ตะวันลับคันนาไปนานแล้ว นกแซงแซวคุดคู้ในรูไม้ แสงสีเหลืองยังเรืองอยู่ไรไร ก่อนถูกกลืนหายไปกับราตรี ตะเกียงรั้วแขวนราวไว้หน้าบ้าน นั่งบนร้านตอนค่ำหน้าดำปี๋ หริ่งเรไรบรรเลงเพลงดนตรี จะวันนี้วันไหนไม่ต่างกัน เคยพบเธองานวันออกพรรษา ช้อนไข่ปลานั่งชิงช้าสวรรค์ สิ่งต่างต่างยังจดยังจำมัน รู้ว่าวันเก่าเก่าไม่กลับมา เคยหุงข้าวเผาปลากันหน้าศาล ลูบหัวล้านเหงื่อแตกกลางแสกหน้า เคยไล่จับจิ้งจกไปตกปลา วันหนึ่งเธอบอกลาไปหางาน จนเดือนหกฝนตกมาหรอมแหรม ต้นหญ้าแพลมโผล่อ้าเต็มหน้าบ้าน พี่เตรียมควายไถพลั่วจนหัวบาน ฝูงกบจานโผล่ปลิ้นจากดินโคลน เธอไปแอบอยู่ไหนไม่ยอมกลับ จนเดือนลับดงไม้ใบร่วงโกร๋น เข้าพรรษาน้ำทะลักเต็มปลักโคลน ยืนตะโกนร้องไห้ในบ่อปลา คืนดาวห้อยต่องแต่งเหนือแปลงข้าว พี่นั่งหาวทอดหุ่ยคุยกับหมา ไม่เคยจับจิ้งจกไปตกปลา เพราะอยากลืมเวลานานมาแล้ว น้ำยังใสเจิ่งนองเต็มสองฝั่ง แต่ความหวังพี่เหลือเพียงแผ่วแผ่ว การเดินทางของเจ้านกเค้าแมว บินไปแล้วลับหายกับสายลม
18 เมษายน 2550 15:06 น. - comment id 684061
สาวนาลูกควายสายน้ำแลความภักดิ์! http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4888.html (น้อยใจรัก) ..................... รอยทางเกวียนหรือรอยทางควาย หายเข้าไป...ในดงดอกโสน... และทุ่งดอกหญ้า ที่กำลังระบัดช่อพ้อไสวในสายลมยามเย็น และ.. ท่ามทิวไม้ทุ่งนา อันเชื่อมตาตามต่อกันไปแลละลิบไม่สิ้นสุด จนถึงริมเชิงเขา สาวนาขี่ร่างเจ้าสายน้ำ..มาอย่างดายเดียว *หนึ่งคนกับหนึ่งควาย* ใกล้ลำห้วยเข้าไปทุกทีๆ ก่อนที่ตะวันจะชิงพลบ ดวงตะวันสีไพลเรี่ยดวง..เหนือขอบฟ้าทิศตะวันตก ฝูงนกแมลงเริ่มผกโผผินบินกลับรัง สายลม.. กำลังพัดพรายพร่างพรม ดงดอกหญ้าจนไหวเอนยวบยาบ ยอดทิวไผ่แมกไม้ในโพ้นตา.. กำลังพากันไหวระริก รับระลอกของสายลมอ่อนๆในยามใกล้ค่ำ... งามล้ำจนเกินบอกใคร เจ้าสายน้ำพาสาวนามาหยุดริมตลิ่ง ให้สาวนาค่อยๆทิ้งตัวลงมาจากหลังอย่างช้าๆ สาวนา... ค่อยๆพาเจ้าสายน้ำไต่ลงไปจากเนิน แล้วลงไปสัมผัสสายน้ำอันแสนใสฉ่ำเย็น ที่แทบแลเห็นกรวดทราย และ.. ปลาดำผุดดำว่ายอย่างไร้ทุกข์ร้อนใด. สาวนา... ปล่อยให้เจ้าสายน้ำ ได้นอนคลุกแอ่งน้ำอย่างสบายใจ แล้ว.. สาวนาก็หอบเสื้อผ้าที่มัดรวบไว้มาคลี่กางออก ก่อนที่... จะมานั่งบนแผ่นหินกว้าง...เพื่อจะทำการซัก... ดวงดอกจิกสีชมพู ที่กำลัง..ผลิแย้มหวาน บานตระการเต็มราวกิ่งเหนือชายน้ำ กำลังพราวพริ้งทิ้งช่อสีชมพูพร่าง.. ลงมากลางสายน้ำและร่างสาวนา มาคลี่หอม... มาให้ดอมดม ด้วยดวงใจอันแสนไหวหวามอรชรอ่อนหวาน ดวงดอกกระจิ๊ดริ๊ดนิดน้อย แสนบอบบบางนั้น..ช่างงามนัก แม้นจัก..เป็นเพียงดอกไม้ป่าไม้ไพร ที่บานท้าแดดลม หากทว่าแสนบริสุทธิ์ใสเสียไม่มี.. สาวนาค่อยๆขยี้ผ้า..อย่างช้าๆ..อย่างแสนสงบใจ สนใจอยู่เพียงงานในมือ.. จน.. ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าใครบางคน ที่ย่ำสวบๆฝ่าดงหญ้าเดินใกล้เข้ามา..ๆ สาวนา ได้ยิน..เพียงเสียงสายน้ำไหลระรินๆ ราวกำลังคุยกันจุ๋งจิ๊งๆแสนสุขใจ.. ใครคนนั้น.. มายืนบังตะวันบนตลิ่งสูง จนเกิดเงาเงื้อมมืดดำน่ากลัว และ.. ก่อนที่สาวนาจะทันหันไป *เขา*ก็กระแอมกระไอส่งเสียงบอก... สาวนาหยีตาฝ่าแสงตะวันรอนรอน สีทองอ่อนอุ่น ที่กำลังผ่องพรายฉายแสง.. ส่องมาทางเบื้องหลังร่างอันสูงนั้น เขา..กล่าวคำขอโทษ ที่อาจจะทำให้ตกใจ.. *ผมคิดว่าแถวนี้ ไม่มีคนไม่มีกระท่อมใครเสียอีกครับ* ผม..เพิ่งอพยพมาครับ เพราะ.... มาประมูลซื้อที่ตรงนี้ได้ และมาสิ้นสุดที่สายน้ำลำห้วยนี่ละครับ เลยเดินมาสำรวจดู.. ผม..ดีใจนะที่พบคุณ... สาวนากล่าวคำ.. *จ๊ะเช่นกันจ๊ะ* เขา.. *หวังว่าเราจะเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันนะครับ* *ขอผมนั่งพักตรงนี้สักประเดี๋ยวนะ นั่นควายคุณเหรอ..น่ารักดีนะ* สาวนา..พยักหน้ารับ.. *เขาเป็นพื่อนฉันจ๊ะ มิใช่แค่ควายใช้งาน อยู่กับฉันมานานปีแล้วละจ๊ะ* ในใจสาวนาเริ่มรู้สึกดี เมื่อได้ยิน *คำชมควาย*จากชายแปลกหน้า ที่หน้าตาดี หากท่าทางซี.. ราวกำลังแบกโลกไว้สักสามสี่ใบก็ไม่ปาน เพราะ แสนมีนัยน์ตาโศกรานสลดรันทดอย่างไรก็ไม่รู้... *คุณ..อยู่ที่ตรงนี่มานานหรือยังครับ ใครๆเขาบอก มีแต่คนขายที่นา..หนีไปใช้ชีวิตในเมือง อันแสนเรืองรุ่งในกรุงกันหมดแล้ว หาคนรักผืนดิน ทำกินแบบวิถีการเกษตรผสานผสม แบบสมถะพอดีพอเพียง พอเลี้ยงตัวเลี้ยงท้อง..เข้ายากเย็นขึ้นทุกที จะมีก็แต่... คนทิ้งผานทิ้งไถทิ้งรอยไถแปร...ไปเป็นสาวโรงงาน ตามเมืองกว้างเมืองใหญ่.. ทิ้งวิถีไทยวิถีทองวิถีทุ่ง ไปยุ่งวันทั้งวัน ให้หน้าดำคล้ำเครียด อยู่ในที่อันแสนคับแคบ แล้ว... ยังต้องใช้ชีวีแบบเช้าชามเย็นชาม ไม่มีอากาศบริสุทธิ์ เพื่อตามเติมเต็มโลกวัตถุ *ระบบสังคมทุนนิยม* ที่ดูดเงินเดือน ให้หมดไปกับค่าลมลม ค่าโทรศัพท์มือถือ หรือไม่ก็ ค่าน้ำค่าไฟ ค่าเทคโนโลยี่ใหม่ๆค่าน้ำมันรถไปกลับ ที่หาเท่าไรๆก็หาจักพอใช้..ไม่มีเก็บไม่พอกิน เขาพูดไปบ่นไป... ราวกับอัดอั้นเสียเต็มประดา สาวนา..แสนเห็นใจ และ... ไม่คิดสงสัย.เลยสักนิดสักน้อย เพราะ ที่นี่..คือบ้านไพรบ้านป่า ที่...หาคนคุยด้วยแสนยากลำบากนัก เขาถึง.. ตั้งใจปักหลักคุยเอาคุยเอา อย่างอยากระบายคลายใจ ให้.. สาวนารับบทเป็นศิราณีจำเป็น ให้เป็นที่ปรึกษาทางใจอย่างเลี่ยงไม่ได้... *ผม..อกหักมาจากวิถีชีวิตในเมืองครับ ผมเบื่อ..ระบบทุนนิยม ที่ ทำให้ผมต้องทนทุกข์ตรม อยู่ในระบบนานปี ก็เพื่อรอวันนี้ละครับ รอ.. เก็บเงินจากหยาดเหงื่อทุกบาททุกสตางค์ แล้วมาวางแลกกับที่ดินแสนงาม เพื่อมาตามเติมต่อไฟฝัน ให้มีวัน.. *พบฝันเป็นจริง* ได้มาทำสิ่งที่รัก ได้มาเนาแนบสนิท ได้มาใช้ชีวิตชิดใกล้ธรรมชาติ ได้รับรสสุนทรีย์แห่งความงามสงบสมถะเรียบง่าย อยู่แบบพอดีพอใจพอเพียง แห่ง.ผม..เพียงผู้เดียวลำพังนะครับ*เขาย้ำ และ พร้อมกันกับการหัวเราะเก้อ.. ราวกับ อยู่ดีดีมาเพ้อพร่ำรำพัน ให้กับสาวแปลกหน้าฟัง ที่ดูดูแสนไร้มายา หากทว่าแสนสวยใสบริสุทธิ์ แสนสงบงาม ในท่ามท่วงท่า อย่างน่าตามติดสนิทชิดใกล้ ราวอยากระบายอะไรสักอย่าง กับใครสักคน ที่ตั้งใจนิ่งฟังอย่างสงบสำรวมกิริยาอย่างสาวนา *ผม...เลย..ลาออกจากระบบคนเมืองครับ เพื่อนๆ..กำลังรอคอยจะสมน้ำหน้า ว่าคนอย่างผม จะมาดำนาไถนา..ได้สักกี่วันกันเอง.. *จะคอยดู *ช่างเถอะนะ คุณว่าไหม ..คำคนคำใคร..จะคิดอย่างไร หากเรา.. ตั้งใจแล้วมั่นใจแล้ว..ที่จะเลือกที่จะสู้ หวังจักต้องลองดูสักยก คุณผู้อยู่มานานปี..คงพอเป็นครูได้นะ เพราะ..ผมกะจะมาลองผิดลองถูกตามทฤษฎีใหม่ ในการสร้างวิถีเกษตรแบบดั้งเดิม ไม่เพิ่มด้วยสารเคมีในผลผลิต.. สาวนานั่งนิ่งฟังด้วยความรับรู้เข้าใจ ก่อนจะบอกไปว่า สาวนา..ยินดี เพราะ อยู่ที่นี่มานาน ตั้งแต่รุ่นคุณทวด คุณปู่ย่าตายายจนมาถึง รุ่นหลานเหลนคือสาวนาแล้ว.. และ.. ยังไม่เคยคิดจะขายผืนดิน ทิ้งถิ่นทุ่งทอง.. พาตัวหอบเงินงามลอยละล่อง ไป... ฟ่องฟุ้งเฟ้อ ที่ไหน ที่พอเผลอหน่อยเดียว เงินงามก็จะลอดเลี้ยวมลายหายหมด เหลือ.. เพียงหยดหยาดน้ำตารันทด กลับนา กลับมา แล้วก็ไม่มี... ผืนหล้าคอยเช็ดน้ำตาซับน้ำตาให้อีกต่อไป.. เขา...ดีใจที่ได้คุยกับสาวนา และ.. ก่อนกล่าวคำลา..ราวกับจะทิ้งท้าย เขากล่าว.. *ผม..ใช้ชีวิตลำพัง..หวัง ยามเหงาจะแวะไปเยี่ยมเยียนทายทักได้บ้างนะครับ* และ... ไม่ลืมที่จะหันไปยิ้ม ให้กับ... เจ้าลูกควายสายน้ำ ที่กำลังนอนมองดูคนทั้งคู่คุยกัน ด้วยดวงตาใสซื่อ อย่างแสนภักดี แล้วจึ่งค่อยๆหันกลับมาสบตาคน.. *ตาสบกัน..* มีเพียงแววอันแสนงดงาม ในท่ามโลกแสนสวยใสใจบริสุทธิ์ อย่างมิ่งมิตร ที่ควรพลีน้ำจิตน้ำใจดีงามในท่ามโลกไร้แล้ง ทุกหัวระแหง ..ทุกแห่งหน อย่างที่... ทุกผู้คนเริ่มมีเพียงความไม่ไว้วางใจกันและกัน มิยอมปันแบ่งเอื้อโอบไออุ่น.. ให้โลกยังคงหมุนไปได้ด้วยความรักและเอื้ออาทร... สาวนา.. หยุดนิ่งคิด ด้วยใจดวงสะออนอ่อนหวาน ถึงช่วงนาที.. ที่จู่จู่..เขาคนดี..คนแปลกหน้า ได้ผ่านแวะมาพบพานพูดคุย..พร้อมพรากไป ในใจสาวนาดวงใสดวงงาม *ราวมีดวงตาที่สาม* กลับยิ่งสงสาร ในความดายเดียวของเพื่อนมนุษย์ ที่.. ต่างคนต่างคิด..ต่างจิตต่างใจ.. ต่างอยู่กันไปแบบตัวใครตัวมัน จนพากัน.. เหลียวไป..ในโลกทุกวันนี้ ไม่พบใครสักคน..ที่จะมาทนรับฟังปัญหาผู้อื่น หากมิใช่ญาติมิตร อันแสนสนิทหรือคนชิดใกล้ ในดวงใจ ที่มากมีมากมาย...หลากหลาย ดวงใจคนในหล้าโลกจึงมีเพียงโศกแสน และ พบดายเดียวเหว่ว้า ... ไร้ที่พึ่งพาพักพิงใจ ไม่มีหลังไหล่ให้เอนอิง..ได้เกาะกุมมือกันไป พากันเดินไปในถนนสายงาม สายพิสุทธิใสสายไพรด้วยกัน จน.. ต้องหันไปพึ่งความสุขในทางที่มิชอบมิควร อันล้วนแล้วจักทำลายทำร้ายตัวเองและโลก ให้แสนโศกสลดรันทดหมดงาม ยิ่งขึ้นทุกที.. และ.. สำหรับนาทีนี้ สาวนา.. แสนยินดี..ที่ได้พบเจอคนแปลกหน้า ที่.. ผ่านแวะมาทายทัก มาพาตัวทำความรู้จักอยากรู้ใจ ในเส้นทางระหว่างชีวิตลิขิตฝันอันแสนสั้นนัก ทว่าลึกลึก.. ใจสาวนาดวงรักเดียวใจเดียวรักงามสงบ ..นั้น แม้น.. จะพบคนหลงทาง ที่แสนอ้างว้างเหว่ว้า รอท่ามาพักในร่มใจ หากทำไมนะ.. หัวใจสาวนา จึงไม่เคยหวั่นไหว ไม่เคยแม้นจะมีที่ว่าง ให้กับใจใครเลย สาวนาเชื่อว่า.. ความรักมีมากมายหลายรูปแบบไว้จ่ายแจก ด้วยความเมตตาปรารถนาดี หาก..ที่สำคัญ รักที่แสนดีงามนั้น.. หากเราได้ค้นพบคนในฝันในใจ ในนิยามพิเศษพิสุทธิ์ ที่ทำให้เราหยุดพักหัวใจ..ได้แล้ว เราก็ควร.. จำต้องรักษาร่างและใจดวงแก้วดวงงามดวงดี มอบพลี..ภักดี.. ให้แด่กันและกันตราบจนวันตาย... ที่จักไม่สลาย.. ณ..ภายในจิตวิญญาณแห่งสองเรา.. ที่จะเป็นดั่งเงาใจไปตราบชั่วกาล เพื่อ.. รอวันสร้างสรร.... มอบวันแสนดีแสนงาม คืนให้แด่โลกหล้าแลชีวีผองชน ที่ยังคงต้องรับวิบากว่ายวนในทนทุกข์ยาก.. ตราบจนกว่า เราทั้งคู่จะข้ามล่วงพ้นมหานทีสีทันดร.. ล่วงพ้นสิงขร..วิบากรักวิบากทุกข์ และ หยุดการเกิดดับ .. นับอนันตชาติอสงไขยกาลกัป์ปกัลป์ อีกต่อไป... ................ http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4888.html น้อยใจรัก.... ผ่องศรี วรนุช สี่ในสี่ ห้องหัวใจ ฉันให้คุณหมด หมด ไม่มีเหลืออยู่ คุณ ไม่รักแล้วไม่เอ็นดู พอหัวใจคุณเปิดประตู ไม่มีฉันอยู่ ในนั้นเลย เก็บความหม่น ทนระทม ทุกข์จมความโศก โลก สร้างมาเหลือเอ่ย ฉัน ทุ่มใจเพราะยังไม่เคย รักเขาเต็มใจหมดเลย พิโธ่เอ๋ยนี่โดนหนามยอก หัวใจของคุณ คงแบ่งปันสักพันสักหมื่น แต่ใจฉันนั้นมันขมขื่น เพราะคุณยื่นความช้ำความชอก ไม่รักฉันอยู่ตั้งนานแล้วไยไม่บอก ฉันรักคุณแล้วพูดไม่ออก ให้คุณบอกไม่รักสักคำ หนึ่งในสี่ ใจของคุณ ว้าวุ่นไปได้ ใช่ ก็ใครเขาทำ เคย ห้ามใจโถมันไม่จำ แม้เขาจะพร่าจะยำ เจ็บปวดช้ำก็ยังยิ้มรื่น หัวใจของคุณ คงแบ่งปันสักพันสักหมื่น แต่ใจฉันนั้นมันขมขื่น เพราะคุณยื่นความช้ำความชอก ไม่รักฉันอยู่ตั้งนานแล้วไยไม่บอก ฉันรักคุณแล้วพูดไม่ออก ให้คุณบอกไม่รักสักคำ หนึ่งในสี่ ใจของคุณ ว้าวุ่นไปได้ ใช่ ก็ใครเขาทำ เคย ห้ามใจโถมันไม่จำ แม้เขาจะพร่าจะยำ เจ็บปวดช้ำก็ยังยิ้มรื่น...
18 เมษายน 2550 15:17 น. - comment id 684071
คุณฤทธิ์คะ รักงานแนวลูกทุ่งของคุณนะ เลยมาฝากผลงาน *สาวบ้านนา*ให้คุณลองอ่านดูนะคะ http://www.thaipoem.com/forever/my_poem.php?mid=6042 พุด... หรือ อีกนามปากกา..สาวบ้านนา..ค่ะ
18 เมษายน 2550 19:38 น. - comment id 684133
อ่านแล้วคิดถึงบ้านจังค่ะ... เมื่อก่อนเคยกลับไปแต่นานมากๆแล้ว... พอปิดไฟปุ๊บเสียงหมาหอนปั๊บ..รีบนอนคลุมโปงเลยค่ะ และขอนอนกลางไม่กล้านอนริมๆเลยค่ะ.. แตตอนเช้าอากาศดีมากค่ะ..อยู่ท่ามกลางขุนเขา.. น้ำตกไทรโยค..แม่น้ำแควน้อย..และป่าธรรมชาติที่งดงามค่ะ.
18 เมษายน 2550 23:11 น. - comment id 684235
คราย...ครายเรียกหาเค้าแมว...งิงิงิ มาแว้ววว...อิอิอิ