คิดถึงไหม สิ่งแปรเปลี่ยนเวียนวนในโลกนี้ ทับถมทวีมากมายคล้ายขุนเขา บ้างก็ใหญ่ดูหนักมากบางเบา มีสิ่งเศร้าคละคลุ้งปรุงแต่งกาย มัวแต่มองด้านอื่นระรื่นจิต แต่หาคิดถึงเราเฝ้าเปลี่ยนสลาย ฝากคนอื่นหมดสิ้นปลิ้นน้ำลาย แสนยากกลายไม่คนึงถึงตัวเอง ว่าการเปลี่ยนแฝงไปในโลกหล้า ทั่วกายาอนิจจังดุจดังเขนง มุทะลุผ่านงำปราศย่ำเกรง ลิดรอนเก่งเผากันสู่บรรลัย ประดับร่างเสียงามหาความรัก สร้างประจักษ์ตัวเองซิเปล่งใส เมื่อแปรเปลี่ยนในสิ่งที่สิงหทัย สิ่งภายในสังขารอันผันแปลง ผมขนเล็บฟันหนังมิขังกรอบ ดูเพียงชอบแต่งไว้มันได้แฝง สัจจะธรรมสนองไว้ไม่ระแวง ซึ่งพลิกแพลงหมองมัวชั่วทุกกาล ครั้นรู้ตัวก็สายจนมลายแล้ว สิ่งงามแนวหายสิ้นจินต์จักสาน คิดสู่คืนมุ่งธรรมกลับเนิ่นนาน เพื่อจะผ่านหวนกลับย่อยยับไป อันร่างกายคนเราเล่าบอกกล่าว ความปวดร้าวซ่อนไว้ไม่แจ่มใส ทราบคนอื่นแม้นตัวปราศกลัวใจ พล่านภายในสรรค์ออกบอกเวลา ยามเข้าชรากลับหวนล้วนสิ่งคิด เพื่อสร้างจิตปรุงแต่งหวังแฝงหา ผลาญลบล้างมุ่งธรรมนำปัญญา แต่เกินคว้าแนวทางสร้างสุขใจ. * แก้วประเสริฐ. *
16 มีนาคม 2553 13:16 น. - comment id 1111151
ธรรมรักษาครับ ลุงแก้ว
16 มีนาคม 2553 10:17 น. - comment id 1111412
อรุณสวัสดิ์ครับครูแก้ว ๐ รูปตัวต่างเปลี่ยนต้นก้านกิ่งใบ จำเริญใหญ่เหยียดคุ้มคลุมสาขา ครั้งสุดโค้งถอยล่วงความชรา ทอดชีวาฝังคืนสู่ผืนดิน ครูแก้ว รักษาสุขภาพด้วยครับ
16 มีนาคม 2553 10:19 น. - comment id 1111415
คิดถึงไหม... คิดถึงอยู่ค่ะ
16 มีนาคม 2553 14:25 น. - comment id 1111482
คิดถึงเสมอครับ
16 มีนาคม 2553 16:53 น. - comment id 1111577
คิดถึงอยู่ค่ะครูแก้วฯ อันตัวเราตอนปลายร่างกายแย่ นั่นเพียงแต่เนื้อหนังและมังสา แต่ติดตัวทุกที่ความดีพา ไม่โรยราร้างไร้แม้ใกล้จร ประมาณนี้แหละเจ้าค่ะครู
16 มีนาคม 2553 19:49 น. - comment id 1111625
คุณ กิ่งโศก อิอิ ครูตื่นนอนสายจะอรุณสวัสดิ์ไม่ได้ นี่ เร่งมือเอาเป็นว่าสวัสดีศิษย์ที่รักดีกว่านะ วันนี้ ส่งทีเดียวสามตอนเลย คงเหลืออีกนิดเดียวก็จะ จบซะทีนะ ครูจะไม่กล่าวถึงกลอนโคลงหรอก ด้วยวางมือปล่อยได้แล้ว รักศิษย์เราเสมอ แก้วประเสริฐ.
16 มีนาคม 2553 19:51 น. - comment id 1111626
คุณ น้ำตาลหวาน เพียงคำเดียวที่ปรารถนา หวานปานน้ำตาลหยด ย้อยเชียว ขอบใจมากจ้า รักเสมอ แก้วประเสริฐ.
16 มีนาคม 2553 19:54 น. - comment id 1111628
คุณ ธันวันตรี ผมเครียดกับการเขียนเรื่องสั้นก็เอากลอน ที่เขียนไว้ในเวปฯดอกแก้วมาลงไว้ แต่ไม่ได้มา ลงในเวปไทยกลอนครับด้วยห่างจากเวปดอกแก้วงไปนานนั่นเอง พักสมองครับ ชื่อนั้นกับเนื้อเรื่องผสานกันไหมก็ไม่รู้แต่ผมว่า มันเข้ากันได้นะครับ รักเสมอ แก้วประเสริฐ.
16 มีนาคม 2553 20:01 น. - comment id 1111633
คุณ อรุโณทัย ขอบคุณมากครับผมก็คิดถึงคุณเช่นเดียวกัน ถึงได้นำกลอนมาลงไว้ครับ รักเสมอ แก้วประเสริฐ.
16 มีนาคม 2553 20:02 น. - comment id 1111634
คุณ แก้วประภัสสร ครูเองก็คิดถึงศิษย์รักเสมอๆแหละแต่เนื้อ หา เป็นเรื่องที่เรียกว่า "เส้นผมบังภูเขา" จ๊ะ รักศิษย์เรามากเสมอๆ แก้วประเสริฐ.
16 มีนาคม 2553 21:28 น. - comment id 1111662
คงคิดถึงชีวิตแต่แรกเริ่ม ค่อยต่อเติมเสริมให้อย่างแข็งขัน ล้วนเปลี่ยนแปลงล่วงรุดทรุดคืนวัน ความแปรผันหันอดีตไม่หวนคืน คิดถึงไหมในชีวิตจิตแจ่มใส ในช่วงวัยแรกเริ่มเจิมสดชื่น กายจิตบริสุทธิ์ช่างกลมกลืน ด้วยดาษดื่นเดียงสาหนากระไร ล่วงลุวัยสดใสสังขารเปลี่ยน ไม่เสถียรจีรังความผ่องใส กายกับจิตฟุ้งซ่านห่างลอยไกล สู่ถิ่นไหนไปลับไม่กลับคืน เพ่งดวงจิตติดแน่นคิดไกลลับ ข่มระงับจับไว้อย่างสุดฝืน จิตจะหนีห่างกายหายไม่คืน ต้องกล้ำกลืนฝืนกายหมายจิตมา เมื่อสูงสุดสู่สามัญในวันหน้า จิตคงล้าจากไปสิ้นใฝ่หา ทิ้งกายไว้ให้เหลือมรณา สู่มรรคาหนทางที่มุ่งเดิน ธรรมดาสัตว์โลกปลงชีวิต ช่วงน้อยนิดสังขารยังผกเผิน แสวงหาหนทางที่เผชิญ จงดำเนินไม่ยากเกินกว่าปัญญา แวะมาเยี่ยมครับ เอาบทกลอนมาฝาก ชีวิตคนเรา เมื่อมีการเรียนรู้มากขึ้น ต้องเกิดความคิดว่าชีวิตจะจบแบบไหน ไปอีกยาวไกลเท่าใด และจะมีต่ออีกหรือเปล่าหลังจากนี้ เป็นสัจจะธรรมจริงจริง
16 มีนาคม 2553 22:58 น. - comment id 1111688
คุณ วิชัย ขอบคุณครับ ผมอ่านบทกวีคุณแสดงถึงภูมิ ปัญญาที่ลึกซึ้งสูงส่งยิ่งนัก สภาพจิตคนเรานั้น ปกติสามัญมิอาจอยู่นิ่งเฉยได้ เขาเปรียบไว้ดุจดัง ลิงที่มิอาจนิ่งเฉยได้ จิตย่อมรู้ก่อนสิ่งใดๆทั้งสิ้น แต่สภาพจิตจะไม่ยอมจดจำไว้ด้วยย่อมแกว่งไกว ไปตลอดเวลาจึงเกิดเจตสิกควบคู่เจตสิกหาได้ดิ้น รนเปรียบอุปมาดังเงาของคนเรา การเกิดดับของ จิตเกิดทุกวินาทีเสมอจนนับครั้งไม่ได้ด้วย มีความละเอียดอ่อนมาก แต่หากเรารู้จักทำจิต ให้ว่างๆไว้นั่นและถึงจะนับสภาพจิตได้ เจตสิกก็เช่นเดียวกัน สิ่ง หน้าที่ของจิตคืออายตนะหกคือการสอดรู้สอดเห็น ของอายตนะที่มาในหลายๆรูปแบบดิ้นรนไป จึงเป็นสิ่งที่จิตที่มีนิสัยคล้ายๆกันถึงได้ชอบนัก เจตสิกก็ติดตามเก็บไว้ หน้าที่ของเจตสิกมี อย่างเดียวคือรายงานผลงานของจิตให้แก่ใจ เมื่อใจรับรู้แล้วก็ส่งไปให้สัญญา สัญญาเมื่อรับ จากใจก็ส่งให้สังขาร สังขารที่ได้รับจากสัญญา ก็เกิดการปรุงแต่งอารมณ์ ครั้นปรุงแต่งแล้วก็ส่งให้วิญญาณ ครั้นวิญญาณได้รับการปรุงแต่ง แล้วก็ส่งให้แก่เวทนา ครั้นเวทนาได้รับผลจาก วิญญาณก็ส่งให้แก่รูป มันเป็นกงจักดุจวงล้อ ของเกวียนที่คอยหมุนเวียนไปรอบๆ อันเป็น บ่อเกิดของตัณหา ราคะ โทสะและโมหะ อัน เป็นตัวชักนำให้ก่อเกิดภพต่างๆขึ้นมา สิ่งเหล่า นี้ล้วนแล้วแต่ว่า ใครล่ะที่จะรู้จักบังคับจิตเราได้ เหตุของเรื่องนี้อุปมาดัง เส้นผมบังภูเขา นั่นเอง ก็ด้วยจิตเป็นปัจจัย หากเราควบคุม จิตเราได้แล้วให้มันไม่ยุ่งเกี่ยวกับอายตนะ การเกิดภพชาติก็ย่อมไม่เกิดขึ้น สัญญาก็ไม่เกิด สังขารก็ไม่เกิด วิญญาณก็ไม่เกิด เวทนาก็ไม่ เกิด รูปก็ไม่เกิด ก็จะบรรลุโสดาบันเป็นปฐม เมื่อจิตสร้างเข้มแข็งได้แล้วไม่ดิ้นรนสับส่ายไป จิตนั้นก็จะนิ่งเฉยๆเสีย นิพพานก็เกิดขึ้น ผมกล่าวมาตามความรู้เล็กๆน้อยเท่านั้น คนเราส่วนใหญ่มักจะไม่มองร่างกายเราแต่ กลับไปมองสิ่งรอบตัวเราเป็นส่วนใหญ่นั่นเอง ทางไปนิพพานได้อาศัยจิต แต่ทางเข้านิพพาน นั้นคืดตัดสังขารเสียให้เด็ดขาด กิเลสเล็กน้อย ที่ฝังตัวไว้ในใต้สำนึกมาหลายร้อยหลายพัน ชาติก็สิ้นสุดการเดินทางด้วยไม่มีอะไรจะปรุง แต่งสิ่ง ตัณหา ราคะ โลภะ โทสะ และโมหะ เมื่อ สิ้นอาสวาะเหล่านี้แล้ว สังขารก็หยุดทำงาน พระพุทธองค์บำเพ็ญเพียรมาเมื่อเข้านิพพาน ยังเข้าฌานทั้งหมด แต่ต้องมายังอุปจารสมาธิ เหตุอุปจารสมาธิเป็นการคั่นระหว่างกลางของ จิต หากเลยไปจิตก็กระด้าง ดังเส้นเสียงพิณ ที่แข็งกระด้างไป หากไปอยู่ที่ขนิกสมาธิจิตก็ อ่อนไป มีแต่อุปจารสมาธิเท่านั้นที่ไม่แข็งไป และไม่อ่อนไปเดินทางได้สบายๆโดยสามารถ เข้านิพานได้ทางสังขารดับไม่ปรุงแต่งก็ดำเนิน เข้าสู่นิพพานได้ เพราะขาดการปรุงแต่งของ จิต อารมณ์ต่างๆก็ไม่เกิดขึ้นความยึดมั่นถือมั่น ก็หายไป ฉะนั้นอย่าคิดว่าจิตไม่สำคัญ จิตนั้นสำคัญ ยิ่งนักเป็นบ่อเกิดของการสร้างภพสร้างชาตินั่นเอง แหมๆๆอ่านกลอนคุณวิชัยนั้นช่างถูกใจผม ยิ่งนัก หรือจะเอามาพร้าวห้าวมาขายสวนก็ ไม่อาจจะหยั่งรู้ได้ หากผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วยนะครับในฐานะที่คนชอบพอกัน รักกันครับ รักเสมอ แก้วประเสริฐ.
16 มีนาคม 2553 23:06 น. - comment id 1111694
คิดถึงค่ะคุณลุงแก้ว
17 มีนาคม 2553 12:04 น. - comment id 1111831
อเนกชาติสังสารัง ย้อนอดีตคิดย้อนสอนธรรมะ ทรงสละละสมบัติพัสถาน บำเพ็ญให้เห็นโพธิญาณ ปฐมกาลสมัยก่อนพุทธกาล ที่ป่าอิสิตฯเป็นมุนีฤษีศีล บำเพ็ญเพียรอาจิณเขียนเล่าขาน สมาธิสูงสุดอันยาวนาน ปราณหกปีนี่หนาไม่เห็นธรรม เห็นเนื้อหนังมังสาติดอัฐฐิ ละทิฎฐิคิดย้อนลึกถลำ หนทางนี้คิดว่าอย่าน้อมนำ จะยังทำให้ลำบากยากพบทาง แม้นเข้าญาณสมาบัติอีกสิบชาติ ก็มิอาจพบธรรมที่สะสาง จิตจะพลอยวิปริตผิดหนทาง จะยังร่างสังขารนี้ดับลง ณ.ริมฝั่งเนรัญชราคงคาใส ตั้งพระทัยใฝ่ธรรมไม่ลุ่มหลง อธิฐานลอยถาดข้าวมธุฯลง ให้เจ้าจงสรงสนานในวังวน ในค่ำคืนตื่นแล้วได้พบเห็น เป็นราตรีส่องสว่างทางสับสน เข้าสู่ฌาณหยั่งรู้สิ้นเวียนวน หลุดพ้นอาสวะกิเลสด้วยปัญญา ด้วยญาณสามที่สำเร็จเป็นเหตุให้ พิจารณาในอาการปัจจยา- การอนุโลมปฏิโลมชะโลมมา จึงรู้ว่าปฏิจจสมุปบาทแล แล้วบรรลุอนุตรโพธิญาณ กาลอรุโณทัยส่องกระแส ทรงเยาะเย้ยตัณหาที่พาแย่ สังสารวัฏฏ์ทุกข์แก่เราเจ้าอย่ามา อเนกชาติ สังสารรังเป็นอาทิ นายช่างริทำเรือนเตือนตัณหา ตถาคตได้ท่องเที่ยวสืบเสาะมา มิได้พบพานชาติสงสารนับประมาณ ดูกรตัณหา นายช่างเรือน อย่าแชเชือนตถาคตพบจงขาน ต่อแต่นี้สืบไปอย่าริวาน สุขสราญทำเรือนให้เราเลย กลอนเรือนนี้เรารื้อออกเสียแล้ว ช่อฟ้าเราทำลายจงนิ่งเฉย จิตของเราปราศสังขารมารที่เคย อย่าคิดเลยปรุงแต่งภพไม่มี ตถาคตถึงสิ้นความดับสูญ ไร้อาดูรตัณหามาบ่ชี้ หาส่วนเหลือมิได้ในปฐพี ตรัสรู้สัจจธรรมเลิศกว่าใคร ขณะนั้นอัศจรรย์บังเกิดให้ ปฐพีกว้างใหญ่ให้หวั่นไหว พฤษาชาติผลิดอกช่อวิไล เทพไท้ทุกชั้นฟ้าสาธุการ เปล่งวาจาพร้อมเพียงเสียงปิติ นิมิตหมายยินดีทุกสถาน พระสัมมาสัมพุทธโพธิญาณ อุบัติแล้วเบ่งบานในโลกา เป็นอัศจรรย์ที่ไม่เคยมีในกาลก่อน พระพุทธองค์สอนไว้ว่า อย่าแบกทุกข์ไว้บนบ่า ยิ่งแบก มากเท่าใด ความหนักของกองทุกข์ จะสร้างความลำบากยากแค้นแสนรันทด มากเท่านั้น แวะเอาธรรมะมาฝากครับ
17 มีนาคม 2553 22:00 น. - comment id 1111937
คุณ วิชัย ดีมากๆครับ ก่อนผมก็เล่นกลอนธรรมมานาน แต่ตอนนั้นพวกเราหาผมว่าคร่ำครึ ไม่ค่อยสนใจ เลยเปลี่ยนทางแต่บางครั้งก็แฝงไว้ในกลอนผม เสมอๆ แหละครับ แต่มาบัดนี้ พอเวลาผ่านไปอายุเริ่มมากขึ้นกับ พบกลอนธรรมมากล้นผมก็ดีใจนัก จึงวางมือเสีย กลอนคุณนั้นเริ่มปฐมบททีเดียวครับ งามครับ ทุกอย่างนั้นคือ ตัณหา ความอยากนั่นแหละคือ หัวหน้าใหญ่ของกิเลส โลภะ โทสะ และโมหะ ด้วยตัณหามันฝังรากลึกลงไปในใต้จิตสำนึกของ พวกเราแล้วพาสิ่งเหล่านี้ข้ามภาพข้ามชาติมา สะสมไว้ พระอรหันตเจ้าเท่านั้นที่จะตัดเจ้าตัว ตัณหาได้ขาด หากตัดสิ้นไปย่อมไม่ถึงอรหันต ธรรม คนที่เป็นพระอรหันต์นั้นย่อมรู้กันหาก บ่งบอกไปก็ไม่ได้ต้องอาบัติทันที ที่ทราบกันได้ ก็ด้วยจิตเรานี้เอง ครั้นจิตเชื่อมสัมผัสกันได้ ก็ย่อมตรวจสอบกันได้เช่นกันจึงจะทราบว่าใคร เป็นพระอรหันตเจ้า ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาจะ บ่งบอกได้ครับ จริงไหมครับ ขออนุโมทนาด้วย ครับที่เจอบัณฑิตทางธรรม ขอบพระคุณครับ แก้วประเสริฐ.
17 มีนาคม 2553 23:23 น. - comment id 1111952
คุณ ร้อยฝัน ขอบคุณครับผมเองก็คิดถึงคุณเช่นเดียวกันครับ สบายดีหรือครับ ไม่ได้เจอกันนานเชียว รักเสมอ แก้วประเสริฐ.
18 มีนาคม 2553 10:37 น. - comment id 1112044
๐ คิดถึงไหมยามห่างในทางเว้น หนทางเน้นเร้นห่างทางอักษร ยามว่างเว้นเน้นกาพย์มาทาบตอน คิดถึงกลอนจึงอ้อนต่อมาขอใจ... ปล...กลอนเพราะมากคะพี่
18 มีนาคม 2553 11:11 น. - comment id 1112046
คุณ ครูกระดาษทราย ขอบคุณครูครับ ผมเองมัวไปเร่งงานด้าน เขียนนวนิยายกิ่งพงศาวดารอยู่ครับ บัดนี้ภาระ สิ้นสุดลงแล้ว ก็อาจจะมาเขียนกลอนครับพักผ่อน ทางอารมณ์ บอกตรงๆว่าเขียนนิยายนี่เครียดจริง ด้วยชื่อเมืองเอย ด้วยไม่อยากจะให้ซ้ำกับชื่อ อันแท้จริง คนเอยช่างยากจริงๆ ครับ รักและคิดถึงเสมอครับ แก้วประเสริฐ.
18 มีนาคม 2553 11:14 น. - comment id 1112047
คุณ ฉัตรมงคล ครับผมเขียนนิยายกึ่งพงศาวดารพึ่งจบ เมื่อวานเร่งมือใหญ่ และแต่งโคลงฝากไว้ด้วย ตอนนี้ เดี๋ยวจะเอาโคลงในนิยาย ลุ่มลึกอิสราวดี มาฝากให้อ่านทางนี้ครับ ขอบคุณรักเสมอ แก้วประเสริฐ.
18 มีนาคม 2553 18:16 น. - comment id 1112131
...บทกลอนให้ข้อคิดและแนวทางปฏิบัติที่ดีมากค่ะ....ยังคิดถึงเสมอนะคะ...แวะมาทักทายกันค่ะ...
19 มีนาคม 2553 12:37 น. - comment id 1112320
คุณ ราชิกา แฝดเพื่อนรัก ผมเองเป็นคนที่ทำอะไรแล้ว ต้องทำให้สำเร็จมานมนานแล้ว เมื่อเบื่องานกลอน ก็หันไปเล่นงานเขียนร้อยกรองไว้ บัดนี้ได้ เขียนจบแล้ว ยกเว้นงานเขียน เรื่องสั้น คือ ฟ้าเพียงดินเท่านั้น ยังไม่จบทิ้งไว้ มานาน ด้วยจิตอารมณ์ยังไม่พร้อมนั่นเอง รักใน น้ำใจแฝดเพื่อนมากจ๊ะ รักเสมอ แก้วประเสริฐ.