ลมหวนชวนฝันรัญจวน ลมอึงคะนึงพึงโหมโถมกระหน่ำ ฟ้าครวญคร่ำร่ำร้องก้องเวหา ใบไม้แห้งลอยระบัดพัดไปมา กิ่งต้นหว้าสั่นไหวไกวโอนเอน เหล่าแมกไม้ใบหญ้าให้เอนลู่ สายฝนพรูสู่พื้นสาดกระเซ็น วิชชุผ่าฟ้าฟาดต้นขาดกระเด็น มองจนเห็นรอยแยกแตกเป็นทาง ก่อนครานั้นเคยนั่งใต้ต้นหว้า นัดกานดามาพบจวบฟ้าสาง ต่างชวนมองแสงจันทร์อันพล่าจาง ดาราสว่างแสงสีที่งามตา ผีพุ่งใต้ให้ตกเป็นทิวแถว สุดปลายแนวชายทุ่งยากมุ่งหา เคยหยอกเย้าเปรียบตัวยั่วกานดา วันข้างหน้าอาจพรากต้องจากกัน ไม่คิดเลยเคยเฝ้าเย้าหยอกล้อ ล้วนจะก่อเป็นจริงสิ่งโศกศัลย์ ต้องมาพรากจากไปแสนจาบัลย์ ต้นหว้านั้นมาพรากพลันจากไป ยืนรำพึงถึงความหลังครั้งก่อน สุดสะท้อนดวงหทัยให้หวั่นไหว ภาพความหลังครั้งเก่าซึ้งในใจ โอ้เหตุไฉนต้นหว้าคนมาจร ต่อไปนี้ใครเล่าเฝ้าส่งเสียง ด้วยสำเนียงหวานแว่วแผ่วอักษร บอกช่วยเก็บลูกหว้าให้บังอร ทุกขั้นตอนอ้อนวอนสุดน่าดู อนิจจานี่นะหรือคือชีวิต เมื่อมาคิดจิตใจให้อดสู วิบากกรรมทำไว้แก่ยอดพธู หวนคิดดูรู้แจ้งแล้วเห็นกระจ่าง ว่าทุกอย่างในโลกล้วนจบสิ้น ส่งให้ผลินอนัตตามานำทาง แล้วค่อยร้างห่างหายจนวายวาง ดุจดั่งสร้างทางไว้ค่อยทำลาย ขยับผ้ากาสาวพัตรรัดกายแน่น นำบาตรแขวนคล้องไหล่มิให้หาย แผ่เมตตาผลานิสงส์สัตว์ทั้งหลาย ให้ได้คลายหน่ายทุกข์สุขตามมา ยกกลดได้ใส่บ่าออกเดินจาก ยกสิ่งพรากจากไปปลงแล้วหนา จิตหมายมุ่งพุ่งตรงยังพงพนา ลับสายตาอาทิตย์คล้อยลอยลับไป. ๙๙๙ แก้วประเสริฐ. ๙๙๙
10 กันยายน 2547 14:17 น. - comment id 328362
งดงามในปรัชญา ในสายตาแห่งธรรมครับ ๚ะ๛ size>
10 กันยายน 2547 15:34 น. - comment id 328417
:)
10 กันยายน 2547 17:06 น. - comment id 328516
พุดรักงานงามชิ้นนี้จังค่ะ งามจนอยากบอกว่าซึ้งใจมากเหลือแล้วละค่ะ
10 กันยายน 2547 19:47 น. - comment id 328637
อ่านแล้วชอบจังค่ะ อ่านแล้วเห็นภาพได้บรรยากาศมากๆเลย...... แวะมาอ่านและทักทายคุณแก้วจ้า วีนัสก่ะเจ้า
10 กันยายน 2547 22:10 น. - comment id 328747
ปลง ?? จนถึงกับต้องหนีทางโลก .. อืมม .. เหตุผลเบาไปนิด .. ถ้าตัดใจจะเลือกเดินทางนั้น .. ก็คงไม่มารำพึง .. ถอดทอนใจอะไรแบบนี้หรอกนะคะ .. กลอนแต่งได้ดีนะคะ .. แต่จะบอกว่า .. อ่านแล้วไม่คล้อยตามเลยค่ะ .. แหะ ๆ .................
10 กันยายน 2547 22:15 น. - comment id 328749
ออกธุดงค์แล้วหรือคะท่าน อิอิ
11 กันยายน 2547 11:59 น. - comment id 328963
หว้ากระจายเลยค่ะ งานนี้... ตอนต้น..บอกว่าฝนตกนี่ค่ะ แล้วตอนจบทำไมกลายเป็นเดินธุดงค์จนอาทิตย์ลับได้หนอ...แล้วท่านจะเปียกไหม..ค่ะ.. หรือว่าเราอ่านไม่เข้าใจเองหว่า..
11 กันยายน 2547 15:39 น. - comment id 329132
คุณ Robert TingNongNoi ขอบคุณมากครับ แก้วประเสริฐ.
11 กันยายน 2547 15:40 น. - comment id 329135
คุณ ทิกิ ขอบคุณมากครับ แก้วประเสริฐ.
11 กันยายน 2547 15:41 น. - comment id 329136
คุณ พุด ขอบคุณมากครับผมเขียนเรื่องชีวิตผสมธัมมะไว้กลัวคนจะเบื่อเพราะหนักธัมมะไปครับ แก้วประเสริฐ.
11 กันยายน 2547 15:42 น. - comment id 329140
คุณ VeNuS ครับขอบคุณมากครับ ที่แวะเยือนเสมอครับ แก้วประเสริฐ.
11 กันยายน 2547 15:49 น. - comment id 329148
คุณ ชมอักษร หรือครับแต่ความนึกจินตนาการผมนั้นเพียงแค่ว่าท่านที่บวชนั้นเพราะเรื่องรักนั่นแหละอาจเป็นคนที่มีรักจริงและไม่คิดจะมีรักอีกต่อไปจึงหันมาบวชแต่บังเอิญมาพบสถานที่ท่านเคยพลอดรักและฝนตกจึงยืนมองดูแล้วสะท้อนถึงความหลัง เมื่อฝนหยุดตกสามารถเดินทางต่อไปได้จึงได้เดินทางต่อไปพอดีตกตอนเย็นมากจึงสามารถเข้าไปในป่าได้ขอรับท่าน มิใช่ว่าเรื่องนั้นเมื่อพลาดรักแล้วหาใหม่ได้เป็นกันทุกๆคนตามที่คุณนึกนะครับ นานาจิตตังของมนุษย์ไม่เหมือนกันหรอกครับ แต่ละดวงจิตมักจะแปรผันตามตัณหาที่เกิดขึ้นหรือติดตามมาในภพก่อน ฉนั้นหากคนเราเหมือนๆกันหมดถึงแม้ว่าปัญหาจะเล็กน้อยก็ตามโลกนี้คงไม่วุ่นวายหนอหรอกครับ ขอขอบคุณมากนะครับ แก้วประเสริฐ.
11 กันยายน 2547 16:00 น. - comment id 329158
คุณ กุ้งหนามแดงเพื่อนรัก ผมมากระจายเพื่อพยายามให้สอดคล้องกับชีวิตและธัมมะจ้า ที่ว่าเริ่มต้นฝนตกฟ้าร้องคะนองฟ้ามาก ดังที่ได้แจ้งแก่คุณ ชมอักษร ไว้จ้า หากฝนตกมากเป็นอย่างนี้แล้วเดินทางกลางฝนผมว่าเปียกอย่างเพื่อนว่าแน่นอน แต่รู้สึกว่าจิตจะวิปลาสนะเพื่อน ถึงเดินตากฝนไม่หาที่หลบก่อนจนฝนหายหรือซ่างซาลงถึงจะเดินทางต่อไป แต่ผมผูกเรื่องไว้ว่าบังเอิ้ญ บังเอิญ มาหยุดหลบฝนตรงที่เคยเป็นที่พลอดรักกันมาจึงได้กำหนดจิตพิจารณาเมื่อจิตสะท้อนถึงอดีต บอกถึงแนวทางอันหาสิ่งแน่นอนในชีวิตไม่ได้เป็นอนิจจังนะแล้วปลงตามสภาพของพระธุดงค์เพื่อไม่ให้จิตเร่ร่อนอยู่ในความมีสติสัมปชัญญะ เมื่อฝนหายจึงเดินทางต่อไปจนยามเย็นอาทิตย์ลับฟ้านั่นแหละถึงจะเข้าสู่พงพนาไป อิอิ....นิยายน้ำเน่าหรือเปล่าก็ไม่รู้แต่แฝงไว้ซึ่งธรรมคืออนิจจังว่าทุกสิ่งในโลกนี้ไม่เที่ยงแท้แน่นอนย่อมแปรผันเปลี่ยนแปลงได้เสมอ จิตจึงเร้าร้อนไม่หยุดนิ่งเลย....แน๊ะพูดไปพูดมาธัมมะอีกแล้ว เพื่อนรักจะเบื่อหรือเปล่าหนอเบื่อเรื่องไม่เป็นไร อย่าเบื่อเพื่อนคนนี้เสียล่ะนะ...รักเพื่อนมากเสมอ แก้วประเสริฐ.
11 กันยายน 2547 16:06 น. - comment id 329163
คุณ คนเมืองลิง ยังจ้าเพียงยกเรื่องผูกขึ้นเป็นนิยายรักฝากธัมมะไว้นิดหน่อย เพื่อนคนนี้กิเลสยังหนาเน๊อะยังตัดไม่ได้หรอกเพียงแต่พยายามทำใจให้สงบเยือกเย็นก็บุญหัวแล้วล่ะจ๊ะอิอิ เพราะเขียนธัมมะล้วนจะหนักสมองมากไป นึกได้ว่าหากเราเอาเรื่องของชีวิตแจมธัมมะไว้ก็คงจะได้ได้รับความเพลิดเพลินแล้วได้ธรรมประกอบนำไว้ด้วยก็จะดี จึงได้เขียนมาลงไว้จ้า ขอบใจเพื่อนมากนะ ที่ตอบข้ามไปเพราะกระทู้ของคุณชมอักษรและคุณกุ้งฯคล้ายคลึงกันจ้าจึงได้ต้องข้ามคุณไปหน่อยนะขอโทษด้วยจ้า รักเพื่อนเสมอ แก้วประเสริฐ.
24 กันยายน 2547 01:30 น. - comment id 337111
ข้าพเจ้ามาทักทายคุณแก้วประเสริฐ นั้นคือความจริงอันต้องย้อนรำลึกเพื่อเตือนใจเสมอใช่ไหมคะ งดงามจริงค่ะ.......
27 กันยายน 2547 17:00 น. - comment id 339240
คุณ แว่นดอย เป็นงานที่ผมเขียนให้เขาเห็นถึงธรรมที่ไม่แน่นอน แล้วให้เห็นถึงพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่แสวงหาโมกข์ธรรมของพระพุทธเจ้า สิ่งใดก็ตามหากไม่ผ่านร้อนมาก่อนย่อมไม่ซาบซึ้งฝังในใจหรอกครับ ขอบคุณครับ แก้วประเสริฐ.