ความจริงอีกข้อหนึ่ง...

Clad in Black

ต่อไปนี้จะเป็นเรื่องราว		ยามเมื่อคราวท้องฟ้าดับ
หมอกเมฆไม่คราคับ		ไม่อาจจะนับดวงดารา
นี่อาจจะเรื่องที่เบื่อ		ถ้าไม่เชื่อก็ลองอ่านสิหนา
ขอเธอแค่อย่าหลับตา		มาลองพิจารณาดูสักที
	. . .
	เขาซึ่งอยู่สูงปานเสียบเมฆ	ดูเด่นเป็นเอกเหนือฝูงปักษา
สีเทาตะกั่วลื่นล่ำมันตา			เหมือนประหนึ่งว่าไร้ผู้คน
ความเงียบและความอ้างว้าง		ไร้ซึ่งกาลเวลาทุกแห่งหน
ไม่มีเสียงติ๊กต๊อกให้วกวน		ไม่มีลมกระดิกให้ไหวเอน
	เขาซึ่งอยู่สูงเสียดท้องฟ้า	เหนือหมู่ปักษาพอแลเห็น
ถึงแม้ไม่มีลมให้ไหวเอน			แต่หัวใจก็เอนได้ตามกาล
แม้จะมองไม่เห็นจากเบื้องล่าง		คณานับประการอาจชะเง้อ
จะกระโดดหรือชะโงกก็ไม่เจอ		แม้จะคิดยลให้เพลอก็ไม่ได้
	จะไม่ใครสักคนได้รู้บ้างไหม	ว่าอะไรที่ซ่อนเก็บไว้สูงเพียงนี้
แม้แต่นกก็ไม่อาจจะพาที			ฤาวารีจะอาจเอื้อมมอง
ไม่มีแม้แต่เสียงเอื้อนเอ่ยจากพฤกษา		ฤาเมฆาจะอาจผยอง
เขาลูกนี้ไร้ผู้คนจะเมียงมอง		ฤาลำคลองก็เช่นเดียวกัน
				. . .
หญิงสาวผมยาวหน้าใส		ใครๆก็เคยถามถึง
และแล้วก็มาอยู่วันหนึ่ง		วันที่พึ่งจะหวนมา
เธอหายตัวไปณ.หนใด		ใครๆก็พากันถามหา
แต่แล้ววันและเวลา			ก็พัดพาคำถามจากไป
	วันเวลาไม่เคยย้อนกลับ		ตั้งแต่นี้และลาลับตลอดไป
เมื่อไม่มีคำเอ่ยถึงเธอประการใด		ก็เหมือนไร้ซึ่งชีวิตของเธอตาม
ความจริงนี้แสนเจ็บปวด		เหมือนลวดที่ตัดเป็นขดหนาม
กดแทงเสียบทิ่มได้ทุกยาม		และเลาะลามได้ทุกเวลา
	ความจริงอีกข้อหนึ่ง		อาจจะเพิ่งเป็นที่ประจักว่า
หากใครต่อใครไร้ซึ่งเสน่หา		พวกเขาอาจจะพากันลืมเธอ
และความจริงนี้ก็เป็นจริง		มันคือทุกสิ่งที่ถวิลหา
ตลอดเวลาที่ผ่านๆมา			ทุกคนพากันลืมเธอ
				. . .
. . .
	เธอเคยมองเห็นดวงดาวไหม		ฉันหมายถึงมองขึ้นไปกลางเวหา
ดูเมฆหมอกสีเทาและท้องฟ้า			จากพื้นธาราแลวารี
เสียงสุดท้ายที่ดังกึกก้อง			มีเพียงแต่ฝุ่นละอองที่เร่ารี้
ได้ยินเสียงเธอคนนั้นพูดพาที			และนี่อาจเป็นคำสุดท้ายของเธอ
	และอาจจะมีเพียงแค่สายน้ำ		ที่ไหลผ่านเท้าของเธอค่ำคืนนี้
ความเย็นซาบอาบซ่านผ่านอินทรีย์			ค่ำคืนนี้อาจเพียงเธอที่ลิ้มลอง
ระลอกน้ำลอยกระทบไปยังฝั่ง			สะท้อนร่างเรือนเล็กและเรียกหา
ให้ก้าวเท้าย่ำออกเดินตามมา			พบจุดจบข้างหน้าที่ภิรมย์
เสียงกระเซ็นของน้ำจากการย่ำ		รอยน้ำที่แห้งเหือดบนโขดหิน
คืนนี้...ใช่...อาจจะเป็นคืนนี้จริงๆ		เวลาที่เธอเฝ้ารอคอยตลอดมา
ลำแสงจากก้นหิ่งห้อย			ดวงน้อยๆนับร้อยก็มากหนา
หิ่งห้อยเฝ้าคล้อยเป่ารู่ลมมา		ดั่งดวงดารากลางนที
เธอเอื้อมมือเหี่ยวและซีดจาง		พลางจะปัดหิ่งห้อยให้ถอยหนี
บางก็เหมือนจะเอื้อมคว้าและพาที		กับหิ่งห้อยน้อยที่ริกรี้ซุกซน
ตัวเธอเหมือนภาพถ่ายใบเก่า		ที่มีแต่จะขาดและเลือนหาย
แต่ในภาพเก่าๆนั้นยังคงประกาย		ความทรงจำมากมายที่เคยมี
ระดับน้ำที่ไหลหลั่งท่วมท้น		มันก็คงไหลหลั่งไม่หลบหนี
แรงน้ำเอื่อยๆคอยรารี			ความทรงจำมากมีค่อยลาเลือน
เธอโน้มตัวหงายกลางสายน้ำ		รับความงามจากฝากฟ้าในคืนนี้
จากมุมมองของเธอเองและวารี		และคงมีแต่เธอกับนทีที่สุขใจ...
ดวงตาของเธอดูอ่อนล้า		ฟากฟ้ามีแต่เมฆปลิวไสว
สายน้ำพัดพาร่างเธอไป			เรื่อยๆ...เรื่อยๆ...ตลอดทาง
			               . . .		
	แรงน้ำเอื่อยๆไม่ไหลกลับ	ร่างของเธอกลับหนักหน่วงทุกที
เหมือนมีโซ่ร้อยตันมาพันพี		พันธนาการมีรอบรั้งตัวเธอ
แรงกดยึดหน่วงกระชากดึง		ตัวเธอปล่อยขัดขืนสักเล็กน้อย
แต่เธอกลับปล่อย....			ให้กายจมดิ่งไปใต้น้ำ
	สายน้ำที่เคยอ่อนโยน		เมื่ออยู่ลึกจะถาโถมทุกทีท่า
มันจะคอยฉุดคราลากกายา		หรือแม้ว่าเม็ดทรายที่ใต้บึง
ความอารีของสายน้ำที่เยือกเย็น		เป็นเหมือนดั่งเช่นสายฝน
เมื่อฝนตกมาพรำๆพอชื่นชม		แต่จะขมจิตเมื่อพรั่งพรู
ความเย็นช่ำที่เคยอาบซ่าน		เมื่อน้ำลึกจะหนาวซ่านทั้งขั้วจิต
ความหนาวที่ไม่อาจจะเป็นมิตร		จะเสียดแทงทั่วกายระรัวไป
เหมือนเข็มเย็บผ้าสักร้อยเล็ม		มาพัวพันระแรงรุมทิ่ม
แม้อยากจะหยิบเข็มนั้นทิ้ง		ก็ไม่อาจจะทำมันได้เลย...สักน้อย
				. . .
	สายฝนตกซ้ำเข้าแทรก		ร่างเธอแทบเหลวแหลกใต้น้ำ
ความช้ำเศร้าซึมและทรมาน		ที่ออกจากร่างมารุมล้อมเธอ
ความรู้สึกที่ผูกเน้นและตรึงรัด		ไม่อาจตัดให้ขาดได้เสมอ
เมื่อหันหาเส้นด้ายที่ผูกกลับไม่เจอ		เหมือนความฝันที่ละเมอแต่เป็นจริง
หยดฝนที่ตกกระทบผิวน้ำ		ทำให้ภาพท้องฟ้านั้นเลือนหาย
เมฆหมอกที่อึมครึมก็กลับกลาย		เป็นแค่ภาพลางๆที่จากลา
มีเพียงแค่ภาพวงกลมร้อยล้านวง		ที่เฝ้าชมร่างเธอจมดิ่งไปใต้น้ำ
ภาพวงกลมที่เป็นเม็ดฝนกระจาย		ไม่อาจจะมองให้คล้ายดารา...
ความหวังคำพูดสุดท้ายของเธอ		ไม่อาจเป็นจริงได้เสมอในเวลานี้
เมื่อความจริงอีกหนึ่งข้อปรากฏมี		ว่าเธอหนีจากเวลานี้ไปแล้ว....
และความจริงนี้ไม่อาจจะคลาดแคล้ว		และกลับกลายเป็นอื่นใด...
				. . .
	กล่าวถึง......
	ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่กลางสายฝน	เขายังคงเปียกปอนไม่ยอมหาย
ค่ำคืนนี้แม้ว่าฟากฟ้าจะพังทะลาย		เขาก็ยังคงจะค้นหาเธอต่อไปให้เจอ
ชายคนนี้อาจจะเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเดียว	ที่คอยแลเหลียวและห่วงหา
เธอคนนั้นที่เพิ่งจะจากลา		และอาจจะเป็นชายคนนี้แหละที่หาเธอเจอ
	ผมของเขาลีบลู่ติดกับใบหน้า	ดวงตาที่เหนื่อยล้าไม่ลดถอย
แรงหายใจที่ระรัวร่ำอยู่ไม่น้อย		ก็ยังคงสั่นคล้อยตลอดเวลา
ชายคนนี้เฝ้าตามหาเธอมาตลอด		..แต่ ด้วยการมองลอดใต้เกษา
เขาไม่คิดแม้แต่จะลุกจากที่มา		ลงมือลงแรงค้นหาให้...จริงๆ
				. . .
	ความจริงอีกข้อหนึ่ง......สำหรับเธอ
	กล่าวถึงอดีตของทั้งสองที่ผ่านมา	แม้ว่าจะเนิ่นนานมากว่าแรมปี
อาจจะมากกว่านั้นสักสองปี		แต่เวลาสิไม่สำคัญเลย
ความจริงที่เป็นอยู่คือ			เขาเหมือนค่ำคืนนี้...
ค่ำคืนที่เธอเลือกเป็นอย่างดี		ค่ำคืนที่ดูช่างแสนจะอ่อนโยน
แต่...ค่ำคืนที่ดูสวยงาม			กลับกลายเป็นภาพลุกลามจิตใจ
ท้องฟ้าที่เคยดูกว้างไกล			กลับถูกเม็ดฝนไล่ให้กระเจิง
ดวงดาวที่ดูเหมือนตาของเขา		เธออยากจะเฝ้าดูและเก็บไว้
แต่...สุดท้าย ค่ำคืนนี้ก็ลาไป		พร้อมกับเม็ดฝนใหญ่ๆที่มาแทน...
	ความจริงอีกข้อหนึ่ง......สำหรับเขา
	กล่าวถึงปัจจุบันที่เขาประสบอยู่	เหมือนไฟเฝ้าเผากายใจให้ลุกซู
แม้เขาจะรู้ว่าเธอไม่มีอยู่			แต่ก็ยังคงค้นหาต่อไป
แต่ด้วยความจริงใจที่เหมือนน้ำฝน		หล่นบนทะเล...ทราย
ความรักที่เขามีให้เธอมากมาย		กลับกลายเป็นแค่...กริยา
ใช่...เมื่อเขากล่าวอ้างความรักมากมาย	ที่เหมือนคล้ายจะเทิดทูนให้เธอ
คำนั้นที่ใช้อ้างตลอดเมื่อเจอ...นั่นคือ		ฉันรักเธอไม่เปลี่ยนเลย...
คำพูดซ้ำๆที่เขาพร่ำบอก			ไม่อาจจะรั้งเธอได้อีกต่อไป
	ความจริง.........สำหรับเธอและเขา
	อาจจะไม่เป็นที่สังเกตเห็น	..แม้ว่าเธอจะรักเขาอยู่เช้าเย็น
หรือว่าเขาจะรักเธอตลอดไป		และหรือแม้ว่าหัวใจเขาเรียกร้องหากัน
ทั้งคู่ไม่เคยแสดงมันออกมา		ทั้งความรักและห่วงหาที่มีอยู่
ไม่เคยเลยแม้จะแสดงให้ต่างคนรู้		ไม่เคยเลย..ไม่เลยสักนิด...ไม่เลย
ความรักระหว่างเขาและเธอทั้งหมด		ถูกเก็บและกดปิดทับไว้
เสมอตลอดกาลเวลาที่ว่าไป		และ...มันจะไม่ได้แสดงอีกเลย
ความห่วงใยที่เขามีให้เธอและเธอเช่นกัน	ไม่อาจจะได้ใช้ทันในตอนนี้
ทุกสิ่งมันสายไปแล้ว..และใช่		ความจริงนี้จะเป็นจริงตลอดไป...
				. . .
 	จวบจนกระทั่งถึงเวลาเช้าในวันใหม่	เขายังคงนั่งอยู่ที่เดิม
สายตาที่เหนื่อยล้ากับลาเลือน		เขาเพิ่งจะตื่นจากนิทรา
ความเหน็บหนาวจากเม็ดฝน		ที่สาดซัดตัวเขาให้ชิวหา
จะเทียบเท่าความเย็นที่เสียดแทงเธอไหมหนา?	..ใครล่ะ จะขันอาสาตอบให้ที
	จวบจนแสงตะวันสาดทอแสง	เรืองรองสะท้อนละอองฝน
แสงสีที่ดูเศร้าหม่น			กลับกลายเป็นแสงรุ้งของวันใหม่
ความจริงที่เป็นอยู่ตอนนี้		แน่เสียยิ่งกว่าสายรุ้ง
แม้ว่าจะสวยและอยากเก็บไว้เท่าใด		ก็ต้องเลือนลางหายไปอยู่ดี
				. . . 
	ชายคนนี้ลุกขึ้น...(เป็นครั้งแรก)	ใช่...ไม่แปลกที่เขาจะลุกสักที
คนเราเมื่อตื่นนอนก็สารภี		รีบลุกมาบิดขี้เกียจพลัน
เขาพลางกวาดสายตาไปรอบๆ		หวังไว้เล็กๆว่าจะแอบเห็นเธอจะครั้ง
ถึงแม้ว่าตอนนี้จะคิดถึงเธอตลอดวัน		ก็ไม่อาจจะเท่าทันสิ่งที่เธอประสบไป...
	ชายคนนี้เริ่มออกลุกเดิน		ระเทิ่มระทวยด้วยม้วยไม้
แข้งขาเอ็นยึดติดกับกาย		แรงกายคับคล้ายจะจากลา
เขาหยุดนิ่งยืนยืด			บิดกายไปทั่วพัวหนักหนา
พันแขนไปมาไม่ยักเลิกลา		เหมือนที่การค้นหาคนรักที่เพิ่งจบไป
	และแล้วกลิ่นน้ำฝนที่เฝ้าคลาเคล้า	กลับกล่อมเกลาเอากลิ่นคลุ้ง
กลิ่นคาวที่เฝ้าฟุ้งไปทั่วคลุ้ง		แตะจมูกของเขาเข้าขึ้นมา
ลักษณ์ภาพต่อมาที่เขาจะได้เห็น		..อาจจะเป็นเหมือนฝันร้าย
เมื่อเขาหันศีรษะตากลับลาย		เมื่อเห็นสายชลกลายเป็นสีแดง......  ..... . . .				
comments powered by Disqus
  • tiki

    30 มีนาคม 2547 22:49 น. - comment id 238919

    ต้องบอกเป้นปะกิด ว่า Terrific !
  • ผู้หญิงไร้เงา

    31 มีนาคม 2547 00:14 น. - comment id 238978

    เป็นอะไรที่แสนเศร้า
    หญิงไร้เงาว่าอย่างนั้น
    เมื่อคนรักตายจากกัน
    ก็เหมือนโลกนั้นน่าเศร้าจริง
    
    *-*สงสารผู้ชายคนนั้นจัง  แถมที่จะได้เจออะไรที่โรแมนติกกับเจออะไรที่เศร้าสุด ๆ ในชีวิต ที่หญิงที่รักยิ่งมาตายจากไป แต่สงสัยจัง ทำไมผู้หญิงคนนั้นต้องตายในน้ำหละค่ะ*-*

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน