจิตใสเพียร ฝึกมาอย่างหนักแน่นดั่งแผ่นผา มิให้หวั่นไหว ให้ทายท้ากิเลสของร่างจิตเจ้าเองแล้วไซร้ และบอกให้เจ้ารำลึกรู้ด้วยตัวของตัวเองว่า นั่น...คือคู่บุญคู่อธิษฐานคู่บารมี ที่เจ้าจักพบ จบด้วยเกิดอาการสะท้านใจ และ จักได้ใช้ชีวิตครองคู่กันไปในร่มธรรมร่มทอง ได้พากันลอยล่องไปสู่ดินแดนแห่งฝันนิรันดร์รัก อันแสนสุขว่างสว่างกระจ่างพราวงามสงบเสียที เพราะ เจ้าและเธอคนดีกำลังจะหมดวิบากกรรม...แล้วในชาติสุดท้าย แล้ว เจ้า... จึงจะยังหันหน้าหนีไปไหนอีกเล่า อ้าว...แล้วจะมัวช้าอยู่ไย เดินหน้าต่อไป...สิ เมื่อเจ้าได้พบคนดีเจ้าดวงใจจอมใจในฝัน ของเจ้าแล้ว และ ที่ได้รอกัน *ราว..คู่ทาษคู่จิตคู่ชีวิต..มานานแสนนาน* หากมิเคยสิ้นเสน่หาพิสวาท เนื่องจากความรักภักดียังธำรงคงมั่น หนักแน่นดั่งแผ่นผา ดั่งคำสัญญา ที่เจ้าทั้งคู่ได้เพียรสร้างสมบุญญาสร้างบุพเพกันมา ข้าขออวยพรให้เจ้าทั้งสองโชคดี..มีสุข..ในรักนี้ ไปตราบชั่วนิจนิรันดร์นะ..... และ หวังเจ้าจักมิกลับมาถามข้าแบบที่ผ่านมาอีก ว่าดวงใจในฝันของเจ้า จะพลันปรากฎเมื่อไรและจะมีไหมเล่านะ.. แล้ว.. นั่นเจ้าได้กลิ่นอะไรไหม *ดวงดอกไม้แห่งสัญญาใจแห่งเจ้าทั้งสองอย่างไรละ* ดวงดอกลั่นทม ในยามนี้ ที่พร้อมพลีบานรอรับรัก เลิกระทมทับดวงใจเจ้าทั้งสองเสียที..ตั้งแต่วันนี้ไปตราบชั่วกาล! ************** http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3337.html ขอครวญคำ ข้ามฟ้าลอยมาแด่เธอ น้ำคำวอน คลั่งเพ้อละเมอจากใจ รักเราสอง สัมพันธ์ แต่รักนั้นอยู่ไกล เฝ้าหลงอาลัย ร้องครวญไป ฝากหัวใจลอยล่อง ขอปรานี พี่หวัง จงฟังพี่ครวญ เสียงในใจ ไห้หวล รัญจวนหม่นหมอง รักเราเอ๋ย แม้ไกล แต่หัวใจประคอง พี่หวัง ใจปอง เนื้อนวลทอง ใฝ่รักปองบูชา เป็นกะลาให้ถือ แม้เธอคือขอทาน เป็นบัลลังก์ตระการ แม้เธอเป็นนาง พญา เป็นโลงทอง รองรับแม้ดับชีวา เป็นวิมานผ่านฟ้า แด่เทพธิดา นงคราญ รัก เราเป็น เช่นเหมือนดาวเดือน เด่นตา แสงเรืองรอง ส่องฟ้าอาภาเบิกบาน แม้ชีพสูญลับไป แต่รักไม่แหลกราญ ให้สองวิญญาณ สิงสราญ อยู่วิมานดาวเดือน เป็นกะลาให้ถือ แม้เธอคือขอทาน เป็นบัลลังก์ตระการ แม้เธอเป็นนาง พญา เป็นโลงทอง รองรับแม้ดับชีวา เป็นวิมานผ่านฟ้า แด่เทพธิดา นงคราญ รัก เราเป็น เช่นเหมือนดาวเดือน เด่นตา แสงเรืองรอง ส่องฟ้าอาภาเบิกบาน แม้ชีพสูญลับไป แต่รักไม่แหลกราญ ให้สองวิญญาณ สิงสราญ อยู่วิมานดาวเดือน...
6 กันยายน 2549 18:36 น. - comment id 603934
งานงามมากเลยค่ะ
6 กันยายน 2549 18:40 น. - comment id 603936
สวัสดีค่ะ พี่นาง พี่รู้ป่าวค่ะที่บัวปริ้นไว้กับบทนี้ ของพี่นางบัวอ่านทุกคืนเลยค่ะ บัวชอบมาก พี่แต่งออกมา ทำให้บัวนึกว่าบัวรับรู้กับ การรอคอยตรงนี้ด้วยค่ะ เหมือนกับใครสักคนที่ บัวรู้สึกหรืออาจจะเป็น ญาติพี่น้องของบัวเมื่อชาติแต่ปางก่อน ก้อ ออกไปทำศึกด้วยแล้วเราก้อรอคอย ให้กลับมาอย่างปลอดภัย ไปกราบพระขอพรให้เขา พี่นางดูแลสุขภาพด้วนะค่ะ
6 กันยายน 2549 19:09 น. - comment id 603949
พี่นางค่ะบัวขอฝากคำถึงพี่พุดนะค่ะ พี่พุดค่ะพี่นำงานของพี่มาวางไว้ ที่บ้านของพี่นางห่างจากบัวแค่ .6 วินาที บัวอ่านแล้วอึ่งไปเลยค่ะ ไม่มีคำอธิบายนะค่ะ พี่พุดกับพี่นางเขียนงานออกมา ได้เหมือนเรื่องเดียวกันเลยค่ะ บัวขออีกครั้งนะค่ะ ขอให้พี่พุดกับพี่นางมีความสุขค่ะ
6 กันยายน 2549 21:20 น. - comment id 604022
พี่นางช่างเหมาะสมกับใครคนหนึ่งของเรนเหลือเกินนะคะ.. ไม่รู้ดิคะ..มัยเรนรู้สึกแบบนั้น..อ่อนหวานนุ่มนวลแต่เก๊าะแฝงความเข้มแข็ง.. ... เรนคิดถึง..นะคะ... ... ...
6 กันยายน 2549 21:25 น. - comment id 604024
เรนขออนุญาตพี่นางฯ.. กราบสวยๆพี่พุดพัดชานะคะ.... ... และเรนเก๊าะขออนุญาตทักทายบัว... เรนคิดถึงบัวนะคะ.. ... เรนชอบคอมเม้นของบัวทุกๆคอมเม้นที่ให้เพื่อนๆและพี่ๆ.. บัวของเรนน่ารักที่สุดเลยคะ.. .. .. แว้ปป..
7 กันยายน 2549 00:01 น. - comment id 604092
ภาพและกลอน สวยงามมากเลยค่ะ ชื่นชมในผลงานคุณเสมอคะ
7 กันยายน 2549 07:26 น. - comment id 604136
:) เดี๋ยวเขาก็เสร็จศึกกลับมา
7 กันยายน 2549 08:05 น. - comment id 604146
... ไพเราะมากครับ คุณ นาง นับถือครับ ...
7 กันยายน 2549 09:53 น. - comment id 604150
ไม่นานเกินรอ ต้องกลับมาพร้อมชัยชนะค่ะ :)
7 กันยายน 2549 13:06 น. - comment id 604167
๐ สองมือรับกลีบรงค์ที่ส่งให้ หอมนั้นหอมยิ่งใหญ่..จนใจเลื่อน กรุ่นบุปผาอบร่ำคอยย้ำเตือน ว่ากายเคลื่อนคล้อยไปแต่ใจยัง ๐ หอมกลิ่นแก้วเจ้าร้อยเป็นสร้อยสาย ริ้วระย้าแทนหมายว่าฝ่ายหลัง น้อมมนัสกอปรธรรมเป็นกำลัง ใจจักตั้งรอพี่..ชั่วชีวัน ๐ เสพส่วนความปรารถนามาลาร้อย แต่ไร้รอยรูปถนอมให้กล่อมขวัญ ยังสืบผ่านมัลลิกาบุปผาพรรณ แทนจำนรรจ์กัลยากลางป่าไพร ๐ จับก้านดอกล้อมนาม..ด้วยหนามคม เพ่งอารมณ์อธิษฐานย้อนผ่านให้ เมื่อการศึกแผ่นดินหมดสิ้นไป จักย้อนเอาหัวใจ..มาไว้เรือน
7 กันยายน 2549 13:09 น. - comment id 604169
.....ปฐมบท..... ๔ ๑. หนาวลมพรมแผ่นพื้น.....ปฐพี โหมสรรพเสียงราตรี.........ตื่นก้อง แว่วเพียงอดุระทวี............เทวษสู่ จิตเฮย แทรกหนึ่งนัยร่ำร้อง.........รับรู้เพียงเรียม ฯ ๘ ๒. โสมกลางสรวงเช่นดวงอัจกลับ ท่ามหริ่งหรีด..กรีดรับขึ้นขับเสียง ลมเฉื่อยโชยพฤกษ์เบนต้นเอนเอียง วิเวกเพียง..แว่วส่วนคร่ำครวญนั้น ๓. การเวก..กรุ่นหอมเข้าล้อมร่าง เมื่อน้ำค้างหยาดใบจนไหวสั่น แผ่วพิณพาทย์ซ้อนซ้ำเสียงรำพัน จนจิตหวั่นไหวซ้ำ..กลางคร่ำครวญ ๔. ...แต่สิ้นชาติ...วาสนาชะตาคู่ ตราบเช้าสู่คืนค่ำ...เพียบกำสรวล ตั้งจิตมุ่งหมายภพบรรจบจวน หวังกาลทวนย้อนกลับมารับรอง ๕. โอ้..รอบกรรมวงวัฏฏ์ของสัตว์โลก ล้วนสร้อยโศกทุกข์ทนความหม่นหมอง แต่พลัดพราก...ซากขันธ์ล่วงครรลอง ยังมั่นพ้องภพสู่ เป็นคู่เคียง... ๖. ดาษดาวเลื่อนเดือนล่วงลับสรวงแล้ว เมื่อพาทย์แผ่วจบสิ้นไม่ยินเสียง กระซิบหนึ่งลึกล้ำ..ส่งสำเนียง ว่าสุดเลี่ยง..เสน่หา..ที่อาวรณ์ ๗. บทเพลงโศก..แผ่วผ่านฝ่าม่านพลบ ลงซ้อนทบแทรกหมายสุดถ่ายถอน ร่างสัญญาเพรงกรรม..เริ่มกำจร ภพภูมิเลื่อนเหลื่อมซ้อน..แต่ตอนนั้น ๘. กรุ่นราตรีล้อมถิ่นด้วยกลิ่นรื่น ดั่งเฝ้าฝืนโบยโบกสร้อยโศกศัลย์ ปลิดปลงล่วงลำดับห้วงกัปกัลป์ ย้อนสู่ทัณฑ์ทรมา...ผู้อาลัย ๔ ๙. พระพายรื่นพลิ้วผ่าน.....ผันขบวน ปรนกรุ่นหอมลำดวน........ดอกแก้ว พิณพาทย์แผ่วคร่ำครวญ....คลอโสต เสียงขับเอื้อนฤๅแคล้ว......คลาดได้ฉันใด .....ฟากฟ้าเก่า..... ๘ ๑๐. ล่องลอยเหล่าเรือน้อยพายคล้อยเคลื่อน ฟากคลองเกลื่อนกล่นหน้าผู้อาศัย นาย..บ่าวพูดยินแทรกฟังแปลกนัย อาภรณ์ใส่..พิศแรกก็แปลกตา ๑๑. โน่น..อาวาสศาสน์พุทธท่านอุดหนุน ผู้บาปบุญสำนึกใฝ่ศึกษา เหลืองจีวรขับเลศข่มเวทนา เผยมรรคาพรหมจรรย์..บ่มบรรเทา ๑๒. วอแห่งผู้บุญหนักทรงศักดิ์ใหญ่ มีร่มให้ลดทอนความร้อนเร่า สี่คนคอนขึ้นไหล่ก็ใช่เบา ลิ่วสู่เหย้าเรือนตน...รับปรนเปรอ ๑๓. กำแพงวัง..ขอบคูก็ดูลึก แต่ตรองตรึกนึกไปด้วยใจเผลอ บางชีพชนม์แต่เกิดช่างเลิศเลอ แทบเสมอเทวัญในชั้นฟ้า ๑๔. หากทรงธรรม..นำหน้าประชาราษฎร์ ใช้อำนาจช่วยกันร่วมฟันฝ่า อำรุงเขตคามแคว้นเพิ่มแสนยา จักอัปราล่มลับ..ด้วยทัพใด...? ๑๕. มโหรีปี่ฆ้องทำนองเสนาะ เหมือนหลั่งเซาะโสตสดับเสียงขับไข ขบวรนาคแหนแห่เห็นแต่ไกล มุ่งหน้าไปทอนตัด..อีกอัตตา .....ดั่งรุ่งอรุโณทัย..... ๑๖. รูปหนึ่งห่มสไบกรอง..เจ้าผ่องพักตร์ พิไลลักษณ์โดยชาติพิลาสสถา- นะภาพในศานติกริยา ส่งคุณค่าขับขจ่างขึ้นกลางใจ ๑๗. มีร่มบังกันให้พ้นไอแดด ท่ามกลางแวดล้อมก้าวของบ่าวไพร่ ตาดแพรทองงามควรห่มนวลใย จึงผ่องใสหยัดอยู่ไม่รู้จาง ๑๘. มาร่วมบุญงานบวชฟังสวดพระ หวังลดละ..ทุกข์ผองสิ้นหมองหมาง แต่กราบก้มงามควรทุกส่วนนาง ตราบเยื้องย่างสง่าล้วนให้ควรมอง ๑๙. พร้อมงานบุญแถวถิ่นได้ยินเสียง กลองกรับฉิ่งฉาบเคียงสำเนียงก้อง มวลดอกไม้โกสุมพานพุ่มทอง เคลื่อนสู่ท้องโรงทานข้างลานวัด ๒๐. ชั่วเพียงลมปัดปลิวผ่านริ้วหน้า ก็สบตาอกต้อง...จนข้องขัด ลมดั่งช่วยถ่ายร้อนไม่ผ่อนพัด จากร้อนอกอึดอัด...เจ้าพัดย้อน ๒๑. ประจงจีบจับของประคองถวาย ขณะคล้ายแววตาชายมาก่อน กระแจะจันทน์กรุ่นอายจากกายอร อวลกลิ่นซ้อนหอมฟุ้งอำรุงยาม ๒๒. ชม้ายมองแปลกหน้า..ช้อนตาสบ ดั่งเพรงภพ..พลันสาปให้วาบหวาม ประเทียบถ้วนล้วนบทอันงดงาม ได้เริ่มลามลุกช่วงสืบบ่วงกรรม ๒๓. ชายสไบทอดผืนบนพื้นนั่ง เหมือนว่าทั้งใจทอดให้พลอดพร่ำ สืบเยื่อใยสานร้อยแทนถ้อยคำ ช่วยหยัดย้ำเพิ่มค่า..แรงอาวรณ์ ๒๔. เหมือนบาปบุญหนุนสร้างแต่ปางหลัง จึงสุดรั้งจิตชายให้ถ่ายถอน อาลัยนั้นเหนี่ยวหน่วงทุกช่วงตอน จนสุดผ่อนผันพักแม้นสักครา .....คร่ำครวญแห่งชายชาญ..... ๒๕. โอ้..ธิดามนตรีเจ้ามีศักดิ์ ย่อมตระหนักแก่ใจผู้ใฝ่หา ที่ลอยดวงเด่นนั้น..คือจันทรา พสุธาต่ำล่าง..จนห่างแล้ว ๒๖. เพียงหนึ่งชายเชี่ยวกล้าทางอาวุธ อาจเข้ายุทธศัตรูทั้งหมู่แถว ใช่เชี่ยวกล้านารี..ชาญวี่แวว จะรู้แนวสืบสมเข้ากลมเกลียว ๒๗. ถวิลถึงก็วิตกสะทกสะท้อน ทิฆัมพรก็แต่แลชะแง้เหลียว หวังก็เหมือนฟากสวรรค์คืนจันทร์เรียว ย่อมมืดเปลี่ยวเปล่าแสงจนแล้งร้าง ๒๘. เมื่อโดยชาติต่างชั้นเกินฝันถึง จะเหนี่ยวดึงเกรงต้องให้หมองหมาง หากน้ำใจเอ่ออยู่ไม่รู้จาง ฤๅจักพรางกลบเกลื่อนให้เคลื่อนคลาย ๒๙. เสร็จงานบุญถึงตอนเจ้าย้อนกลับ จะเลยลับรูปไปก็ใจหาย ท่วมเอ่อล้วนอาลัย..นะใจชาย ฤๅจักวายวางสวาดิ..จากนาฏน้อง ๓๐. สไบผืนทิ้งปลายดั่งสายสร้อย ที่ล่ามร้อยจิตผู้หวังคู่สอง แม้นรูปเลือนลับหลังก็ยังมอง แต่ตามตรองใฝ่เห็นไม่เว้นวาย ๓๑. สุดสมเพชชายชาญทหารกล้า มัวเหนียมหน้าอับจนไม่ขวนขวาย เห็นมณีเรื่อรองน้ำผ่องพราย กลับไม่หมายฉาบฉุดเข้ายุดยื้อ ๓๒. อันดวงแก้วเนื้อวามงดงามแสน จะมาแขวนให้เหนี่ยวเอาเจียวหรือ ใครเล่าจักเกี่ยวดึงส่งถึงมือ กระนั้นคือชื่อชั้น...เขาหยันเย้ย ๓๓. กระท่อมทับก้องกรีดเสียงหรีดหริ่ง ใจหนึ่งยิ่งกลับเหมือนยากเอื้อนเอ่ย คำนึงรูปหลงใหลด้วยไม่เคย หวังแนบเชยชวนชิด..เฝ้าคิดย้อน .....คำนึงนวล..... ๓๔. คืนนี้จันทร์งดงามอร่ามแสง ประโลมแหล่งโลกอยู่ไม่รู้ผ่อน คะนึงผู้แปลกหน้าให้อาวรณ์ อกสะท้อนพลอยสะท้านด้วยหวานซ้ำ ๓๕. แต่ล่วงพุทธาสถานถึงบ้านช่อง อุระต้องตื่นเต้นไม่เป็นส่ำ รัญจวนนั้นน้อมแนบเข้าแอบอำ ลงหยั่งย้ำแรงถวิลในจินตนา ๓๖. แต่สบเนตรเลศหนึ่งค่อยซึ้งซ่าน แล้วเบ่งบานเป็นเล่ห์เสน่หา มาร่วมบุญบ่มวัตรเพาะศรัทธา กรรมฤๅพาย้อนภพบรรจบเป็น ๓๗. โอ้...จักนานนับปีไม่มีชื่น ทิวาคืนแต่จะคอยละห้อยเห็น ไฉนเล่าจะหลุดจำจากลำเค็ญ จนว่างเว้นปรารถนา...แห่งอาลัย ๓๘. เกิดเป็นหญิงยากครันจะฟันฝ่า เที่ยวเผยผ่านพบหน้าร่วมปราศัย ความเพียงนิดแพร่งพรายก็อายใจ ต้องข่มไว้..คิดย้ำแต่ลำพัง ๓๙. พี่เอย..ดูผึ่งผายสมชายชาติ ไยไม่มาดหมายชมให้สมหวัง ตัวน้องนี้ยากล้ำเหลือกำลัง ไม่อาจพลั้งออกหน้าบ่งอาวรณ์ .....ในฝัน...... ๔๐. ใครหนึ่งท่ามยศถาบรรดาศักดิ์ ถวิลนักก็แต่ทอดฤทัยถอน หวังย่อมหวังสายตาเหลือบอาทร รับรู้ร้อนรอยเลศในเจตนา ๔๑. เหมือนสืบชาติปางหลังแต่ครั้งเก่า พอเห็นเข้าเฝ้าคอยละห้อยหา เสมอรูปพิมพ์ร่างท่านสร้างมา ให้หลอนตาลอบเร้นไม่เว้นวาย ๔๒. พี่เหมือนไม้ลอยแช่กระแสสินธ์ จะดับดิ้นก็ย่อมแต่กระแสสาย ลำธารเล่ห์เสน่หาไหลท้าทาย อาจดับหมายแห่งถวิลจนสิ้นลม ๔๓. รอคอยความปรานีใครมีให้ ต่ออาลัยเป็นพลังพลอยสั่งสม แนบช่วงกาลชุ่มชื่นมอบรื่นรมย์ ดั่งห้อมห่มกรุ่นมนต์สุคนธา ๔๔. เหนี่ยวพุ่มพวงบุปผาบรรดาสี แทนใจที่มุ่งมาดด้วยปรารถนา วางกำลังสุจริตเป็นฤทธา เพื่อคุณค่าเผยในน้ำใจเดียว ๔๕. บำบวงทิพสังคีตให้กรีดกล่อม ใจหนึ่งน้อมเผื่อแผ่ช่วยแลเหลียว ค่ำคืนจักแขวนขวัญกับจันทร์เรียว ทั้งลอบเหนี่ยวอีกขวัญผูกกันไป ๔๖. ร้อยวาจาแทนใจมอบให้เจ้า อยู่กับเหย้ารอหน้าได้อาศัย ค่ำคืนนี้จะแทรกฝ่านิทราใคร เตรียมเถิดใจ...รอท่า...ผู้อาทร ๔๗. อนิจจา..วนว่ายกระส่ายกระสับ จนค่อนคืนผล็อยหลับลงกับหมอน ฝันว่าใครโลมเล้าคำเว้าวอน กระซิบอ้อนริมหูจนรู้นัย ๔๘. พรุ่งนี้แม่..โปรดนั่งอยู่ยังท่า จะลอยลำเรือมาร่วมปราศัย มะลิร้อยแทนหมายแห่งสายใย เตรียมเอาไว้สำหรับการรับรอง .....มาลัยหอม..... ๔๙. เสมือนแรงปรารถนาบัญชาคิด จึงสัมฤทธิ์เรื่องราวครบข้าวของ หมากพลูจับม้วนใบ..มาลัยกรอง ด้วยมือน้องหยิบยื่นแต่ตื่นตา ๕๐. ไม่มีแม้สักคำจะล้ำล่วง ทิพฤๅหน่วงสองชาติร่วมวาสนา กระทั่งเรือลำน้อยล่องลอยมา ก็รู้ว่าเพรงกรรมนั้นนำทาง ๕๑. เรือลำน้อยเคลื่อนมาถึงท่าน้ำ พายก็ค้ำลำแอบเข้าแนบข้าง มือจับราวบันไดเรือไหวพลาง เงยก็สบหน้านาง...งาม..อย่างใจ ๕๒. กรประนมก้มไหว้อกใจสั่น อุทธัจนั้นท่วมทับเกินขับไส แต่คางก้มคอค้อมกายน้อมไป อีกคนย่อมรีบไหวมือไหว้รับ ๕๓. แสนฉงนรูปฝันมาผันต้อง ดลดวงใจทั้งสองมาพ้องศัพท์ คงเวทย์มนต์เทพนำช่วยสำทับ พาสองใจติดกับ...สุดยับยั้ง ๕๔. พี่..คือแกล้ว..กำลังแห่งวังหน้า เป็นขุนหมื่นเสนาผู้กล้าหลั่ง- หยาดเลือดโลมปฐพีให้จีรัง ในคำสั่งสีหราชเดโช ๕๕. บิดาเจ้า..เคารพเคยพบหน้า นับเนื่องว่าโดยกาลก็นานโข มนตรีแห่งธานินทร์ผู้ภิญโญ ไม่เคยโอ้อวดเกียรติ...หรือเหยียดใคร ๕๖. ไม่เคยรับรู้ว่า..คุณค่าหนึ่ง จะงามซึ้งสมหน้า..อัชฌาศัย แม่เอย..แม่หอมกว่า..หอมมาลัย ทั้งโดยนัย..นึกน้อม..ยิ่งหอมล้ำ ๕๗. รายรอบด้วยบริวาร..ยังหวานนัก ใจก็หนักหนาเต้นไม่เป็นส่ำ หวานใดเล่ายิ่งรส..หวานพจน์ทำ แต่หยอดย้ำอกหนึ่งจนอึงอล ๕๘. แม่ดั่งดวงดาราทิพามาศ เลื่อนลีลาศวับวาวทั่วหาวหน ท่ามคืนแรมจันทร์ล้าลับสากล เอื้อสรวงบนระยิบตาทั้งราตรี ๕๙. มอบสดใสส่องงามอยู่ท่ามพื้น ให้ตามตื่นแห่หาเฝ้าราศี ชวาลเชื้อช่วงหล้างามท่าที คือโดยศรี..สำแดงยิ่งแสงจันทร์ ๖๐. หวังโฉมเลื่อนเงาเงื้อมให้เอื้อมถึง จักเหนี่ยวดึงโอบต้องประคองขวัญ ฟังหัวใจกระซิบคำที่รำพัน จักคงมั่นเคียงนาฏไม่คลาดคลา .....ความรัก..... ๖๑. อันใดเล่างดงามเท่าความรัก ดังรุ้งถักทอดลงที่ตรงหน้า ความอ่อนหวานซ่านแล้วในแววตา เมื่อเหว่ว้าหลบเร้นไม่เห็นเงา ๖๒. ไม่เห็นกันเพียงนิดเฝ้าคิดถึง ห่างเพียงชั่วยามหนึ่งก็ถึงเศร้า ข่มอาวรณ์ยากครันจักบันเทา แต่หงอยเหงาถวิลเห็นไม่เว้นวาย ๖๓. ปรารถนาอ้อมใจของใครหนึ่ง ซบหน้าซึ้งอุ่นอยู่อย่ารู้หาย สองแขนหวังโอบตอบอยู่รอบกาย อย่าได้คลายห่างตัวตราบชั่วกาล..! ๖๔. เหมือนอบร่ำใจบนสุคนธรส พร้อมชิวหาจ่อจดด้วยรสหวาน เอิบอิ่มย่อมซาบซับอยู่นับนาน แลจักซ่านซึ้งสู่เพียงผู้เดียว ๖๕. เฉก..สดใสจำรูญแสงสูรย์ส่อง เช่น..หม่นหมองคืนแรมจันทร์แย้มเสี้ยว ดุจ..ธาราบ่าสายเป็นหลายเกลียว ดั่ง..ดายเดียวดาวตกเกินวกย้อน ๖๖. เช่นปลายศรพุ่งทะลวงปักทรวงอก ทุกย่างยกบีบคั้นไม่ผันผ่อน ทั้งวาดหวัง/ปรารถนาทั้งอาวรณ์ จนรุ่มร้อนหัวใจดั่งไฟเร้า ๖๗. หอมหวานล้ำกุสุมาที่ว่าหวาน แต่ตฤปผ่านโลมลิ้นถึงสิ้นเศร้า หลับตาล้วนพาดทับอยู่กับเงา หวังทุกเสียงหนักเบาเป็น..\"เขา\"..แล้ว ๖๘. หนักหนาจนสาหัสทุกสัดส่วน กรรทบล้วนส่งเสียงใช่เพียงแผ่ว ทั้งจากรอยรูปสร้างอันพร่างแพร้ว ทั้งจากแถวสร้อยโศกที่โกรกย้ำ ๖๙. กำเนิดเพื่อกำหนดความสดชื่น แต่ตา..ตื่น..อกเต้นไม่เป็นส่ำ กำจายลงสำนึกจนลึกล้ำ และหวานฉ่ำหอมชื่น..สุดฝืนพ้น .....จำพราก..... ๗๐. ถึงกาลต้องจำพรากไปจากหน้า เหมือนดั่งว่าดวงจิตจะปลิดป่น จาก..ลับรูปรอยร่างใครบางคน ความ..อับจนส่งเสียงถึงเพียงนี้..! ๗๑. อำนาจแห่งกำลัง...ของวังหน้า ดั่งเดือนจ้าข่มกระพริบดาวริบหรี่ ใช่จะเพื่อมุ่งปองเข้าลองดี หากเพื่อที่ป้องปัดผลาญศัตรู ๗๒. บัดดลยินกึกก้อง...เสียงกลองลั่น คือเรียกพลฉับพลัน...ให้หันสู่ ที่ตั้ง..เตรียมพร้อมสรรพ...รอรับรู้ คำสั่งผู้เป็นนายจักถ่ายย้ำ ๗๓. เพ่งพิศรูป..ล้วนรอยละห้อยหา เทวษอาดูรหวน..เนตรครวญคร่ำ รอเถิดแก้วจักกลับ..มารับคำ เตรียมไว้ย้ำหยอดใจ...ผู้ใยดี ๗๔. ถนอมใจรอคอย..อย่าสร้อยเศร้า รักษาตัวเถิดเจ้า..รอข่าวพี่ เสร็จการณ์กลับรับขวัญในทันที ให้สมที่ถวิลเห็นไม่เว้นวาย ๗๕. สิ้นเรื่อง..จะเรียนการณ์ให้ท่านรู้ หวังช่วยสู่ขอขวัญ..ช่วยหมั้นหมาย สมเกียรติศักดิ์เทือกเถาชั้นเจ้านาย คอยเถิดสายสวาดิเรียม...เจ้าเตรียมตัว ๗๖. เรือลำน้อยคัดท้าย..ค่อยพายจ้ำ ใจก็กรำเหว่ว้าดั่งฟ้าหลัว เรือค่อยเลือนลับล่อง..ใจหมองมัว คนก็กลัว..จากลับไม่กลับคืน ๗๗. พบกัน..หรือ..เพื่อจากจำพรากสิ้น เกรงจะดั่งแผ่นสินธ์ไหลรินผืน ไม่ทวนย้อน..ตราบภพเวียนกลบกลืน จิตใครเล่าอาจฝืน..เป็นชื่นบาน ๗๘. ข่าวเจ้าสองพี่น้องดังก้องกึก เมื่อเปิดศึกชนช้างเข้าล้างผลาญ ด้วยมุ่งหมายบัลลังก์..โอหังการ รอบยุทธก็สะท้านสะเทือนแดน ๗๙. เจ้าอ้ายกับเจ้ายี่..ผู้มีศักดิ์ เข้าหาญหักชีพล่วงด้วยหวงแหน อำนาจ..เกียรติยศ..หมายทดแทน ราชันย์แคว้นดั่งชนก..เคยปกครอง ๘๐. แต่ไร้ซึ่งบุญญา..ชะตาขาด คมง้าวฆาตชีพพังกันทั้งสอง แกล้วสองฝั่งล้มตายเสียก่ายกอง ห่วง..ผู้ล่องเรือนัก..ใคร่จักรู้ ๘๑. เมื่อเจ้าสาม..ขึ้นนั่งบัลลังก์ราช ใครหนึ่งขาดหายหน้าไม่มาสู่ แม้นยากเข็ญป่วยไข้..มีใครดู พี่เอยอยู่..ไหนกัน..ณ วันนี้ ๘๒. ยอดทหารกำลังของวังหน้า หรือ..ถูกพล่าผลาญชนม์เสียป่นปี้ ปล่อยให้น้องละห้อยหาทุกนาที จนดื่มกินโศกนี้แทนข้าวปลา ๘๓. เจ้าพระยายังเอื่อยยังเรื่อยไหล เมื่อหนึ่งใจกำสรวลคร่ำครวญหา พี่เลือนล่วงลับเลยไม่เอ่ยลา ทรมา..น้องนี้ชั่วชีวัน.. .....ประดาบก็เลือดเดือด..... ๘๔. พันหมื่นมวลหมู่แกล้วเกลื่อนแนวป่า ค่อยยาตราเหยียบย่ำเข้าห้ำหั่น หมู่เสนารุดโถมเข้าโรมรัน อ้อ..เลือดไทยสำคัญ..ฆ่ากันเอง ๘๕. ขุนหมื่นใต้ร่มเงา..ของเจ้าอ้าย ควงดาบหมายเข้าล่มผู้ข่มเหง ตวัดเชือดเลือดชั่วไม่กลัวเกรง เอาละเลงแผ่นดิน..โลมสินธู ๘๖. โอ้..ขมขื่นด้วยผ่าวกลิ่นคาวเลือด หลั่ง/แห้ง/เหือดท่ามบท..ควรอดสู ลมหรือเคยผ่านพัดเลือดศัตรู คาวฤๅสู้เลือดไทย..ที่ไหลนอง..? ๘๗. ที่กำเนิดภายใต้ร่มไอยศูรย์ ดั่งมีกูณฑ์ลวกลนให้หม่นหมอง หมายอำนาจเสร็จสรรพ..มุ่งจับจอง จนพี่น้องแปลกหน้า..เข่นฆ่ากัน ๘๘. ยอดทหารกำลังของวังหน้า ท่วงทีท่าองอาจไม่หวาดหวั่น เด็ดชีพฝ่ายเจ้ายี่หลายชีวัน ก่อนจะพลัน..หายลับไปกับยาม ๘๙. ไข้ระบมข่มปวดเร้ารวดแผล รอยดาบแล่กายต้องใช่สองสาม หากปวดนั้นปวดใจ..ที่ไกลงาม คือแม่ทรามสวาดิน้อย..ผู้กลอยใจ .....คืนรับขวัญ..... ๙๐. รอเถิดรอแสงเย็น..ของเพ็ญค่ำ พายจะจ้ำเรือคล้อยล่องลอยไหล เพื่อว่าช่วงปรารถนา..แรงอาลัย จะอาจไขแทนแข..ให้แม่รู้ ๙๑. เมื่อโคมสรวงเช่นดวงอัจกลับ ให้รอรับอาวรณ์พี่ย้อนสู่ จะไหลหลั่งระริกรินเช่นสินธู ประโลมขวัญตราตรู แต่ผู้เดียว ๙๒. รูปเคยห่างต่างช่วงจักหน่วงให้ เคลื่อนชิดใกล้แนบนวลทุกส่วนเสี้ยว เทวษรอบอารมณ์เคยกลมเกลียว จักปลิดเปลี่ยวเปล่าถนอม..ด้วยอ้อมใจ ๙๓. บุหลันโรจน์อำไพที่ในฟ้า คะนึงหนึ่งถึงหน้าเคยปราศัย ค่ำคืนจะนิทราเคียงหน้าใคร อันจะไขขับโฉมประโลมทรวง ๙๔. โสตจะเคียงประณีตสังคีตป่า กล่อมวิญญาณ์ด้วยโฉมแห่งโสมสรวง ใจจะล่องเสน่หาสุดาดวง ตะวันช่วงแสงทองจะล่องเรือ ๙๕. แต่สิ้นศึกกลางเมืองหมดเรื่องแล้ว มวลหมู่แกล้วหยุดผลาญร่วมสานเกื้อ เจ้าสามฯ..ทรงการุณช่วยจุนเจือ ทุกเหล่าเชื้อร่วมสัตย์ในรัชกาล ๙๖. หากศึกแห่งหัวใจยังไม่สิ้น ยังโบกบินรูปเงาคอยเผาผลาญ ตราบแรกพิศก็สำทับอยู่นับนาน จนรอยหวานลึกถึง..ก้นบึ้งใจ ๙๗. กราบเรียนสีหราชเดโช..ท่าน ช่วยจัดการติดต่อสู่ขอให้ แม่หญิงมณีจันทร์..โดยทันใด หวังผู้ใหญ่..รับ-ส่งจำนงนั้น ๙๘. เขา..ขุนหมื่นเสนาเดชาวุธ ผู้หาญยุทธศัตรูให้รู้หวั่น เข้าผู้ใหญ่พูดพร่ำ..ยากจำนรรจ์ แต่สำคัญ..มั่นคงจำนงน้อง .....ช่วงกัปกัลป์..... ๙๙. เรือลำน้อย..ลอยลำพายจ้ำ..จ้วง ใครจะห่วงแสงแข..เที่ยวแลส่อง เมื่อเผยหนึ่งเพ็ญพักตร์..จำหลักรอง ได้พาดผ่องภาพไว้ที่นัยน์ตา ๑๐๐. เหนี่ยวร่างน้อยทอดทับอยู่กับอก แขนป้องปกด้วยรัก..อยู่หนักหนา อธิษฐาน..ร้อยถวิลสองวิญญาณ์ ร่วมดินฟ้า...เกิด-ดับทุกกัปกัลป์ ๑๐๑. ครั้นเหรียญทองรูปพระ..แม่กระทบ บันดาลพลบ..วาบแจ้งด้วยแสงสวรรค์ เรือนริมน้ำ..วารี..มณีจันทร์ ก็ฉับพลัน..เลือนลับไปกับตา ๑๐๒. กระแจะจันทน์ห้อมห่มกลางลมโบก พลอยเสียดโศกสร้อยเศร้าพุ่งเข้าหา จากเลือนลับล่วงเลย..ก่อนเอ่ยลา ย่อมเหว่ว้าโหยเห็นไม่เว้นยาม ๑๐๓. แสนอาลัยเพรงภพ..มาจบสิ้น เมื่อธานินทร์หมุนเคว้งน่าเกรงขาม อาวรณ์ล่วงช่วงยุค..กลับลุกลาม พลอยวาบวามในอก..เกินยกย้าย ๑๐๔. แม่เอยโปรด..มองจันทร์ในชั้นฟ้า จงรู้ว่าแสงงามคือความหมาย แห่งรักผู้เปล่าเปลี่ยวอยู่เดียวดาย ที่เผยผายให้เห็นผ่านเพ็ญจันทร์... ......ภพแห่งผู้รอคอย...... ๑๐๕. อาดูรแต่รูปลับเลือนกับแสง อกยังแฝงอุ่นอ้อมเมื่อกล่อมขวัญ วิเวกแว่วนกค่ำ..ดั่งรำพัน ว่าจะมั่นรอบกัป..เวียนกลับคืน.. ๑๐๖. แต่เหรียญต้องมือทาบ..ร้อนวาบวูบ ธานินทร์สูบภพแตกแล้วแยกผืน เลื่อนตาวันข่มพลบจนลบกลืน น้ำแตกคลื่นหมุนติ้วเป็นริ้วเกลียว ๑๐๗. สะท้านห้วงใจนุช..ปานหลุดขั้ว อกสั่นรัววูบเร้าด้วยเปล่าเปลี่ยว เหมือนนรกทวงบาปในคาบเดียว ลงรุมเหนี่ยวความรักจนหักคา ๑๐๘. จักรอพี่ตราบสิ้น..ธานินทร์สูญ โลกันต์กูณฑ์เปลวแดงครอบแหล่งหล้า ปาริชาติโชยกลิ่นรวยรินมา จนเชื่อมฟ้า/วัน/คืน/เป็นผืนเดียว ๑๐๙. ...แต่สิ้นชาติ...วาสนาชะตาคู่ ที่เคียงอยู่ล้วนเงาความเปล่าเปลี่ยว ตั้งจิตสืบอารมณ์หมายกลมเกลียว รอ..กาลเหนี่ยวรั้งภพบรรจบกัน ๑๑๐. ปรารถนาจิตน้อง..จงพ้องพี่ ทุกแห่งที่หนทางสิ้นขวางกั้น หมุนโลกให้ย้อนทาง..สู่ปางบรรพ์ สืบภพภูมิผูกพัน นิรันดร จบปฐมภาค
7 กันยายน 2549 20:40 น. - comment id 604311
ไพเราะมากค่ะ หายไปนานนะคะ
7 กันยายน 2549 23:25 น. - comment id 604361
.... นางคอย .... .......อ่าน และ ฟังดนตรี แล้ว ซึ้งๆ เศร้าๆ จังคะ ทำให้คิดถึงใครบางคน เหมือนคนที่เคยรู้จัก เหมือนเคยเจอใน ทวิภพ อิอิ เฮ้อออ เป็นเรื่องเหลือเชื่อคะ ว่า ทวิภพ มีจริงไหมน๊า ?????
8 กันยายน 2549 05:24 น. - comment id 604387
.....คุณเพียงพลิ้ว นางเข้าใจดีค่ะ ความรู้สึกสำหรับการเป็นผู้รอคอย เป็นกำลังใจให้นะคะ .....พี่พุด ถึงยาวย้วย แต่ก็ค่อยๆ อ่านจนจบค่ะ ทำให้คิดถึง \"นิราศกาลเวลา\" ที่พี่สดายุเขียนไว้ทันที นางเขียนบทนี้ เพราะได้รับแรงบันดาลใจจากบทนั้นมา จินตนาการเข้ากันได้กับเรื่องนี้ของพี่พุดจังค่ะ .....เฌอมาลย์ ขอบคุณค่ะ .....น้องบัว บางความรู้สึกที่เกิดขึ้น ละเอียดอ่อน เกินกว่าจะหาเหตุผลอธิบายได้ทั้งหมด พี่ดีใจที่น้องบัวชอบ และ ขอให้น้องบัว พบคำตอบกับการรอคอยนั้นด้วย นะคะ .....นางฟ้าแสนซน ชื่อน่ารักจริง .....น้องเรน รู้มั้ย...คำพูดน้องเรน ทำให้พี่คิดถึงคำพูดของพี่ชาย...คนนั้น ขึ้นมาเชียวล่ะ .....คุณหญิงไร้เงา ไม่เห็นกันนานเลยนะคะ สบายดีหรือเปล่า .....คุณอัลมิตรา คิดถึงทหารที่ไปปฏิบัติหน้าที่อยู่ทางใต้จัง ตอนนี้ ได้ยินแต่คำถามที่ว่า \"เมื่อไหร่จะสงบ\" .....คุณปักษาวายุ ไม่ค่อยได้คุยกันเลย สบายดีนะคะ ยังจำได้ สำหรับอินทรวิเชียรฉันท์บทแรกของคุณ แล้วยังเขียนต่ออีกหรือเปล่าคะ .....คุณกุ้ง นั่นเป็นความหวังสูงสุดสำหรับผู้รอคอย ไม่ว่ายุคสมัยไหน ว่ามั้ยคะ .....พี่สดายุ ทั้ง 3 ภาค นางอ่านแล้ว...อ่านอีก ยิ่งอ่าน ก็ยิ่งซาบซึ้งใจมากขึ้นทุกครั้ง หลายๆ คนที่ได้อ่าน ก็คงรู้สึกเหมือนนาง อยากให้...แม่หญิงมณีจันทร์ และ ขุนหมื่นเสนาเดชาวุธ มีตัวตนขึ้นมาจริงๆ จังค่ะ .....คุณวาที ขอบคุณค่ะ .....น้องฉางน้อย นั่นสิ มีจริงไหมนะ ?
8 กันยายน 2549 09:29 น. - comment id 604419
นั่นไง นายทหารหนวดโง้งงงงงงง มาแหล่วววววว มาซะยาววววววววว
9 กันยายน 2549 18:17 น. - comment id 604832
คุณอัลมิตรา จุ๊ๆ อย่าเอ็ดไป ถึงมีหนวดโง้ง แต่ไม่ดุหรอก
10 กันยายน 2549 16:13 น. - comment id 604977
มาชื่นชมครับ เขียนได้อารมณ์งดงาม อ่อนโยน ลึกซึ้ง ได้ใจมากครับ
25 กันยายน 2549 18:33 น. - comment id 609077
เหมือนได้อ่านกลอนวรรณคดีเลย