๏ นานแล้วหนอวันหวานที่ผ่านล่วง หลายเดือนดวงแรม-เพ็ญ-ลับเร้นหาย คาบวสันต์ลาลับผันกลับกราย เริ่มต้นสายลมเหนือเข้าเจือดาว หนึ่งรอยรักสลักจินต์มิสิ้นหวาน แม้นช่วงกาลผ่านล่วงเวียนห้วงหาว กลางดวงมานทุกอย่างยังพร่างพราว ด้วยเรื่องราวจินตภาพโลมอาบใจ ยิ่งยามนี้ลมหนาวโบกราวป่า จากลับลาถิ่นเถินเนินไศล ก็วนช่วงคาบคืนสู่ผืนไพร พร้อมวาวใสน้ำค้างแต้มกลางวาร ยังจดจำเรื่องเราหรือเปล่าหนอ ฝากเดือนทอจำนรรจ์ส่งบรรสาร อ้อมแขนใคร??โอบอุ่นละมุนมาน ท่ามสายธารหมอกขาวล้อมราวพง ฤๅลืมเถื่อนถิ่นหนาวเมื่อคราวนั้น รานจำนรรจ์ยับยุ่ยเป็นผุยผง มิสานก่อรักล้ำในจำนง ปล่อยจบลงกับวสันต์ที่ผันกราย หากอาทรยังถวิลมิสิ้นเชื้อ รักยังเจือแดนทรวงมิล่วงหาย จงไขความตอบย้ำถ้อยคำชาย เพื่อจักคลายเศร้าหมองที่ครองมน ค่ำคืนนี้ยาวนานกว่าวารไหน ร้างอุ่นไอห่มทรวงท่ามห้วงหน- พร่างพรายดาวแต้มฟ้าแต่งสากล แต่อกคนรื้นรกวิตกครอง๚ะ๛
22 กันยายน 2554 11:10 น. - comment id 1208728
หนาวอันใดไหนเล่าเท่าหนาวจิต
22 กันยายน 2554 13:03 น. - comment id 1208739
หนาวจริงด้วย ลมมานิดๆแล้วค่ะ แวะมาอ่านกลอนหวานหวานๆหาอ้อมกอดใหม่ได้หรือยังคะอิอิ
22 กันยายน 2554 13:53 น. - comment id 1208750
ยังไม่สิ้นวสันต์จะผันผ่าน คงร้าวรานด้วยอุทกอกสะอื้น ทุกข์ระทมระกำทุกค่ำคืน น้ำตารื้นหลั่งนองทุกท้องนา ไม่ได้ทุกข์เพราะรักค่ะ ทุกข์เพราะน้ำ อิอิ ที่บ้านน้ำไม่ท่วม เลยอดไปทำข่าวเลยอ่ะ
22 กันยายน 2554 15:23 น. - comment id 1208776
เพิ่งกลับมาจากสิงคโปร์ค่ะ อ่านบทกวีงดงาม ด้วยดวงใจที่อ่อนละมุนยิ่ง ขอฝากเรื่องแสนรักไว้อีกครานะคะ ปลายฝนต้นหนาวกับทุ่งข้าวแห่งความฝัน พราว คิดตัดสินใจซื้อ..บ้านน้อยริมเชิงเขา หลังนี้.. ทันทีที่.ขึ้นมาเห็น ทัศนียภาพ รายรอบ อันงดงาม.... บ้านน้อยริมเชิงเขา ตั้งอยู่บนเนินเขาที่ลาดหลั่นลงมา ในป่าลึกเมืองร้อนของเกาะพะงัน ที่ยังมีสภาพป่าอันสมบูรณ์เขียวชะอุ่ม มองลงมาจากเนินนั้น.. มีนาข้าว..ลดหลั่นลงมาตามลาดเนิน..คล้ายนาข้าวขั้นบันได... เป็นท้องทุ่งนา ที่งามดั่งภาพฝัน ..ของเกาะสวรรค์แห่งนี้ ที่แสนเงียบงาม สงบสุขราวไร้ผู้คน... รายรอบบ้านนั้น... คือ...สวนผลไม้ เมืองร้อน..มีเงาะ กระท้อน ลางสาด และทุเรียน พันธุ์พื้นเมืองที่มีลูกเล็กๆ ดกเต็มไปหมดทั้งต้น... ทุเรียนพันธุ์นี้มีคนเปรียบเทียบว่า. .เป็นทุเรียนพันธุ์โป๊ ไม่ยอมนุ่งกางเกงใน (คงเป็นเพราะเนื้อน้อยมาก จนเห็นเม็ดทุเรียนโผล่ออกมา) ตอนพราวยังเป็นเด็ก.. จะได้ยินเสียงทุเรียนหล่น ในยามค่ำคืน และเป็นประเพณี ที่ทำให้คนที่อยากรับประทานมากๆไปนั่งเฝ้า และคอยใส่หมวกออกไปเก็บมาปอกอย่างทันที่ทันใด ทันใจ แม้จะต้องเสี่ยงกับการที่ลูกทุเรียนจะหล่นใส่ศีรษะก็ตามที เพราะที่บ้านพราวสมัยนั้น ยังไม่มีทุเรียนที่ชื่อว่าหมอนทองหรือพันธุ์อื่นๆ... นอกจากทุเรียน....แล้ว... ยังมีสีเขียวแซมแดงของพวงเงาะที่ห้อยย้อย จนแทบถึงดิน ชวนเชิญให้อยากเก็บมา อมรสหวานกลมกล่อม จนแก้มบวมตุ่ย... ลางสาด..ที่เป็นพันธุ์ดีลูกดก ขึ้นชื่อว่าหวานหอม อร่อยล้ำ ก็พากันออกพวงพราว ระย้าย้อย ห้อยเต็มต้นจนมองแทบไม่เห็นใบ..... ไหนจะมะพร้าว.. ที่ขึ้นลดหลั่น ไปตามโขดหินงาม ที่สูงชะลูด และพาให้...ในฤดูฝนนี้ที่มีลมมรสุมพัดผ่านมา จะทำให้ไหวเอนลู่ลม ที่กระหน่ำหนัก และสู้กับสายฝนพรำ ทั้งวันทั้งคืน..... พราว..ลงสับปะรด พันธุ์พื้นเมือง ไว้ด้านหนึ่ง ที่กำลังออกลูก และมีตาเล็กตาน้อยน่ารักน่าชัง... แล้วยังมีพันธุ์ไม้เมืองร้อนอื่นๆอีก เช่น... กล้วยกอใหญ่ ที่เรียกกันว่า กล้วยเล็บมือนาง กล้วย ที่ออกหวีเล็กๆ มีลูกงอนงามอ่อนช้อย ราวกับมือน้อยๆของน้องนาง... และ..พราว..ยังแบ่งผืนที่ดินเป็นบางส่วน ปลูกพืชผักสวนครัว..ปลอดสารพิษ... ไว้กินเล่น แสนหวานล้ำยามเคี้ยว ด้วยอุดมสมบูรณ์แร่ธาตุตามธรรมชาติ..ที่ยังมากมี... . บางครั้ง...บางคราว.... พราวจะเดินดายเดียว ลงไปนั่งดู พระอาทิตย์ขึ้น และพระอาทิตย์ตกดินยามเย็นย่ำ..ลำพัง... ในยามเช้านั้น.. ประกายน้ำค้างจับรวงเรียวสีทองของยอดข้าว ราวหยาดน้ำตาของนางฟ้า จากสวรรค์ ผู้แสนใจดี มีเมตตา หลั่งรินมาให้ผืนดิน และมวลหมู่พืชพรรณไม้..นั้น ได้สดชื่น..แสนงาม. พราว....ลงทุน ปลูกพันธุ์ไม้ไทยหอมๆ รายรอบบ้าน และในยามปลายฝน ต้นหนาวอย่างนี้ ..ปีบ..จะอวดดอกขาวบานพราว เต็มปลายกิ่ง ล้อลมไสว ส่งกลิ่นให้หอมรำเพย อวลไปในทุกอณู ของสายลมเย็นยามค่ำ พิร่ำพิไร พาดวงใจโหยไห้ราวคิดถึงใครบางคนจนสุดทน..นะใจ.. .. ดอกเข็มป่า..พันธุ์ดั้งเดิมที่คู่กันมากับป่าชื้นแห่งนี้ ที่พราวนำมาปลูกเพิ่มเติม จนเป็นดงดอกเข็มดก ชูช่อออกดอกแดง ตัดกับเขียวละออของใบไม้ ที่ขึ้นเคลียเคล้าใกล้ลำธารและเสียงน้ำซัดเซาะแก่งหิน หลังสายฝนพรำ...ฉ่ำชื้น.... พราว..ค่อยๆเปลี่ยนสีบ้านหลังน้อย ที่มีเชิงชายรายรอบ..ราวบ้านโบราณหลังนี้ที่มีจั่ว ทายทักตะวันยามยอแสง ให้ลอดซี่ไม้ลงมา เป็นแสงเงางามสวยล้ำ..จับผนังปูนที่เป็นสีชมพู ตัดกับสี..เทอร์ควอยซ์ของโถงทางเดินเล็กๆ.. ราวกับ..บ้านในฝัน ในใจของจิตรกรเอกที่สรรสร้าง อิงอยู่กับลำธาร..สายเล็กๆ จากยอดเนิน.. ที่ไล่เลาะเลียบลงมาตามปุ่มปมแก่งหิน จนเกิดเป็นโตรกธาร สาย สะอาด ใส ไหลเย็น... พราว...จะเปิดบานหน้าต่างโล่ง ......กว้าง.... รับ..ละอองฝน และสายลมเย็น..... และ.....ในบางค่ำคืน......... พราว..จะออกไปนอนนับดาว..ตรงชาน ที่ทอดตัวเหนือลำธาร เพื่อฟังเสียงน้ำเซาะผ่านซอกหินเบื้องล่าง ที่ฟังเพราะพริ้งหวานเศร้า ราวเสียงดนตรี จนพาให้เคลิ้มหลับไหล ไปกับแสงดาวเดือน อย่างฝันดี.... พราว เนรมิตร สวนไม้เมืองร้อน ให้โอบรายรอบ เลื้อยไล่ไต่ตาม ไปทั่วอาณาเขต ของบ้านให้ งดงาม ราว..สวนสวรรค์ และนอกหน้าต่างนั้น บางครั้งพราวนั่งนิ่งดื่มด่ำ ในยามที่สายฝนพรำ และยามที่สายหมอกโรยตัว ได้นานนับชั่วโมง มิรู้เบื่อ และ.....ในบางทีพราวนี้...คิดว่า พราวฝันไป.. มิได้อยู่ในโลกแห่งความจริง แต่อยู่กับโลกแห่งความฝัน กับสวนสวรรค์ที่แสนสวยงามอ่อนหวานเลอล้ำ ตระการตา ตระการใจ พาให้ไหลหลง..เป็นยิ่งนัก... จนไม่อยากเชื่อเลยว่า....พราวนั้นจะได้มีโอกาสเป็นเจ้าของ และสัมผัสดินแดนแห่งมนต์เสน่ห์นี้ ในโลกมนุษย์.... ทุก...ปลายฝน..ต้นหนาว..ทุกคราคราว ที่ใจของพราวเหว่ว้าและร้าวระบมกับผู้คน ที่หมุนวนแปรผันยอกย้อน จนยากจะยอมรับ ในสังคมเมือง บนผืนโลกกว้างใบนี้ พราว.....จะละทิ้งเลิกสับสน..ทุกข์ทนหม่นหมาง.. และหาทางกลับบ้านของเรา..ที่นี่..สวนสวรรค์.... ที่คอยปลุกปลอบให้กำลังใจ..เสมอมา..และคงชั่วนิรันดร.... และสำหรับใจดวงงามของพราวนั้น......... แม้บางครั้งจะไม่มีเวลาเดินกลับมาตามหาฝันวันแสนดีจาก บ้านน้อยริมเชิงเขาหลังนี้ และกับทุ่งข้าวสีทองแห่งความฝันที่แสนงาม.... แต่...รู้ไหม... ทุกสิ่งอยู่ที่ใจดวงนี้ของพราว ราวซ่อนซุกไว้ ภายใน มิให้ใจดวงร้าวเงียบเหงาหมดงาม กับปลายฝน ต้นหนาว และกับทุกฤดูกาลแห่งชีวิตนี้ ที่แสนดียิ่งนักแล้ว
22 กันยายน 2554 20:25 น. - comment id 1208813
ปลายฝนตันหนาวในปีนี้ ทุกข์ทวีทับถมข้าวจมหาย ทั้งข้าวกล้าน้ำป่ามาทำลาย ช่างโหดร้ายกว่าทุกปีที่มีมา ปลายฝนต้นหนาวปีนี้ ชาวนาร่ำไห้เลยคุณบินเดี่ยว ฯ
22 กันยายน 2554 20:33 น. - comment id 1208815
ปลานฝนต้นหนาว น้ำท่วมยาวเลยเนาะ บทกลอนสื่ออารมณ์เหงาถึงใจจริงค่ะ
22 กันยายน 2554 22:27 น. - comment id 1208842
่อ่านแล้วเหงาจับใจค่ะ ที่นี่ ก็รับลมหนาวเบา เบา แล้ว ทางโน้นคงรู้สึกได้กว่าทางนี้เนาะ จะหนาวแล้วรักษาสุขภาพด้วยนะคะ พี่ชาย...
24 กันยายน 2554 16:59 น. - comment id 1209179
ย่างเข้าฤดูหนาวเนื้อห่มเนื้อจึงหายหนาว