ดารา

ตราชู

เพื่อนๆทุกท่านครับ นับตั้งแต่กลางปี พ.ศ. ๒๕๔๕ เป็นต้นมา ผมเริ่มตระหนักถึงทางเดินของตนแล้วว่า มุ่งหมายเขียนร้อยกรองเพื่ออะไร จากหนังสือกวีนิพนธ์ชั้นครูหลายเล่มที่คุณน้าท่านอ่านให้ฟัง ทำให้ผมมีเจตนารมณ์ที่จะสะท้อนทุกข์ยากของผู้คนในสังคม เท่าที่ตนสามารถกระทำได้ให้เต็มกำลัง ทั้งกำลังกาย และกำลังใจ ผมภูมิใจเสมอครับ เมื่อร้อยกรองซึ่งเขียนจบลงด้วยมือตน (แม้จะฝีมืออ่อนด้อยนักหนาก็ตามที) ได้บรรลุเจตนาของตนแล้ว 
	นี่เป็นอีกบทซึ่งผมเขียนไว้เมื่อประมาณสองปีก่อน ด้วยความสะเทือนใจในชะตากรรมของเพื่อนในโลกมืดเช่นเดียวกับผม เพื่อนๆคงเคยเห็นวนิพกตาพิการนะครับ มีทั้งในรูปวงดนตรีคนตาบอด ทั้งในรูปคนสัญจรตะลอนตระเวนไปทั่วย่าน มีขันหนึ่งใบคู่เคียงกายตลอดเวลา ผมไม่เข้าใจเลย ว่าเหตุใด ผู้คนในสังคมมนุษย์จึงถูกกระทำให้แตกต่างห่างชั้นกันนักหนา ผมเชื่อครับ เชื่อว่าเพื่อนๆของผมเหล่านั้น ไม่มีใครอยากเป็นในสิ่งที่ตนกำลังเป็น (หรือจำต้องเป็น) แน่หละ ทุกคนปรารถนาอนาคตอันดีสำหรับชีววิตทั้งสิ้น แต่แล้วทำไม?  ทำไม?  ทำไม? พวกเขาจึงหลีกหนีจากบ่วงทัณฑ์พันธนานี้ไม่พ้น เหตุใด ปัญหาความเป็นอยู่ของคนพิการ จึงไม่เคยถูกสะสาง หรือแก้ไขอย่างจริงจังเสียที ผมพยายามลองจินตนาการว่า หากผมเป็นพวกเขา จะนึกคิดเช่นใด นี่คือที่มาของร้อยกรองบทนี้ครับ
ดารา
	นามของเขาเล่าลืออึงอื้อร่ำ
เสียงซ้ำซ้ำแซ่ซั้นซ้องสรรเสริญ
กุหลาบโปรยโรยระหว่างหนทางเดิน
ดังได้เหินหนหาวห้วงดาวดึงส์
	ละครฉายพรายภาพพึงทราบตระหนัก
มีคนรักเรียงรันรุมกันทึ่ง
เดินถนนคนเพรียกร้องเรียกอึง
รุมกันทึ้งขอรูปถ่าย ขอลายเซ็น
	มีสัมภาษณ์ดาษดื่นชวนชื่นแช่ม
เขาเยื้อนแย้มยิ้มย่องย่อมมองเห็น
หลายคนคิดริษยาว่าอยากเป็น
ประเทียบเช่นดาวช่วงเด่นดวงประชัน
	เหน็บลมหนาวร้าวหน่วงในทรวงซึ้ง
ลมตีตึงต้องร่างจนคางสั่น
เยือกกระทุ้งสะดุ้งตื่นพลิกฟื้นพลัน
รู้ว่าฝันใต้สถานสะพานลอย
	ไม่มีแล้วดาราอ่าอะคร้าว
น้ำตาพราวพร่างอยู่พรูพรูผลอย
เหมือนถูกดึงทึ้งดิ่งทิ้งจากดอย
มาตกด้อยนอนดิ้นในดินแดน
	ละครฉายพรายพร่าชะตาตก
มือนรก ร่างบทให้โลดแล่น
รู้สำนึกตรึกตนคือคนแคลน
ไม่มีแก่น, มีแต่กายชายพิการ
	ประทีปทองสองข้างไร้ร้างแล้ว
ไม้เท้าแก้ว ก้าวนำย่ำทั่วย่าน
ขันหนึ่งใบไว้รอขอเศษทาน
ที่เจือจานแจกอวยด้วยน้ำใจ
	สิ้นรังเรือนเพื่อนรักให้พักอยู่
ใครบ้างรู้จักหน้าก็หาไม่
ความเหงารายทายทักมือกวักไกว
เขาต้องให้ลายเซ็นอยู่เป็นประจำ
	น้ำตาต่างหมึกจดจรดลาก
เซ็นซ้ำซากซึมเซาทั้งเช้าค่ำ
ความทุกข์รอขอสัมภาษณ์ฉกาจกรำ
มันถามย้ำแต่ฉากลำบากระบม
	เขาร้องไห้ ใครเล่าเห็นเขาบ้าง
บางคนถางถากทับให้ยับถม
ใครเล่าหมายชายตามาชูชม
เพียงนิยมหย่อนทานแล้วผ่านเลย
	ใครเล่าคิดสร้างละครตอนคนยาก
บอดลำบากบาปบ่ม สังคมเฉย
แสนกรอมกรมก้มหน้ามิกล้าเงย
โอ้อกเอ๋ยเป็นได้แต่แค่ขอทาน
(เขียนไว้ ณ ปี พ.ศ. ๒๕๔๖ แก้ไขบางส่วน ปี พ.ศ. ๒๕๔๙)
____________________________________________________				
comments powered by Disqus

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน