http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song314.html (บ้านเรา) กลบทบุษบารักร้อย, บัวบานขยายกลีบ) หอม..จันทร์อุบะอุบะเจ้า.......จำปี เรียมเอย หอม..พุดซ้อนซ้อนวจี......... ..วจะห้อม หอม..สายหยุดหยุดรวี...........สวาทพี่ บ่หยุดนอ หอม..รื่นมะลิมะลิล้อม..........ร่ำแก้มตรลบหมอนฯ ราตรี นี้... กับพวงมาลัยมะลิแซมกุหลาบ พร้อมอุบะดวงดอกรักสองชายแสนงาม วางในขันโตก ขันดอกใบเล็กสีแดง เคียงโถแก้วที่ใส่ดวงดอกเล็บมือนาง ที่ดวงเกี่ยวเก็บเอามาจากริมรั้วบ้านวิมานดินวิมานไพร ดวงนั่งที่เก้าอี้แดงตัวเดิมโดดเด่น ตรงหน้า...แลลอดมองผ่าน จาก...กระจกบานกว้างจนเต็มผนัง จะเห็นเรือนระแนงไม้ ซุ้มการะเวก ที่กำลังเกาะเกี่ยวชูช่อเลื้อยพันยอดอ่อนพิสุทธิ์สวยเขียวใส ไปตามผนังปูน จนเกิดลวดลายลูกไม้แสนอ่อนหวาน ให้แสนสราญใจ เสียไม่มี ยามทอดทัศนา และ.....ดวง เปิดโคมไฟสีฟ้าทำงาน พร้อมกับโคมเชือกถักสีทองให้งามผ่องพราย ได้อารมณ์ดำดื่ม ล้ำลึก พร้อมพรรณนา.. ตั้งใจ... อ่านเขียน เพียรด้วยรักรจนาภาษาไทยภาษาทอง ภาษา...แห่งผองชนคนไทยทั้งแผ่นดิน ที่เราควรรู้คุณค่าอนุรักษ์ไว้ มิให้สูญสิ้นเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา เพื่อ.. ดำรงธำรงรักษาไว้ให้ลูกหลานไทย ได้ใช้ ด้วยความภาคภูมิใจ ที่เรามีสร้อยอักษราอิสรา เป็นภาษาของเราเอง... ดวง...ตื้นตันใจ กับพระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงห่วงใยภาษาไทย และ... ทรงตรัสให้รู้คุณค่าช่วยกันสืบทอดรักษาไว้ ในทิศทางที่ถูกต้อง ตามครรลอง.. แห่งภูมิปัญญาของบรรพชน บรรพบุรุษแห่งชาติเรา.. ดวง..จึงภูมิใจทุกครา ที่ได้ร่ายรจนา และ... ผ่านมาหลายปี ที่ดวงยังคงนั่งอยู่ตรงนี้ที่พิสูจน์ด้วยการกระทำ หวังเพียงแค่ได้ซื่อสัตย์ทำในสิ่งที่รัก ฝากคำใสคำภักดิ์คำหวานละมุนดับโลกแล้ง รินร่ำพร่ำปลอบประโลม ให้ทุกดวงใจได้มีนวลเนื้อใจไสวพร่าง งามดั่งแก้วเก้าอัญมณี มีชีวี แสนงามกระจ่างแจ่ม ดั่งเส้นทาง.. *ส า ย รุ้ งแ ห่ง ชี วิ ต ฟ้ า ข ลิ บ ท อ ง...!* ได้พบไสวบุญ รู้เพิ่มเติมต่อทุนธรรมทาน คือ การให้ ให้ อย่างไร้ร้องขอ มิยอมท้อแท้ แพ้พ่าย ให้คอยสร้างสรรสิ่งที่ควร แม้น.. จักสักนิดสักน้อยก็ยังดี ที่จักเรียนรู้ที่จักพลีปันแบ่ง แบ่งฝัน ฝัน ฝัน อันคือพลัง...ที่จักขับเคลื่อนให้โลกแลชีวิต มีแรงหมุน หมุนไป ไม่มีที่สิ้นสุด เสมือนน้ำใส ในบ่อโลกย์โศกทุกข์ ได้ดับดำ ที่ทุกวันนี้... มีคนมากมายที่หาใช่มนุษย์ฤาก็หาไม่ เป็นได้แค่คนคนคน ที่มีดวงวิญญาณสัตว์ป่ามาสิงสู่ หมายรู้ได้แต่เพียงเที่ยวทำลาย หมายเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ อย่างแสนน่าเศร้า สะเทือนใจ ดวง..เศร้าใจวันนี้ หลังมีเวลาดูข่าวภาคค่ำ ที่เห็นโศกนาฏกรรมการลอบวางระเบิด แม้นกระทั่งธนาคาร ที่จังหวัดยะลา และ... ทำให้คนดีต้องหนีตายด้วยความหวาดผวา จำต้องทิ้งแผ่นดินบ้านช่องห้องหอเรือนรัก ที่พร้อมพรักพร้อมหน้า อันเคยแสนสงบสุขร่มเย็น มานานปี ที่ณ..บัดนี้กำลังลุกเป็นไฟ *ไฟใต้* ที่ร้ายแรง และ เราทุกคนต้องร่วมแรงใจ ดับไฟนั้นด้วยการปันพลี ด้วยความดี วอนให้ทุกฝ่ายหันหน้ากันมาสมานฉันท์สามัคคี และมีน้ำใจมีเมตตา และ.. จงได้สวดมนต์อธิษฐานจิตภาวนา ให้ร่มพระบารมีขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้กางกั้น และเปิดจิตวิญญาณทุกผู้คนที่กำลังมืดบอด ได้มีดวงตาเห็นธรรม น้อมนำมาสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระองค์ท่านได้ทรงทุ่มเทพระเสโท เพื่อแผ่นดินไทยแผ่นดินทองแผ่นดินธรรม นี้ มาอย่างยาวนาน อย่างเสียสละ อดทน และ..... ด้วยดวงกมลใสฉ่ำเย็น อย่างไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่ว่าชาติ ศาสนาใด..... และ... ดวง... ขอจบบทรจนาด้วบทกวีของยอดมิ่งมิตร *ลำน้ำน่าน* ที่งามจิต งามใจ สอน..บทเรียนชีวิตให้เรา รักชาติ รักในวิถีไทยวิถีธรรมวิถีทุ่ง และ ยังคงมี บ้านเมืองแผ่นดินเรืองรุ่ง มีชีวิตแสนสุขสงบงาม ดั่งนิยาม *ส า ย รุ้ งแ ห่ง ชี วิ ต ฟ้ า ข ลิ บ ท อ ง...!* ไปตราบนานเท่านาน จนกว่า... ลมหายใจเรานี้ จะปลิดปลิวอย่างไม่เสียชาติเกิด ไม่เสียใจ..เลย..!! .................................. ............................................. แผ่นดินพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ยุคทองแห่งการดนตรี กวี แลศิลปะ (กลบทบัวบานขยายกลีบ) (๑) สิ้น..บัลลังก์บ่ายฟ้า.........จุฬาราง แล้วฤา สิ้น..ศึกสรรพรายทาง..........ทัพเก้า สิ้น..ทุกข์สุขสละวาง..............วัฏใหญ่ ยิ่งนา สิ้น..แผ่นดินผลัดเจ้า............จรัสค้างชีพไฉนฯ (๒) พระสืบแท่นกษัตริย์ท้าว...แทนบิดา ทรงเครื่องพระภูษา.................สง่าพื้น เปลวทองปลั่งพารา.................ไพรจิตร จรดเอย จารีตสังคีตครื้น......................ครั่นฟ้าเฟือนสวรรค์ฯ (๓) โหมแตรสังข์ปี่โพ้น...........พลับพลา สงฆ์สวดพาหุงมหากา..............โศลกซ้อง ราชพิธีบรมราชา-....................ภิเษก พ่อนา เสนาะพาทย์ประโคมก้อง........ เกริกหล้าโพยมหนฯ (กลบทบัวบานขยายกลีบ) (๔) ผลัด..เปลี่ยนกษัตริย์เจ้า....จรบัน สยามนอ ผลัด..เครื่องกกุธภัณฑ์..............ปลาบปลื้ม ผลัด..ภักดิ์บ่อาสัญ.....................ณรงค์ทาส นะแม่ ผลัด..แผ่นดินพม่าครึ้ม.............กริ่งใต้ทัพถลางฯ (๕) ศึกอดีตรุมกรีดเร้า..........รอยลาญ นะแม่ ปราบม่านเจ้าชมชาญ............ชักช้าง ชายชาติมิอาจทาน.................ทัพแตก เทวษนอ ป่าเถื่อนห่อนเลือนร้าง...........ระลึกแค้นไพร่สถุลฯ (กลบทวัวพันหลัก) (๖) อยุธยายามยากโพ้น...........เพรงกาล แลแม่ กาลแตกสาแหรกลาญ.............ร่างช้ำ ช้ำชอกหอกเสียบพาล..............แปลบพร่า สกนธ์เอย พร่าไพร่เอ็นหวายซ้ำ..............เสียบร้อยเลือดสลายฯ (๗) เสียงร้องร้าวร่ำไห้.............ปฐพี แม่เอย หมกป่าคาหลายผี....................เหยื่อแร้ง กวาดต้อนสู่หงสาวดี.................ดงดิบ จากค่ายสามโพธิ์แจ้ง...............ประลาตแล้วเป็นไฉนฯ (๘) พระปูนพระอิฐสร้าง............สอนใจ ใดฤา ระลึกภาพอเวจีภัย...................พี่ห้าม เหตุประหวัดพลัดเวียงชัย........ชาติแจร่ม นะแม่ สลักติดนิมิตข้าม......................คั่งแค้นอรินทร์เหวยฯ (๙) หวังพระพุทธเลิศหล้า...........หลอมชน นะพ่อ ฟื้นถิ่นฐานมณฑล.....................หว่านข้าว เบิกบุญหล่อเทียนลน................ร้ายพ่าย ขับกลิ่นมิ่งไม้เคล้า....................คู่หล้าวนาสยามฯ (๑๐) ปางพระพุทธเลิศหล้า...........นภาลัย ราชบุตรเกรียงไกร.....................ก่อนน้อย ตามเสด็จภูวไนย........................นองศึก นานนา พระบิดาหอบห้อย.......................ห่อนห้ามณรงค์หาญฯ (๑๑) ราชพิธีโปรดให้.....................หวนครา อยุธยายศล่มลา.............................เลิกร้าง วิสาขบูชา......................................ชุบชื่น ชีพนา แสงพระพุทธเคล้าข้าง....................ขับฟ้าสบสมัยฯ (๑๒) สังคายนาบทสร้อย............เสน่ห์มนตร์ เสริญสวดร่ำมณฑล...................สงบแท้ สงฆ์สาวกอำพน........................ปราชญ์เปรื่อง เพรงพระธรรมล้ำแล้.................หล่อเลี้ยงเหล่าสยามฯ (๑๓) พระประสงค์โปรดแก้ว..........กิจกลาง บูรณะพระปรางค์..........................เก็จเก้า อุษาโยคอโศกราง.........................ฤกษ์รุ่ง รุจีเอย ประพุทธ์ประภาสเจ้า.....................วัดแจ้งอรุณฉายฯ (๑๔) ภูมิภุชโปรดสิ้น.......................สนองเทศ รณรงค์ประเวศน์...........................วัตรหน้า ผูกอังฤกษโปรตุเกส.......................การทูต เจริญนา จีนส่งเสริมการค้า...........................ครึกครื้นคั่งขายฯ (๑๕) พระปรีชาชุบชื้น...................เชลงกานท์ ตาดทิพย์ศิลปาการ........................คร่ำแก้ว ศิลปะสร้อยสังวาล..........................วังค่ำ แสดงนา พิณพาทย์ไพรำแผ้ว......................ผ่องผ้าศิลป์สยายฯ (๑๖) บานมณเฑียรสลักไม้..........มาลย์เนียน วัดระฆังระเมียร........................ม่านฟ้า หอไตรร่ำรำไพเทียน.................ภายค่ำ ประดับแฮ แสงระยับขับบานอ้า...................อ่องพื้นสว่างสรวงฯ (๑๕) บานประตูจำหลักไม้...............มนตร์วนา สุทัศน์วิหารปรา-............................สาทสร้าง สลักรูปสิงสา-.................................ราสัตว์ กระต่ายใต้จันทร์สล้าง...................แทรกไว้คล้ายฝันฯ (๑๘) หุ่นหลวงพระนึกหน้า..........นาบรอย ไม้ปักสลักสอย............................เสาะคว้าน พระยารักใหญ่น้อย.....................นาทคู่ เนานา ทิพย์หัตถ์ขัดปรางป้าน.................ปาดไม้สฤษฏ์สรรค์ฯ (๑๙) กวีทองครองเก็จแก้ว..............ไกวัล ปราชญ์เปรื่องกรองประพันธ์...........ประพจน์ฟ้า ดั่งทวยเทพประพนธ์ธรรพ์..............ธีรราช พ่อนา โปรยพร่างนภางค์หล้า....................หฤษฎ์สร้อยอักษรฯ (๒๐) อิเหนาพรอดรักน้อง.........บุษบา ราชนิพนธ์มณฑา-....................รพคล้าย สุวรรณศิลป์รัมภา.....................รังเรข สยามเอย กลอนละครละม้าย.....................มกุฎร้อยกรองสวรรค์ฯ (๒๑) บทละครรัตน์ล้ำ.................ลำยอง ไชยเชษฐ์ไกรทอง.....................แต่งไว้ สังข์ทองพระคาวีกรอง.................คำร่าย งามละครดอกไม้........................มิ่งแก้วมณีพิไชยฯ (กลบทบัวบานขยายกลีบ) (๒๒) เห่..บทเห่กาพย์ถ้อย...........ลอยพิมาน ลงฤา เห่..ขนาบทาบทองธาร.................ท่านเกื้อ เห่..ชมเครื่องคาวหวาน...............หวิวซ่าน โสตแฮ เห่..นักขัตฤกษ์เชื้อ.....................ชดช้อยกาพย์ขวัญฯ (๒๓) เสียงซอซอซาบซึ้ง...............ศศิมนตร์ โสมส่องทองมณฑล......................ทิพย์หล้า บุหลันเลื่อนลงยล........................ยศยิ่ง กษัตริย์แฮ ซอเซ่นสรวงสายฟ้า-....................ฟาดฝ้าโศกสลายฯ (๒๔) พระองค์ทรงโปรดด้าน..........ดนตรี อุปถัมถ์คีตกวี................................เวี่ยไว้ ปี่พาทย์มโหรี.................................รังรักษ์ สฤษฏ์แฮ ราชภัฏค่ำเช้าไซร้..........................ซ่านซึ้งซอสรวลฯ (๒๕) กวียุคพระเลิศหล้าฯ..................พรรณราย ดั่งเพชรเก็จประกาย.........................นพเก้า พระปรมานุชิตชาย............................ชิโนรส พ่อนา กรมพระยาเดชาฯเร้า........................เร่งร้องสืบศิลป์ฯ (๒๖) กวีเอกกำเนิดนั้น...............พระสุนทรฯ วรรณคดีคลี่ขจร.........................ขจ่างเช้า โคลงแจ้วแว่วขับกลอน...............กรุงกล่อม เสนาะแฮ นิราศหยาดหยดเคล้า.................ภู่ผึ้งมธุสรฯ (๒๗) เสร็จสงค์ราชภิเษกแล้ว........เรียมอนงค์ พี่เอย เสร็จศึกเสี้ยนเผ่าพงศ์...................ประสบเจ้า แพรบำเหน็จธำมรงค์.....................รจิตรับ ขวัญแม่ สไบห่มตระกองเคล้า......................แนบเนื้อหอมสงวนฯ (กลบทช้างประสานงา) (๒๘) พิศพระจันทร์แจร่มหล้า..........หลิ่วเงา หลั่นเงื่อนงามระบายเบา..................บ่มฟ้า บุญฟากบ่มสองเรา...........................ร่วมสุข นะแม่ รักสร่างจันทร์เจ้าข้า..........................ขจ่างขึ้นแรมหลังฯ (๒๙) เพรงกาลปางศึกร้อน..........รณรงค์ นะแม่ บากบุกป่าฝ่าดง..........................ดิบชื้น หนาวเนื้อบ่ปลิดปลง...................ปรางอุ่น ระลึกแล หวาดหวั่นจันทร์ข้างขึ้น...............แจร่มเจ้าเดือนหงายฯ (กลบทกินนรเก็บบัว, บัวบานขยายกลีบ) (๓๐) หอม..มะลิรวยมะลิซ้อน.............แซมวนา แม่เอย หอม..อ่อนอกอ่อนบุษบา...................แบบเจ้า หอม..อวลอบอวลเกศา.....................ศรัยสวาท หอม..ชื่นจิตชื่นเช้า.........................ชาตินี้บุญหอมฯ (กลบทนาคบริพัตธ์) (๓๑) แรมรบเรียบล่องน้ำ.........ธารปลา ธารปล่อยไพร่ผยองมา..............มาดม้วย มาดเมืองแม่อยุธยา..................ยศหยิ่ง สยามนอ ยศหยาดยอดยิ่งด้วย.................ดาบแก้วกษัตริย์หาญฯ (กลบทครอบจักรวาล) (๓๒) นภางค์กว้างทางช้างเผือก.....พาดนภางค์ สร้อยอ่อนคล้องคอนาง..................เปรียบสร้อย หมู่ลูกไก่ไถทาง............................ทวิหมู่ ระยิบนอ สมานแข่งแสงหิ่งห้อย...................หนึ่งหน้าเรียมสมานฯ (กลบทก้านต่อดอก) (๓๓) หนึ่งนวลหนึ่งแม่นั้น..........นรีพลี จงรักภักดีมี...............................ใคร่ให้ จากลาล่าไพรี.............................ร้างร่าง แลแม่ หน้าที่ราชการไซร้......................สาปเพี้ยงณรงค์หลงฯ (กลบทบัวบานขยายกลีบ) (๓๔) กลับ..สู่เรียมเหนี่ยวน้าว..........นอนเรือน กลับ..สู่หับนับเดือน..........................เคลื่อนคล้อย กลับ..สดับไก่ขันสะเทือน..................ทุ่งรุ่ง แล้วแม่ กลับ..ดื่มเสียงสำเนียงอ้อย................อิ่มลิ้นวจีสมรฯ (กลบทบุษบารักร้อย, บัวบานขยายกลีบ) (๓๕) หอม..จันทร์อุบะอุบะเจ้า.........จำปี เรียมเอย หอม..พุดซ้อนซ้อนวจี......................วจะห้อม หอม..สายหยุดหยุดรวี.....................สวาทพี่ บ่หยุดนอ หอม..รื่นมะลิมะลิล้อม......................ร่ำแก้มตรลบหมอนฯ (๓๖) คะนึงนวลมวลไม้ป่า................ลดาวัลย์ แม่เอย กลางทัพศึกติดพัน........................ไพล่น้อง ราตรีดอกกระสัน...........................กระส่าย สวาทแม่ จันทน์กะพ้อพะนอข้อง...................ขาดเนื้อนวลระหงฯ (๓๗) ขึ้นสิบห้าค่ำแล้ว...................ลอยบุหลัน โพยมฤา เดือนเจ็ดเดือนแปดผัน................ผ่านข้าม ท้องทุ่งเจิ่งวสันต์...........................ไพสพสุข แล้วแม่ ไถหว่านสะคราญน้ำ.....................อู่ข้าวโกสินทร์ฯ (กลบทบัวบานขยายกลีบ) (๓๘) รอ..พรากหากพม่าแม้น........คืนผยอง รอ...ร่วมบาปบุญครอง...................คู่สร้าง รอ...ชายชาติณรงค์ทอง..................ทเมินศึก อีกเฮย รอ...ชีพดับทัพร้าง..........................ร่อยเชื้อทหารหาญฯ ------------------------------------- ในบรรดาวรรคทองของนิราศนั้น กวีขาดไม่ได้ที่จักพรรณาถึงความรักและอาลัย ในหญิงงามแห่งตน และการพลัดพราก หมู่มวลดอกไม้ก็พร้อมใจกันส่งกลิ่นหอมตลบป่า ในยามที่ชายชาญสกาแรมไพรเพื่อการศึก จากการรุกรานของพม่าอยู่เนืองๆ ปลายแผ่นดินรัชกาลที่ ๒ นั้นการศึกสลายแล้ว อู่ข้าวอู่น้ำและดินแดนแห่งดอกไม้ไทยหอม ยังคงงามสะพรั่งประดับยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยที่บ้านเมืองยังดี เสียงขลุ่ยแผ่วแว่วมาสะอื้น บ่งบอกถึงความมั่งคั่งและร่มเย็นเป็นสุข ภายใต้ร่มโพธิ์พระมหากษัตริย์และพุทธศาสนา เมื่อต้นข้าวออกรวงเขียวไสว วสันต์มาเยือนหล้า ชีวิตชาวสยามต้นรัตนโกสินทร์จึงมีมนตร์เสน่ห์ อย่างไม่มีวันจรจางไปจากห้วงลึกแห่งดวงใจ แม้นข้าพเจ้าเกิดไม่ทันสมัยบ้านเมืองยังดีก็ตาม การสงครามมีแต่นำความวิบัติมาสู่เผ่าพันธุ์มนุษย์ แม้กระทั่งพม่าเองก็ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ จึงได้รามือพักรบชาวสยามตั้งแต่นั้นมา กงกรรมกงเกวียนตามสนองอย่างมิต้องสงสัย ในขณะที่สยามประเทศได้ภาคภูมิ และดื่มด่ำกับเสรีภาพจากประเทศยุโรป แล้วเหตุใดเล่าคนไทยสมัยนี้จึงมิรู้จักรักแผ่นดิน ตอบแทนน้ำใจบรรพบุรุษแต่ปางบรรพ์ ที่พึงรักษาบ้านเมืองมา..... แม้เพียงน้อยนิด ถือว่ากตัญญูต่อแผ่นดินแล้ว นึกตอนที่พม่าต้อนชาวกรุงศรีไปหงสาวดีหลังพ่าย เจาะเอ็นข้อเท้าร้อยด้วยเชือกหวายในป่า ต้อนไปเยี่ยงสัตว์ ตายกลางทางก็ให้แร้งกาทึ้งกิน ปวดแปลบเหลือเกิน เกินกว่ามหาพรหมยมพญาองค์ใหนจะรับรู้ ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์ ๕ กันยายน ๒๕๔๘ ....................................... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song314.html บ้านเรา บ้าน เรา แสน สุขใจ แม้จะอยู่ ที่ไหน ไม่สุขใจ เหมือนบ้านเรา คำ ว่าไท ซึ้งใจ เพราะใช่ ทาสเขา ด้วยพระบารมีล้นเกล้า คุ้มเรา ร่มเย็น สุขสันต์ รุ่ง ทิพย์ ฟ้า ขลิบทอง พริ้วแดดส่อง สดใส งามจับใจ มิใช่ฝัน ปวง สตรี สมเป็นศรีชาติ เฉิดฉัน ดอก ไม้ชาติไทยยึดมั่น หอมทุกวัน ระบือ ไกล บุญ นำพา กลับมาถึงถิ่น ทรุดกายลงจูบดิน ไม่ถวิลอายใคร หัว ใจฉัน ใครรับฝาก เอาไว้ จาก กัน แสน ไกล ยังเก็บไว้ หรือเปล่า เมฆ จ๋า ฉัน ว้า เหว่ ใจ ขอวานหน่อยได้ไหม ลอยล่องไป ยังบ้านเขา จง หยุดพัก แล้วครวญรับฝาก กับสาว ว่าฉันคืนมาบ้านเก่า ขอยึดเอา ไว้เป็น เรือน ตาย...
1 กันยายน 2549 08:00 น. - comment id 602763
ขีวิตมีการเปลี่ยนอยู่เสมอครับ แต่ละคนย่อมมีหน้าและภาระที่แตก ต่างกัน
1 กันยายน 2549 08:02 น. - comment id 602764
ได้ความรู้เยอะมากเลยค่ะพี่พุดวันนี้ ขอบคุณพี่พุดนะคะ
1 กันยายน 2549 13:14 น. - comment id 602810
สวัสดีค่ะ พี่พุด พี่พุดสบายดีนะค่ะ พี่พุดค่ะบัวไม่อยากให้ประเทศสยาม ต้องไปเจอแบบนั้นเลยค่ะ บัวอ่านประวัติแล้วที่ประเทศสยามต้องเสีย กรุงก็เพราะมีไส้ศึกหวังประโยชน์ ส่วนตัว บัวเห็นใจคนทาง 3 จังหวัดนั้นจังเลยค่ะ เพราะต้องอยู่กันแบบขวัญหนี ขนาดตอนนั้นนะค่ะ ที่โรงพยาบาลราชบุรีโดยพวกก็อตอามี่มายึด บัวยังไม่นอนกันเลยค่ะกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นเพราะเสียงเครื่องบิน บินตลอดเวลาค่ะ พอเช้ามืดก็ได้ยินเสียงทั้งปืนทั้งระเบิด บัวงี้ไม่กล้าเปิดประตูบ้านเลยค่ะจนเขาประกาศว่าเรียบร้อยแล้วนั้นแหละถึงเปิดบ้านออกมาค่ะ แล้วนี้ที่ทางใต้ไม่รู้เลย ว่าเราไปที่ไหนแล้วจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างนะค่ะ อย่างนี้หวังไม่ได้เลยว่าคงจะเป็นคนที่ถึงคราวถึงโดนเพราะคนที่ยังไม่ถึงคราวก็โดน เสียแล้ว เพราะฉะนั้นเราคงต้องเตรียม สร้างความดีสร้างกุศลไว้ตลอดเวลานะค่ะ เพราะเดี๋ยวจะสายเกินไปที่ยังไม่ได้ทำเลยค่ะ พี่พุดสบายดีนะค่ะ รักษาสุขภาพดีๆนะค่ะ บัวขอให้พี่พุดปลอดภัยค่ะ
3 กันยายน 2549 07:48 น. - comment id 603088
คนที่เขียนเก่งเขียนมากที่สุดต้องเป็นคุณพุดพัดชา