นิราศสิงคโปร์ (ตอนที่๓)
เปลวเพลิง
เปิดตาตื่นขึ้นในเช้าวันที่แปด
อุ่นวงแวดสูรย์ส่องก่องรังสี
เวลาเจ็ดโมงเช้ามาทันที
รับประทานอาหารที่โรงแรมนั้น
เมืองชายแดนยามเช้าหนาวอากาศ
แดดฉานฉาดไม่อาจผ่านม่านเมฆผัน
วันนี้เราจักเริ่มเดินทางกัน
เยือนแดนฝัน สิงคโปร์ โอ่อ่าไกร
ผ่านด่านข้ามแดนที่มีชื่อว่า
ท้วส เป็นปราการกั้นอันยิ่งใหญ่
ความหมายของชื่อนี้ดีเกินใคร
สะอาดใส บริสุทธิ์ คือยุติธรรม
แล้วเราผู้รู้เฟื่องเรื่องกฎหมาย
ก็ยิ้มพรายชื่นชมคำคมขำ
เหมือนนามกรซ่อนนัยไว้ลึกล้ำ
เพื่อข่มความชั่วดำให้ยำเกรง
ด้วยตัวบทกฎหมายบ้านเมืองนี้
ทรงฤทธีแกร่งไกรไม่นิ่งเขลง
บทลงโทษหนักคณาน่ายำเยง
โจรอวดเก่งมิอาจรอดปลอดภัยพาล
การผ่านด่านมีปัญหา-ช้านิดหน่อย
จงอย่าปล่อยปละคำเตือนเหมือนมองผ่าน
โดนกักตัวก็ถือเป็นประสบการณ์
เพราะถิ่นฐานต่างวิสัยไม่คุ้นเคย
ล้อรถเคลื่อนครรไลไปช้าช้า
สิงคโปร์-เรามาเยือนแล้วเหวย
ครั้งแรกในชีวี-ดีจังเลย
จะชื่นเชยชมให้สมใจจินต์
มหาวิทยาลัยในเครือรัฐ
มีแน่ชัดสองแห่งแบ่งร่วมถิ่น
เรามาชมหนึ่งในสองของแผ่นดิน
แหล่งศึกษาศาสตร์ศิลป์ระบิลนาม
นันยาง เป็นมหาวิทยาลัยหนึ่งในนั้น
ก่อตั้งโดยบุคคลอันสำคัญหลาม
พิพิธภัณฑ์จีนกระเดื่องรุ่งเรืองราม
จารึกตามชนชาติจีนประวีณวงศ์
โอ้แผ่นดินสิงคโปร์โก้หรูยิ่ง
ความเป็นจริงยิ่งคิดยิ่งพิศวง
ทรัพยากรทุกเช้าค่ำที่ดำรง
แท้ขนส่งจากเพื่อนบ้านมาจารเจือ
คำผู้นำ ลีกวนยู ผู้เปรื่องปราด
ได้ประกาศถ้อยคำคมล้ำเหลือ
“ทรัพยากรทั้งหลายเราไม่เอื้อ
แต่เหลือเฟือทรัพย์สมองของประชา”
เป็นเกาะกลางมหาชเลเนรมิต
เคารพสิทธิ์ส่วนตนที่มากมีค่า
ทุกกฎเกณฑ์ซึ่งรัฐ จัด ตีตรา
คนถ้วนหน้าน้อมรับโดยดุษณี
แต่น่าอยู่อย่างไรก็ไม่รู้
เพราะเราชูชาติไทยไว้ศักดิ์ศรี
ภาคภูมิใจ-ไตรรงค์ธงเสรี
ทั้งยังมีทรัพย์ในดินสินในชล
มีน้ำใจใสสะอาดมิขาดสาย
เจือละลายโรยรื่นชื่นสถล
มีครอบครัวเยี่ยมยอดกอดกมล
รินรักปนหทยาเป็นอากร
มองตึกสูงเยี่ยมผยองงามก่องเก็จ
สร้างตามเคล็ดฮวงจุ้ยแต่เก่าก่อน
มงคลสุขสถิตอย่างสถาพร
มิ่งอมรลงหยั่งอยู่ยรรยง
สิงคโปร์อาย สุดสายเนตรสังเกตเห็น
ดวงตาเด่นดวงใหญ่ชวนใหลหลง
อีกหนึ่งอย่างกลางวิถีที่ดำรง
มีรูปทรงกลม สูง ใหญ่ กลางใจเมือง
เราก้าวย่ำย่างไปในอีกที่
สู่อนุสาวรีย์ช้างตัวเขื่อง
สร้างจากสำริดดำมลังเมลือง
สืบราวเรื่องแต่ครั้งบรรพกาล
ปีหนึ่งสองสามสองครองดิถี
องค์ภูมีรัชกาลที่ห้ามาเยือนย่าน
สิงคโปร์เมืองท่าชลาธาร
อนุสรณ์คชสารดาลอาวรณ์
สงขลามีพญานาคปากพ่นน้ำ
สิงคโปร์ก็ทำ เมอร์ไลอ้อน
แต่วันนี้แล้งน้ำฉ่ำคลายร้อน
เพราะมาตอนช่วงติดปิดปรับปรุง
ตามตำนานกาลเก่าเล่ากันว่า
เจ้าชายจากเมืองชวาเดินหน้ามุ่ง
พายุจัดพัดเผ่นกระเด็นฟุ้ง
เจอะเรื่องยุ่งตอนข้ามกลางทะเล
เจ้าชายตั้งสัจจะอธิษฐาน
วิงวอนผ่านคลื่นขรมและลมเห่
ให้พายุดุร้ายหายเกเร
ให้เรือเร่ล่องคว้างอย่างปลอดภัย
แล้วถอดมงกุฎเกล้าแพรวพราวค่า
เป็นบรรณาการสมุทรสุดยิ่งใหญ่
เพียงเท่านั้นพายุร้ายเหือดหายไป
ฟ้ากลับใสสวยเกินเกริ่นพรรณนา
เห็นสัตว์หนึ่งเคลื่อนไหวกลางสายน้ำ
ขึ้นผุดดำผุดว่ายคล้ายมาหา
จอมมังกรมากฤทธิ์มหิศรา
เผยกายารับมงกุฎสุดอัศจรรย์
เจ้าชายล่องเรือถึงซึ่งเกาะหนึ่ง
แต่พบสิ่งน่าสะพรึง ณ ที่นั่น
สิงโตหางเป็นปลามาประจัญ
จะสู้กัน? จะถอยห่าง? อย่างไรดี?
แต่ในเมื่อเราต่างมาอย่างมิตร
ขออย่าคิดฆ่าเข่นให้เป็นผี
หมายพำนักบนเกาะว้างกลางนที
มอบไมตรีให้กันมิหวั่นใจ
เป็นนิมิตหมายแสดงแจ้งปรากฏ
อนาคตเมืองท่าชลาศัย
จะรวยทรัพย์ รวยชื่อเสียง เกริกเกรียงไกร
มอบชื่อให้ว่าเมืองสิงคปูระ
หมายถึงเมืองซึ่งสิงห์สิงสถิต
ทั่วทุกทิศสงบสุขทุกขณะ
รุ่งเรืองได้เพราะมีวิริยะ
เหนี่ยวธนทรัพย์สรรพ์ลงบรรโลม
บนถนนสายชื่อว่า ลาเวนเดอร์
ไม่พบเจอดอกไม้กระจายโฉม
เครื่องยนต์เร่งดนตรีคลี่ประโคม
และโพยมเฉดฟ้าก็ท้าทาย
เรามาถึง ออร์ฉาด เขตการค้า
ซ้ายและขวาเกลื่อนกองของซื้อขาย
ทั้งของกินของฝากมีมากมาย
เราจับจ่ายซื้อกระเป๋าฝากมารดา
ยามบ่ายเฉาเซาซบสงบนิ่ง
รถตรงดิ่งมุ่งสู่ เซ็นโตซ่า
ยูนิเวอร์แซล สวนสนุกสุขอุรา
ผู้คนมาเที่ยวกันทุกวันเลย
เซ็นโตซ่า แปลว่าเกาะแก่งความสนุก
คนประยุกต์ชื่อมาหน้าตาเฉย
เบื้องบุราณก่อนมิเป็นเช่นคุ้นเคย
เกาะนี้เกยท่าวทบด้วยศพคน
เกิดโรคร้ายระบาดก่นราษฎร์บนเกาะ
โรคาเจาะชีพวายรายสถล
เทวษท่วมแผ่นดินคราวสิ้นชน
เดี๋ยวนี้พ้นมืดตื้อเพราะมือใคร?
ถ้ามิใช่น้ำแรงแห่งมนุษย์
เกาะคงทรุดเสียหลักถึงตักษัย
ความเจริญนั้นหลากมาจากใด?
หากมิใช่เพราะมนุษย์ดุจเดียวกัน
ยูนิเวอร์แซลสวนสนุกสุดหรรษา
ทว่าค่าครองชีพบีบมหันต์
เราเพียงเดินดุ่มเข้าชมเท่านั้น
พร้อมแบ่งปันภาพถ่ายหลายท่าทาง
พักตร์เราซึม เฉยชา น่าเป็นห่วง
โดนความง่วงเอาคืน-ฝืนตาถ่าง
ผู้คนเดินสวนเราเริ่มเบาบาง
โปรยเจือจางความวุ่นวายสลายไป
ขึ้นรถไฟฟ้าที่สีแดงล้วน
เคลื่อนขบวนกึ่งหล้ากึ่งฟ้าได้
ชมระบำค่ำคืนระรื่นใจ
คน น้ำ ไฟ ชื่อ ซอง อ๊อฟ เดอะ ซี
จากนั้นจรชมความงามยามดึก
ประดาตึกต่างแฝงไฟแสงสี
คนคลาคล่ำเป็นเหมือนเพื่อนราตรี
บทเพลงคลี่ทำนองของค่ำคืน
คล้ากกี คือถิ่นของการท่องเที่ยว
ไม่เปล่าเปลี่ยวแม้ผ่านกาลดึกดื่น
ละล่องลอยเรือฝันของวานซืน
ก่อนจะตื่นพบว่าฝัน...นั้นเช่นไร
ประกายฉาน แดง เหลือง เรืองรองหรู
ฟ้า ชมพู ขาว ม่วง น้ำเงินใส
ดุจดาวดาษสาดแจ้งแห่งเมืองไกล
ขับกลไกเศรษฐกิจตรงทิศทาง
เราเป็นคนตัวจ้อยน้อยนิดนัก
เมืองใหญ่สักหมื่นเท่าเค้าเรืองร่าง
ต้องมานั่งวังเวงอยู่เคว้งคว้าง
และอ้างว้างกลางใครหลายร้อยคน
คิดถึงข้าวไข่เจียวฝีมือแม่
คะนึงแต่สำเนียงเสียงพ่อบ่น
ย่าคงจักพักนอนผ่อนสกนธ์
ปู่อาจยลข่าวสารบ้านเมืองเรา
ห่วงใยตาที่กำลังไม่สบาย
ห่วงใยยายผู้เคยสอนแต่ก่อนเก่า
เพียงแค่คิดถึงก็พอทุเลา
แต่ไม่เท่ายามได้ใกล้ชิดกัน
โอ้ว่าความศิวิไลซ์อำไพผ่อง
คนนอกมองเห็นสว่างพร่างเฉิดฉัน
แต่ด้านซึ่งซ่อนไว้ไม่เห็นนั้น
คือด้านอันมืดมิดสนิทนาน
ที่พักเราต้องผ่านย่าน เกลั้ง
คนคับคั่งเป็นแถวตามแนวบ้าน
มีสาววัยแรกผลิบริการ
มอบความสุขความสำราญแก่หมู่ชาย
คงเหมือนดังเหรียญที่มีสองด้าน
จักสะคราญเต็มค่านั้นอย่าหมาย
เจอะด้านดีย่อมประสบพบด้านร้าย
ซึ่งเวียนว่ายวงวัฏฏ์สัจธรรม
ก็เพื่อให้บ้านเมืองเฟื่องรุดหน้า
อาชญากรรมนั้นเกิดขั้นต่ำ
ต้องยอมแลกกับสิ่งจริงระยำ
หมุนเคลื่อนนำชีพรัฐพัฒนา
ดุริยางค์จากท้องฟ้องว่าหิว
ไส้อาจกิ่วหากมัวหงอยนั่งคอยท่า
นัดรวมพลเพื่อนเพื่อเกื้อกายา
ต้มมาม่ากินกัน-บันเทิงเชียว
วันเวลาผ่านไปไวนักหละ
ไม่นานจะจบทริปการท่องเที่ยว
บนถนนหนทางอันคดเคี้ยว
เราเก็บเกี่ยวสิ่งใดให้กับตน
หนึ่งพันสี่ร้อยสามสิบห้ากิโลเมตร
จากประเทศไทยท่องท้องถนน
สู่แดนสิงคปูระที่มายล
ไกลเสียจนเกินชีวินจะจินตนา
ปิดเปลือกตาในนามของความรัก
จารสลักบทกวีที่ใฝ่หา
ฝากดาวพริบระยิบฝันพันดารา
บันทึกมามอบขวัญชื่นทุกคืนวัน
................................................
วันที่ ๘ กันยายน ๒๕๕๕ เดินทางวันที่สามถึงประเทศสิงคโปร์