ฉันเขียนกลอนขึ้นมาก็หลากรส ทั้งเคี้ยวคดลดหลั่นรักทุกข์สุขสันต์ จนเพื่อนนั้นแหนงหน่ายไปตามกัน แต่เพื่อนนั้นถามละได้ในความจริง หากเพื่อนคิดเช่นนั้นฉันขอบอก ไม่ลวงหลอกเพื่อนจะบอกในทุกสิ่ง ฉันเคยได้ฝึกสมาธิเรียนธรรมจริง แล้วทุกสิ่งสงบสุขทุกข์ร้างไกล ครั้นเมื่อจิตรวมใจสงบเป็นหนึ่ง พิจารณาซึ่งกายเราไว้อย่าไปไหน มองให้เห็นร่างกายประกอบอะไร เหตุไฉนจึงรวมไว้เป็นตัวตน อันร่างกายเรานี้เกิดจากธาตุ มีธาตุดินน้ำลมไฟรวมไม่สับสน วิญญาณจึงเข้ามารับรู้ให้เป็นคน หมั่นพิจารณาตนแยกไว้ให้จงดี เมื่อรู้ร่างกายการเกิดมนุษย์นั้น สารพันธรรมชาติกำหนดไม่คงที่ อยู่ที่เวรกรรมเคยสร้างไว้เท่าที่มี มันบ่งชี้หนทางไว้ให้ได้เดิน อันรูปกายวิญญาณนั้นหาใช่อมตะ ควรลดละกำหนดรู้ไว้แต่เนิ่น ด้วยทุกอย่างสลายไปอย่าเพลิดเพลิน ถ้ามันเกินแล้วยากหวนกลับมา ด้วยเกิดแก่เจ็บตายนั้นเพราะตัณหา มันนำมาความโลภโกรธหลงหนา หลงติดบ่วงมารไว้มิได้นำพา จนเวลาผ่านมาเป็นอสงไขยปี เพราะทุกอย่างธรรมชาติสร้างมากนัก มันก็จักเปลี่ยนไปในทุกที่ อนิจจังความไม่เที่ยงแท้ย่อมมี ใจใครที่หลงไว้ได้ครอบครอง ความทุกข์มันจะเข้ามาสู่สม เกิดระบมใจร้อนดุจดั่งไฟต้อง เผาผลาญจิตใจให้โศกหม่นหมอง เป็นละอองครอบใจให้ทุกข์ตลอดไป สิ่งทั้งหลายธรรมชาติสร้างไม่คงที่ เมื่อเกิดมีขึ้นก็สูญสลายไปได้ เรียกว่าอนัตตาจะมาในทันใด เหตุนั้นไซร้ไม่ใช่เราเขาแห่งตน อันรูปจิตวิญญาณอาศัยปัจจัยเหตุ เป็นอนุเฉทที่หล่อเลี้ยงกายไม่ให้ป่น มีรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณปน รวมเหตุผลไว้ให้เกิดเป็นเวรกรรม รูปคือกายเราอาศัยธาตุรวมไว้ เวทนาได้เสวยอารมณ์สุขทุกข์กล้ำ สัญญาคือจำได้หมายรู้เป็นตัวนำ ส่งล้ำให้สังขารปรุงแต่งวิญญาณชม สิ่งเหล่านี้อายาตนะหกเป็นตัวแจ้ง แสดงโดยตาหูจมูกลิ้นใจกายได้สม ภายในมีรูปเสียงกลิ่นรสธรรมารมณ์ เป็นอารมณ์ก่อกำเนิดแก่หญิงชาย สำเร็จเสร็จสิ้นสร้างสรรค์สัตว์มนุษย์ ซึ่งจะผุดมาเป็นมนุษย์สัตว์ทั้งหลาย แล้วชดใช้เวรกรรมทำในบั้นปลาย เพราะทั้งหลายมิรู้เหตุกฎแห่งกรรม ธรรมะนี่ยังมีอีกมากมายนัก เพียงชี้ชักให้เห็นร่างกายเราซ้ำ เมื่อได้รู้ไม่หลงเกิดปัญญานำ ควรจะทำหรือไม่ใคร่ครวญดู. แก้วประเสริฐ. เพื่อนรัก อวิชชานั้นจำไว้หลักใหญ่คือตัณหา โลภะ โทสะ โมหะ คือตัวรากเหง้าใหญ่แห่งอวิชชานี้แหละที่มันขจัดปัญญาเราให้เกิดมัวเมาเป็นทาสมันอยู่เสมอ มนุษย์แท้จริงย่อมมีจิตใจที่ประภัสสรเสมอมา เพราะตัวตัณหานี่แหละจ้าเป็นตัวนำ....รักเพื่อนเสมอ.
11 พฤษภาคม 2547 17:02 น. - comment id 265878
อืม.....รากเหง่าของความชั่ว ขจัดด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา เมกกำลังพัฒนาตัวเองในเรื่องธรรมอยู่อ่ะครับ กลอนของคุณ ช่วยเมกได้มากเลยอ่ะครับ ขอบคุณนะครับที่เขียนกลอนดีดีออกมาให้อ่าน
11 พฤษภาคม 2547 17:04 น. - comment id 265880
อืม.....รากเหง่าของความชั่ว ขจัดด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา เมกกำลังพัฒนาตัวเองในเรื่องธรรมอยู่อ่ะครับ กลอนของคุณ ช่วยเมกได้มากเลยอ่ะครับ ขอบคุณนะครับที่เขียนกลอนดีดีออกมาให้อ่าน
11 พฤษภาคม 2547 17:47 น. - comment id 265892
ซึ้งในบทกวี และซึ้งในหลักธรรมที่ยกมากล่าวอ้าง จะพยามขจัดรากเหง้าเหล่านี้ด้วย อโลภะ อโทสะ และอโมหะ ครับ อ่านบทกวีของคุณแก้วประเสริฐเสมอ แต่มิกล้า comment ใด ๆ
11 พฤษภาคม 2547 19:31 น. - comment id 265952
^J^ ................ เห็นด้วย 100% กับการฝึกจิต ฝึกสมาธิ.... มีประโยชน์กับผู้ฝึกมหาศาล......ฯ
11 พฤษภาคม 2547 20:33 น. - comment id 265980
กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน จะพบพานความจริงสิ่งไร้ฝัน แยกชีวิตจิตใจออกจากกัน เป็นส่วนขันธ์ด้วยปัญญาพาเบิกบาน มาชื่นชมกับวิถีชีวิตและวิถีจิตของคุณแก้วประเสริฐค่ะ ขอให้ประสบความสำเร็จยิ่งขึ้นไปนะคะ
11 พฤษภาคม 2547 20:39 น. - comment id 265984
สันทิฏฐิโก อันผู้ศึกษาปฏิบัติจะพึงเห็นได้ด้วยตนเอง.. ใช่ไหมเพื่อนรัก..
11 พฤษภาคม 2547 21:24 น. - comment id 266014
พึงปฏิบัติให้เป็นปรกติ .. ศีลไม่จำเป็นต้องมี 227 ข้อ แค่ข้อเดียวเท่านั้น คือ ปรกติ .. วันศุกร์ที่แล้ว อัลมิตรามีโอกาสได้ไปกราบหลวงพ่อ ซึ่งเป็นบิดาของอัลมิตรา ท่านให้ธรรมะมาข้อนี้ค่ะ
11 พฤษภาคม 2547 22:58 น. - comment id 266088
เห็นด้วยเต็มร้อย..เชื่อแน่นอนว่า..แฝดเพื่อน..ปฎิบัติจริง..ชื่นชม..และชมชื่นมากค่ะ.. กลอนสมบูรณ์มากทั้งเนื้อหาและความหมาย.. ขอน้อมด้วยใจ..เช่นกัน...
11 พฤษภาคม 2547 23:20 น. - comment id 266102
งามและจะนำน้อมใจไปเพียรปฏิบัติค่ะ ด้วยศรัทธาชื่นชมอย่างสุดใจค่ะ
12 พฤษภาคม 2547 12:04 น. - comment id 266245
คุณ เมกกะ ครับนี่แหละตัวใหญ่ที่สุดของอวิชชาเลยล่ะ โดยมีหน่วยกล้าตายทหารเอก คือ ตัณหา เป็นตัวสั่งการแล้วส่งต่อให้ โลภ โกรธ หลง อีกทีหนึ่ง ทั้งสามตัวนี้จะสั่งการให้ตัณหาดำเนินการแก่จิตใจมนุษย์หรือสัตว์ทั้งหลายครับ แก้วประเสริฐ.
12 พฤษภาคม 2547 12:07 น. - comment id 266248
คุณ ยโส ผมเองเป็นคนที่รับฟังเสมอครับ จะไม่คิดอะไรเพราะการ comment นั้นให้ประโยชน์อย่างมาก หากไม่บอกจะรู้ความผิดพลาดได้อย่างไร จะแก้ไขได้อย่างไร นี่แหละผมเองเป็นคนรับฟังเหตุผลเสมอ ครับ ขอบคุณที่มาเยือนต่อไปช่วย comment ให้ด้วยนะครับขอบคุณมาก แก้วประเสริฐ.
12 พฤษภาคม 2547 12:09 น. - comment id 266252
คุณ กฤษณะ การฝึกจิตเราให้สงบได้คุณค่ามหาศาลดั่งคุณว่าครับ คือจะทำให้เรามีสติมั่นสมาธิเกิด จะทำอะไรความผิดพลาดย่อมน้อยลงผลกุศลก็เกิดทันตาเห็น คือทำให้เราเป็นคนที่ใจเย็น ชุ่มชื่นใจไม่กระวนกระวายใจสามารถรับเหตุการณ์ในนอกได้อย่างมั่นใจของเราครับ ขอบคุณมากที่คุณเข้ามาเยื่อนผมเสมอครับ แก้วประเสริฐ.
12 พฤษภาคม 2547 12:43 น. - comment id 266265
คุณ พี่ดอกแก้ว ขอบคุณมากครับที่กรุณามาแวะเยี่ยมผม ตามคำท่านบอกว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน นั้นคือทางลัดไปสู่พระนิพาน ครับถูกแต้งแล้ว กายาสุสติ คือให้มีสติอยู่ในกายของเราพิจารณากายของเราว่า เป็น อนิจจัง ทุกขับ อนัตตา ว่ามันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปในที่สุด วิปัสสนาคือการพิจารณาธรรมชาติทั้งหลายว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็น อนิจจัง ทุกข์ และอนัตตาย่อมดับไปในที่สุด เพื่อให้จิตใจละซึ่งกิเลศทั้งปวงขจัดทุกข์ให้หมดไปจากจิตใจเรา โดยมี ศึล สมาธิ ปัญญา เป็นตัวขจัด แม้แต่ทุกข์เล็กๆน้อย คืออนุสัยจิต ก็ให้หมดไป จิตใจจะเป็นประภัสสร ใสสะอาดบริสุทธิ์ปราศจากสิ่งมัวหมองทั้งปวง สติปัฏฐาน ๔ หนทางให้พ้นทุกข์ ซึ่งเป็นทางลัดเข้าสู่พระนิพพาน อันมี กายานุสติ อันได้แก่การพิจารณากายเราว่าประกอบด้วย ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ และวิญญาณ ธาตุ ธาตุเหล่านี้จะมาจะชุมกันเกิดเป็นกายเรา เช่น ธาตุดิน ได้แก่ เนื้อ หนัง ธาตุน้ำ ได้แก่ เลือด น้ำลาย ธาตุ ลม ได้แก่อาการเคลื่อนไหวถ่ายเทไปมาเสมอ ธาตุ ไฟ ได้แก่ความอบอุ่น ร้อน ธาตุอากาศ ได้แก่ สูญญากาศในร่างกาย ทำหน้าที่พยุงตับไตใส้ ให้ลอยอยู่ในกายเรา ธาตุวิญญาณได้แก่การรับรู้อารมณ์ ซึ่ง ขันธ์ 5 ได้ดำเนินการตามขั้นตอน ปรุงแต่งสิ่งที่เกิดจาก อายาตนะ๖ ทั้งนอกและใน เพื่อดำเนินการสั่งการให้กายกระทำไป เวทนานุสติ คือ การเสวยอารมณ์ ทุกข์ สุข ไม่ทุกข์ ไม่สุข และการวางเฉยในอารมณ์หมายถึง อุเบกขา จิตตานุสติ คือ จิตที่ปกติจะซัดส่ายไปมาเสมอไม่หยุดนิ่งจะท่องเที่ยวไป เพื่อหาข้อมูล กับมาให้ใจ อันนี้ขออธิบายเพิ่มเติมหน่อย จิต นั้นเป็นผู้ซัดส่ายไปหาแหล่งข้อมูลต่าง มาให้ ใจ ส่วนใจ เป็นผู้รู้ รู้ได้อย่างไร รู้ได้จาก จิตที่นำข้อมูลมาป้อนให้เสมอๆ ฉนั้น จิตกับใจจึงได้แตกต่างกัน ซึ่งบางคนคิดว่าเป็นอันเดียวกัน ซึ่งไม่ใช่ครับ เมื่อรู้สภาพจิตเหล่านี้แล้ว ก็ให้มีสติติดตามจิตที่ท่องเที่ยวไปเสมอเปรียบดังเงาของเราที่ตามเราไปเสมอนั่นแหละ แต่ห้ามไม่ให้บังคับจิตมิฉนั้นจิตจะยิ่งฟุ้งซ่านมากยิ่งขึ้นไม่สามารถรวมตัวเป็นหนึ่งได้ สรุปแล้วคือให้มีสติติดตามจิตตลอดเวลาและตลอดจนใจด้วยครับ ธรรมนุสติ คือสติรู้แจ้งแทงตลอดในธรรมที่เกิดคือ จาก กายา เวทนา จิตตา ว่าเป็นไปตามธรรมชาติ มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เป็น อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ไม่เป็นแก่นสาร ไม่ใช่ของเราเขา เป็นไปตามธรรมชาติ ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นตัวเชื่อมให้เกิดแก่มนุษย์หรือสัตว์ทั้งหลายเป็นต้น เมื่อรู้แล้วให้ละเสีย วางเสียต่อสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นว่ามันต้องเป็นสภาพนี้นะ อย่างนี้นะ เพื่อ ให้จิตเกิดความเบื่อหน่าย ใน โลภะ โทสะ โมหะและตัณหาทั้งปวง จิตก็จะคลายความกำหนัดในสิ่งต่างๆสามารถหยุดซึ่งกิเลสที่พอกพูนในจิตใจเราได้ เมื่อแก่แกล้าเข้าก็สามารถตัดอวิชชาต่างๆได้หมดสิ้น จิตก็ประภัสสร ลุล่วงเข้าสู่พระนิพพาน ครับ หมายเหตุ...ที่ผมทราบมานี้เพราะผมฝึกมาเมื่อจิตรวมตัวเป็นหนึ่งได้ จิตจะไปอยู่ในที่ๆหนึ่งซึ่งเงียบสงบปราศจากสิ่งใดๆทั้งสิ้น ตอนนี้จะละแล้วซึ่งองค์ภาวนาทั้งปวง เมื่อถึงนี้จิตจะเกิดมีสองดวง จะทำการวิสัชนากัน จิตจะสอบถามใจ ใจจะตอบให้จิตทราบ เหมือนเรานั่งฟังพระเทศน์ยังไงยังงั้นครับทำให้เราได้เปิดปัญญาทราบถึงสาเหตุต่างๆได้ครับ ฉนั้นการเขียนของผมนี้มิได้มาจากตำราแต่เมื่อกลับไปอ่านอีกทีจะคล้ายๆกันผิดกันนิดๆหน่อยๆเท่านั้นเอง นี่เป็นการรู้ของผมเองซึ่งเกิดตอนทำสมาธิครับ หากที่เขียนนี้เกิดจากจิตผมวิปลาสแล้วก็ขออภัยด้วย หากท่านผู้รู้ได้รู้ว่าผมผิด ก็ขอได้โปรดช่วยชี้แนะให้ด้วยนะครับ แก้วประเสริฐ.
12 พฤษภาคม 2547 12:54 น. - comment id 266276
คุณ กุ้งหนามแดง ถูกต้องที่สุดเลยเพื่อนรัก ผู้ปฏิติถึงจะรู้เองหากไม่ปฏิบัติแล้วจะรู้แค่อ่านตำราเท่านั้นเอง เพื่อนรักลองอ่านข้างบนที่ได้ตอบคุณพี่ดอกแก้วดูนะเขียนซะยาวหน่อยจ้า ขอบใจเพื่อนมากครับ แก้วประเสริฐ.
12 พฤษภาคม 2547 12:58 น. - comment id 266281
คุณ อัลมิตรา ยอดหญิงฯ ครับเป็นจริงดั่งหลวงพ่อว่ามาเลย คือคำว่า ปรกติ นั้นความหมายคือการ หยุด หยุดอะไรล่ะก็หยุดในทุกข์ซิ หยุดไม่ต้องไปขวนขวายหาอะไรให้มันเกินกว่ารับได้ให้เป็นทุกข์ ทำตัวเราเท่าที่เรามีอยู่ก็จะปรกติ พอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ แม้คำนี้จะสั้นๆแต่ลึกซึ้งความหมายกว้างขวางมาก ขอบคุณมากครับยอดหญิงฯที่มาเยือนให้ธรรมะด้วยขอบคุณมากครับ แก้วประเสริฐ.
12 พฤษภาคม 2547 13:13 น. - comment id 266288
คุณ ราชิการ แฝดเพื่อน การปฏิบัตินั้นผมยังทำอยู่แต่ไม่ได้จริงจังอะไรมากเพียงแต่ถ้าอารมณ์เฉยๆจะภาวนาตลอดเพราะได้เชื่อในคำสอนพระสัมพุทธะมาก คือความไม่ประมาท ไม่มีใครช่วยเราได้นอกจากเราช่วยตัวเราเอง ผมจะภาวนาตลอด คำภาวนา ผมใช้ คำ พุทธัสสะ เป็นองค์ภาวนาอาจจะไม่เหมือนอาจารย์อื่นๆครับ จะเป็นคำไหนก็ได้ครับ หากจิตใจเรายอมรับ และสะดวกสบายจิตใจปลอดโปร่ง ไม่ติดขัดสะดวกกับลมหายใจเข้าออกของเรา ทำให้จิตใจสบายก็ถือว่าใช้ได้ครับ แฝดเพื่อนทดลองซิครับอย่างน้อยทำให้จิตใจสบายแต่ว่าการกระทำอย่าฝืนทำนะครับไม่ได้ผลแล้วกลับทำให้เราฟุ้งซ่านมากขึ้น ค่อยๆเป็นค่อยๆไปนะ เมื่อจิตยอมรับองค์ภาวนาแล้วนั่นแหละถึงจะเกิดผล และเป็นผลดีแก่เราเพียงแค่พอเรากลุ้มใจ หลับตาลงภาวนาสักพักปล่อยอารมณ์ให้ว่างมีองค์ภาวนาเท่านั้นประเดี๋ยวเดียวไม่เกิน 5 นาที อาการกลุ้มใจของเราก็จะสงบลงมากเลยครับ รักเพื่อนเสมอ แก้วประเสริฐ.
12 พฤษภาคม 2547 13:16 น. - comment id 266290
คุณ พุด พัดชา ขอบคุณมากครับที่แวะมาเยือนผู้น้อยซึ้งใจมากครับ ทดลองอ่านที่ผมตอบเพื่อนๆด้านบนด้วยนะครับ ถึงผมจะพูดอีกก็คล้ายๆกันแหละครับ ขอขอบคุณอีกครั้งครับ แก้วประเสริฐ.
12 พฤษภาคม 2547 16:22 น. - comment id 266395
ัวันนี้ของมาฟังธรรมนะค่ะ เห็นด้วยทุกประการเลยค่ะ แต่งได้ดีมากๆๆๆๆๆๆเนื้อหาละเอียดดีค่ะ
12 พฤษภาคม 2547 22:56 น. - comment id 266669
คุณ ท่านผู้หญิงไร้เงา ขอบคุณเพื่อนมากครับ แต่นี่เป็นเพียงหนึ่งเดียวที่ผมทราบมา และได้เล่าให้เพื่อนๆฟังว่าการฝึกสมาธิได้อะไรบ้างเท่านั้นเอง อยากจะให้เพื่อนๆได้ทดลองดู เป็นสาระเป็นประโยชน์และก็เป็นบุญกุศลแก่เรามาก ผมเคยได้ยินพูดว่า การสร้างกุศลใดๆในโลกนี้ไม่เทียบเท่ากับการภาวนาทำสมาธิหรอกครับอย่างน้อยสิ่งที่ได้รับปัจจุบันทันที คืออารมณ์เยือกเย็น เบิกบาน ปลดทุกข์ได้ชั่วคราวนะ อีกอย่างหนึ่งคืออย่างน้อยหากเราเสียชีวิตลงภายใต้คำองค์ภาวนาในสมาธิ มีที่ไปครับคือสู่สุคติใน ชั้นพรหมอย่างต่ำครับ อันนี้มีในพระไตรปิฏกนะครับ ขอบคุณเพื่อนมากครับ แก้วประเสริฐ.
13 พฤษภาคม 2547 00:04 น. - comment id 266721
อนุโมทนากุศลจิตการปฏิบัติ ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป..สาธุ
13 พฤษภาคม 2547 00:14 น. - comment id 266733
คุณ น้ำ ขอบคุณมากครับ ผมทำไว้เพื่อไม่ประมาทเท่านั้นเองจะเอาดีไม่ได้หรอกครับ เพราะผมกิเลส ตัณหายังอีกมากมายนัก เพียงแค่พยายามจะเอาตัวรอดเพื่อความไม่ประมาทดังพระสัมมาสัมพุทธะ พระองค์ตรัสไว้เท่านั้นเอง ให้พ้นอบายภูมิ แต่ไม่รู้จะไปรอดหรือไม่ก็ไม่รู้แน่ครับ หากเอาทางนี้ต้องไปบวช แล้วถือร่มกลด เข้าป่าไม่ข้องแวะในเมือง อยู่ป่าจนตายนั่นแหละอาจจะได้บรรลุธรรมบ้าง เพราะผมเคยทำแล้วทำให้เบื่อหน่ายจนจะทิ้งครอบครัวไปเลย ต้องหันกลับมา เพียงแค่เอาตัวรอดนิดหน่อยก็พอครับ ขอบคุณมากนะครับวันหน้าแวะมาใหม่นะครับ ซึ้งมากครับจากใจครับ แก้วประเสริฐ.
13 พฤษภาคม 2547 15:51 น. - comment id 266975
***แก้วประเสริฐ รู้สึกว่างานคุณจะมีความหมาย และแง่คิดที่มากมายจริงๆนะ อ่านแล้วก็คิดได้ และรู้สึกว่าเป็นผลงานที่ดีมากๆ เป็นงานที่สร้างสรรค์ และมีคุณค่า เป็นกำลังใจให้เสมอ แวะมาชื่นชม...คุณแก้วประเสริฐ
13 พฤษภาคม 2547 16:20 น. - comment id 266999
โอโฮ้ วันนี้มาแบบเข้าทางธรรม ม่ความหมายดีมาก จริงแล้วชาติกานต์ก็เคยอ่านเรื่องพวกนี้บ้างเหมือนกันตามหนังสือ แต่ก็ไม่รู้อะไรมากเท่าไร คุณแต่งกลอนแบบนี้คนอ่านคงได้ประโยชน์มากแน่เลย
13 พฤษภาคม 2547 18:35 น. - comment id 267134
คุณ อัณณพ ขอบคุณครับ งานผมซึ่งตั้งใจไว้ก่อนจะมาเล่นกลอนว่าจะพยายามหาสิ่งที่เป็นแง่คิดฝากไว้กับสังคม ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะชอบในเรื่องความรักกันมาก ผมก็ไม่ขัดครับก็แต่งบ้างแต่ในการแต่งถึงจะบทโศก ก็จะให้ข้อคิดแก่สังคมเอาไว้ครับ คนที่อ่านและติดตามกลอนผมจริงถึงจะรู้ว่าผมได้สอดแทรกอะไรๆต่างๆให้คิดกันบ้าง อย่างไรก็ตามต้องขอขอบคุณมากครับที่ไม่เคยลืมเพื่อนคนนี้ ผมก็คอยมองดูว่าเมื่อไหร่คุณจะมาสักที อานุภาพ ผมคิดว่าคือชื่อคุณหรือเปล่าไม่แน่ใจ เพราะจะเอาชื่อคุณลงหัวข้อไว้ คิดว่า อัณณพ คืออานุภาพจะใช่หรือไม่ไม่ทราบเพราะผมไม่มีพจนานุกรมไทยด้วย ส่วนใหญ่จะแต่งเพราะความจำดั่งเดิม จึงใช้ชื่อ ว่า อานุภาพกายานุสติ ครับ คิดว่าเป็นชื่อคุณก็แล้วกันนะครับ ขอบคุณ แล้วคำว่าอัณณพแปลว่าอะไรช่วยตอบด้วยนะครับ แก้วประเสริฐ.
13 พฤษภาคม 2547 18:40 น. - comment id 267140
คุณ ชาติกานต์ ที่จริงนั้นผมเริ่มลองๆดูในการตอบให้เพื่อนต่างๆแล้วครับ ผมตั้งใจมานานแล้วประสบการณ์ผมที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่เคยได้เข้ามาทางนี้ เพราะเป็นส่วนหนึ่ง จึงได้โอกาสจึงได้เขียนซึ่งรีบร้อนไปหน่อยครับอาจจะไม่ไพเราะเท่าที่ควรจึงอาจจะมีการผิดพลาดบ้าง แต่ด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์มิได้คิดอะไรมาก คนที่อ่านคงจะรู้แหละครับ ขอบคุณเพื่อนมากนะครับ กลอนส่วนใหญ่ของผมจะสอดแทรกข้อคิดไว้เสมอแหละครับ แก้วประเสริฐ.
14 พฤษภาคม 2547 10:41 น. - comment id 267445
***ซึ้งในรสพระธรรมคำสั่งสอน ฉันนึกย้อนถึงอดีตที่ผกผัน หากเราปลงละสังขารได้เร็วพลัน คงจะไม่ต้องหวั่นใจ...ในโลกีย์ ขอบคุณที่เรียบเรียงคำสั่งสอน ออกมาเป็นบทกลอนให้น้องพี่ thaipoemได้อ่านสิ่งที่ดีดี แวะมาทักทายนะพี่....อย่าลืมกัน ..***แต่งได้ดีจัง เรียกปารมจารย์ดีมะเนี่ย***..
15 พฤษภาคม 2547 17:57 น. - comment id 268398
คุณ VeNuS อย่าๆๆๆครับ อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลยผมเองเขียนขึ้นเพราะเพื่อนๆนั่นแหละแนะมาครับ สิ่งใดรู้ สิ่งใดเห็น ก็เอามาฝากไว้แหละครับ ขอบคุณมากนะครับ แล้วแวะมาใหม่อย่าทิ้งกันก่อนล่ะ แก้วประเสริฐ.
17 พฤษภาคม 2547 17:33 น. - comment id 269480
คุณแก้วประเสริฐ ดีจังเลยค่ะกลอนบทนี้ บอกอะไรหลาย ๆ อย่าง เขียนเป็นภาษาก็สวย น่าอ่าน เขียนได้ดี ที่สำคัญ นำแนวธรรมมาเขียนนี้น่ายกย่องค่ะ