โรงเรียนราชวินิต บางแก้ว พศ. 2546 ตะวันตกดิน นกกาหากิน บินกลับสู่รัง ฉันหวนกลับมา ตามหาความหลัง นานแล้วคงยัง อยู่ในห้องนี้ หลับตาผลักประตู ลืมตาขึ้นดู รู้สึกยินดี ปนความเสียใจ ข้างในที่มี นี่หรือสองปี สำหรับห้องเดิม ตะวันร้างไกล ท้องฟ้าร่ำไห้ ไร้แสงแต่งเติม ไม่ต่างห้องนี้ แม้นมีสิ่งเพิ่ม แต่ในห้องเดิม ไม่อาจมีเธอ มีคนเปิดไฟ แลสว่างไสว ให้ฉันพบเจอ ทุกสิ่งวันนั้น ที่ฉันและเธอ เคยพบเคยเจอ ใจหายทั้งดวง ไม่อยากทนเห็น ความจริงที่เป็น เห็นสิ่งซ้ำทรวง หลบเดือนหลีกดาว ฟ้าพราวทุกห้วง ปิดไฟทุกดวง กระจกทุกบาน บรรยากาศเดิม ยังคอยซ้ำเติม เคลิ้มถึงวันวาน อ้อมอกอ่อนไหว อุ่นไออ่อนหวาน ผ่านมาแสนนาน หวานซึ้งตรึงตรา ใครจักเสริมแต่ง ห้องถูกจัดแจง แปลงแค่มายา ข้าวของยักย้าย เข้าซ้ายไปขวา ไม่เคยแปลกตา ไม่เห็นเปลี่ยนใจ ทรุดกายลงนั่ง เอนกายพิงผนัง หวังกอดเข่าไว้ ตัวซุกตรงซอก ทางออกของฤทัย คือคลายดวงนัยน์ คล้ายหมางทำเมิน เห็นเธอรางราง นั่งอยู่ข้างข้าง พลางคุยกันเพลิน ห้องเดิมไร้ร้าง เราต่างห่างเหิน ห้องใจเราเดิน จูงมือด้วยกัน หลับตาพบเธอ พลอยนอนหลับเผลอ เจอเธอในฝัน ภาพของห้องเดิม ที่เริ่มวันนั้น ปรากฏสีสัน ตะวันส่องแสง สายลมร้องรำ ใบไม้เริงระบำ ล้ำเหลือเรี่ยวแรง นกสร้างรังหญ้า ร่อนหาหญ้าแห้ง น้ำใจเจ้าแสวง แข็งขันกันเขียว แววตาเธอพริ้ม พร้อมหนึ่งรอยยิ้ม อิ่มเอมร้อยเที่ยว น้ำตาเคยไหล น้ำใจเธอเหลียว แลแค่หยดเดียว ล้างล้านหยดเลือน ผิวกลีบบุปผา ผีเสื้อภุมรา มาแวะเยี่ยมเยือน เราสองพึ่งพา อาสาเป็นเพื่อน เหมือนปีแค่เดือน ช่วงเราคู่เคียง เปรี้ยง!!!... ฝนพรำพร่ำพร้ำ พายุโหมกระหน่ำ ซ้ำฟ้าส่งเสียง ตื่นจากความฝัน วานวันเพราะเพียง ตกใจในเสียง ฟ้าร้องคำราม อากาศคุ้นคุ้น หนาวหนาวอุ่นอุ่น วุ่นวายวาบหวาม เรือนร่างหนาวได้ ใจใช่หนาวตาม รู้สึกถึงความ ทรงจำค่ำคืน คืนนั้นฝนตก เราล้อมอ้อมอก พกผ้าคนละผืน ห่มกายคลายหนาว แสงดาวดาษดื่น เป็นดั่งไฟฟืน เฝ้าผิงผิวกาย เห็นเธอหาวนอน ง่วงเคลิ้มหลับก่อน วอนเธอหลับสบาย ใบหน้าอ่อนนิ่ม นิ่งพริ้มยิ้มพราย ฉันมองไม่คลาย จนเคลิ้มตามเคย คืนนั้นหัวใจ ไม่อาจหนาวได้ ไม่เคยหนาวเลย กายหนาวเพียงไหน อุ่นใจเสียเฉย เรารื้นชื่นเชย ร่วมเรียงเคียงหมอน ทั้งกายใจคราว ค่ำนี้เหน็บหนาว คล่าวน้ำตานอน สะท้อนแสงฟ้า ยิ่งกว่าไฟฟอน ฟาดใจขาดรอน ก่อนเสียงบาดหู สายลมพัดพร่ำ ใบไม้ชอกระกำ น้ำค้างไหลลู่ น้ำใจพรากพา น้ำตาพร่างพรู ไร้ซึ่งเธออยู่ รู้ซึ้งเกินทน คอยบอกดวงจิต ข่มใจไม่คิด ปิดตามืดมน เลิกคิดเสียสิ้น อย่าถวิลสับสน ว่าเราสองคน คงถึงสิ้นทาง ห้องเดิมหนึ่งไซร้ อีกสี่ห้องใจ ใครว่าอ้างว้าง ผ่านความมืดมิด เพียรพิศเพียรสร้าง ภาพเธอท่ามกลาง ห้าห้องสมปอง อ้อมแขนของเงา กอดกับความเหงา เฝ้าคอยเราสอง หวังเช้าวันพรุ่ง ฟ้ารุ่งรังรอง ฉันคงได้มอง เธอพร้อมห้องเดิม แสงสุรีย์รำไร ท้องฟ้าสดใส ได้แสงแต่งเติม แต่ในห้องนี้ ไม่มีสิ่งเพิ่ม ไม่ต่างห้องเดิม ที่ไม่มีเธอ ไม่ต้องเปิดไฟ ก็สว่างไสว ให้ฉันพบเจอ เพียงภาพชีวิต ที่คิดถึงเธอ ขอลาแล้วเออ ลาก่อนห้องเดิม
18 สิงหาคม 2550 01:09 น. - comment id 739844
ที่ 1 เป็นของพระจันทร์ฯฮาๆ แวะมาทักทายก่อนนอนค่ะ ห้องเดิมนี้วังเวงไหมค่ะ
18 สิงหาคม 2550 02:07 น. - comment id 739863
ดีค่ะคนเดิม ใช่กาพย์ฉบัง 28 มั้ยคะ?? (ความรู้แบบมั่วมากๆ ปราณรวี) อิอิ ป อยากแต่งร้อยกรองแบบอื่นมั่งนะ แต่หัวมันตื้อไปหมด สงสัยจะตายอยู่ที่กลอนแปดแหงมๆ ต๊อแต๊ด้วยค่ะเวลา ต้องมานั่งเรียนอะไรใหม่ๆ สงสัยสมองจะฝ่อแระ อิอิ สบายดีนะคะ
18 สิงหาคม 2550 02:56 น. - comment id 739880
อ้อ สวัสดีคุณพระจันทร์สีดำ รับคำทักทายจากพระจันทร์สีดำเป็นคนแรกเช่นกัน และขอทักทายปราณรวี เพื่อนยาก มันเป็นกาพย์สุรางคนางค์ 28 น่ะ ยังไงปราณรวีก็แต่งโคลงสี่ได้ฉายแววงดงาม กับแค่โครงสร้างง่ายๆ อย่างนี้ ทำไมจะทำไม่ได้ ลองทำดูสิ แล้วเราจะรออ่าน
18 สิงหาคม 2550 03:32 น. - comment id 739881
เพล้งงงงง....ป.จำได้แค่ 28 ..แต่ไม่รุอะไร 28 ตอนแรกคิดว่ากาพย์ยาณี 28 ...5555555555 บอกแล้วความรู้เท่าหางเต่า..ให้แต่งก็คงแต่ง ได้หรอกค่ะ แต่ไปแบบมั่วๆ น้ำขุ่นๆ ง่ะ
18 สิงหาคม 2550 14:48 น. - comment id 739999
แวะมาชื่นชมผลงานค่ะ..