ก็เมื่อใหม่พี่ก็งามด้วยความรัก ชื่นจิตภักดิ์เรียงภิรมย์เป็นสมสอง เอ่ยอ่อนหวานซ่านอารมณ์นิยมปอง ถึงว้าเหว่จะเห่ก้องให้ต้องใจ ไม่เห็นหน้าเคยพิศจริตป่วน สักยามยวนเจียนบ้าน้ำตาไหล ครวญพิร่ำพร่ำเนาให้เบาใจ ก็หงอยเหงาเศ้ราหทัยไม่เว้นวาย เอ่ยว่ามาตรปราถนิยมจะชมน้อง จะอุ่นสองเคียงสู่ไม่รู้หาย กล้ำเกินเพลินใจชอบอยู่รอบกาย นี่ก็ชายฉวยได้ ก็ฉวยเอา เชษฐ์เอ่ยความทรามสงวนว่าอ่วนอก ยิ่งนานหนักอกไหม้ดั่งไฟเผา อุปมาจม ณ สุขที่รุกเอา ฤา ระทมตรมเศ้ราในโศกา บอกกับนุชว่าอกข้ายังอาเพศ แสนประเทศผ่านไปไม่ใฝ่หา มาจุดจบสงบสมกรมอุรา พจนาหลั่งได้ชายจำนรรจ์ ดุจน้ำหอมย้อมยลสุคนธรส แสนพิร่ำคำจรดให้สดหวาน ไม่นานนักหักสวาทมิปราถปราน ฤา จะซ่านเสพย์กรุ่นเช่นคุ้นเคย เกรงจะเหงาเฝ้าเคหาที่อาศัย ณ คืนจันทร์ อันอำไพไกลเขนย ดุจธาราบ่าไกลลับไม่กลับเลย โอ้ดาวเอยหยาดจากชู้ที่คู่เคียง เช่นศรศักดิ์ปักปวดกร้าวร้าวดวงจิต ดำเนินทางร้างมิตรใกล้ไร้สรรพเสียง จะวาดหวังตั้งหทัยเช่นเคยเคียง ก็รุ่มร้อนอุทรเพียงเช่นเพลิงไกร ที่เคยหวานปานหยาดสรวงทั้งปวงหอม ก็ชืดรสหมดพร้อมจะดอมได้ หลับตาเห็นผวาหวาดอนาถใน เพราะเห็นเชษฐ์ร้างไกลไม่คืนมา ช่างหนักหนาสาสักกระอักอ่วน หทัยกวนรวนเรจะเห่หา เมื่อเหม่อมองปองพี่ชายไม่เห็นมา คงจะพาแปรใจไปเสียแล้ว สะดุ้งตื่นฟื้นตามาอีกครั้ง รอบกายยังไร้รอยเฝ้าคอยแคล้ว เมื่อแรกรักหักใจไม่ตรงแนว ก็เผลอแผ่วเผยใจให้ชายชม เขาว่างามก็งามใจนุชนารถ เขาว่าชาติยูงให้สูงสม เขาว่าซาบซึ้งหทัยในคารม เมื่อเขาชมป่านนี้ไกลไม่เห็นมา
16 กุมภาพันธ์ 2549 00:36 น. - comment id 561212
สงสัยอัลมิตราก็จมอยู่ก้นบ่อเหมือนกัน เพราะเขียนวนไปวนมา ก็ปีนไม่พ้นปากบ่อซักที ค่ะ
16 กุมภาพันธ์ 2549 05:24 น. - comment id 561241
ฮะแอ้ม มีพาดพิง ต้องมาแจมซะหน่อย ๐ นิรมิต ๐ ๐ พอเมฆขาวลอยฟ่องเต็มท้องฟ้า ก็รู้ว่าเป็นหนาวอีกคราวหนึ่ง พอรวงข้าวร่ายรำก็คำนึง ความหมายซึ่งรำร่ายผ่านสายตา ๐ สดใสแต่แผ่นฟ้าจดหล้าล่าง จึงเห็นความแตกต่างอยู่ข้างหน้า พร้อมหลากสรรพหลากสีหลากลีลา หลากหลายปรากฎเป็นจึงเห็นงาม ๐ เรียวข้าวโค้งยอดค้อมดังพร้อมอยู่ จะให้กรูเกรียวลมพัดข่มข้าม อ่อนเอนส่ายใบรัวเพียงชั่วยาม ก็หยุดยอดหยัดท่ามตะวันทอ ๐ หมื่นพันร่องรอยเล็บ..กลางเหน็บหนาว ก็ผุดราวนิรมิตภาพติดต่อ ลมหนาวกรีดสำเนียงหรือเพียงพอ จักข่มเสียง..งอน/ง้อ...ที่คลอลม ๐ จากเรียวกรอ่อนราวใบข้าวพลิ้ว ถึงปัดปลิวป่ายใจเส้นไรผม รวมขุ่นขึ้งค่อนว่า..งามน่าชม ขอรวบห่มอกแล้วนะแก้วใจ ๐ พร้อมเรียวนิ้วกำหมัด..เสียงตัดพ้อ คือหยัดรอสร้อยศัพท์..เสียงขับไล่ พร้อมค้อนคมขุ่นขึ้งหน้าบึ้งใคร คือห้วงใจครวญคร่ำ..กับน้ำตา ๐ ตราบเงยหน้า..จูบย้ำพร้อมพร่ำพลอด แล้วกุมกอดด้วยเล่ห์เสน่หา ก็เมื่อนั้นแก้มเนื้อแดงเรื่อมา จึงรู้ว่าวันนี้...วันที่รอ ๐ เพียงปอยผมลมร่ายปลิวป่ายหน้า จึงคุณค่าเลอเลิศได้เกิดก่อ ก็เมื่อช่วงตราตรึงลึกซึ้งพอ จึงตามต่อพ่วงภพ...สุดลบเลือน ๐ ต่อเข้าเพลกึกก้องเสียงกลองร่ำ ก็ดั่งคร่ำครวญใครมีใครเหมือน อ่อนหวานในนิรมิตมาติดเตือน เมื่อแล่นเลื่อน...ย่อมสำหรับ...ให้กลับย้อน..!
16 กุมภาพันธ์ 2549 13:14 น. - comment id 561355
ผมก็ว่าวนไปวนมา เพราะผมอ่านของ คุณอัลมิตรา ทีไรหลงใหลจนหาทางออกไม่ได้ทุกทีสิน่า
16 กุมภาพันธ์ 2549 13:15 น. - comment id 561356
ท่านสดายุนี่กะไม่ให้ผมเกิดบ้างเลยใช่มั้ยเนี่ย อิอิ ........... ยังเคารพในปรีชาอยู่ เหมือนเมื่อวานนี้
16 กุมภาพันธ์ 2549 13:41 น. - comment id 561364
ช่างงามงดบทกลอนที่อ้อนเอื่อย จำนรรเจื้อยเรื่อยไหลใส๋แจ๋วจริง กลอนสุดยอดสมศิษย์มีครูยิ่ง ไม่ช้าซิ่งนำหน้าครูอาจารย์ ศิษย์มีครูงูมีพิษคิดข้อจริง เพ็ชรงามยิ่ง(โอ๋)ศิษย์นันท์โคลงกลอนหวาน แวะมาอ่านผ่านมาทักมิตรสำราญ เป็นเพื่อนบ้านเขียนกลอนจิตสบาย แวะมาอ่านผ่านมาทักทายครับผม
16 กุมภาพันธ์ 2549 19:33 น. - comment id 561441
เมื่อเมฆพราวขาวข้อง ณ ท้องฟ้า เสนาะเสียงเพียงอุรุเวลา ละอองหมอกเพิ่งบอกลา ณ สายันณ์ สว่างไสวใต้เวหาคณากว้าง พิสิฐสร้างดั่งสวนสมพรหมสวรรค์ ศิลปีกวีวาดประกาศกัณฑ์ แสนสุคันธ์ ฤา เทียมได้ไม่มีทาง ธัญญะชาติกระจัดพรมด้วยลมโบก จะเกรียวโยกโกรกฟุ้งเมื่อรุ่งสาง ดุจเอนอายส่ายต้องละอองวาง ณ ทุ่งทองก็ร้องอ้างอยู่เกรียวเกรียว เคยจิกทิ้งดึงดื้อถือเหตุผล เชษฐ์ก็ทนเนื้อกล้ำจนช้ำเขียว ด้วยนุชงอนค้อนขึ้งขมึงเเกลียว แต่ใจเจียวสิจะยั้งลองหยั่งชาย แต่ล่วงลามข้ามกอดมาสอดช่วง มาดอมดมชมดวงให้ทรวงหาย อุ่นอ้อมแอบแนบนิดสนิทกาย ละมุนอายไม่คลายจิตสนิทใจ เพราะขุ่นข้องน้องช้ำจึงกำหมัด หมิ่นศรีสัตย์สตรีไซร้น่าใจหาย จึงพ้อว่าอ้าพิเชษฐ์เพราะเหตุใด จึงชมนวล ให้หวลไซร้ต้องช้ำเกิน แต่ยังกล้าบ่หยุดยั้งระวังจิต ยังแอบลอบมาจุมพิศไม่คิดเขิน ฤา ไม่ข่มอารมณ์ไว้ปล่อยใจเพลิน จึงล่วงเกินกล้ากล้ำให้ช้ำนวล