*** กลิ่นธูปควันเทียน *** ๏ นมัสการยกนอบน้อม พุทธา สองกรแนบวันทา กราบก้ม ธรรมะที่แสดงมา ซึ้งซ่าน กมลแฮ พ้นสิ่งกิเลสโน้ม ฝากไว้ดวงมาลย์ ฯ ภาวนาให้หลุดพ้น หลักพัน ผูกแฮ หวังสู่มิขาดกัน เจิดจ้า รวมเป็นหนึ่งจิตพลัน สรรค์สู่ ธรรมเฮย เพียรก่อจิตปราศล้า มุ่งไว้คำสอน ฯ พุทธะองค์มอบไว้ ทุกตอน เห็นทุกข์เกิดลิดรอน ใฝ่รู้ อริยสัจสี่นำสอน พ้นสิ่ง เกิดแฮ ขาดต่อวัฏฏะผู้ จัดสร้างเสกสรร ฯ วิปัสสนาสู่น้อม ฝึกฝน มากนา พิศเพ่งกายาจน สู่สล้าง ตัดรอนต่อเปรอะปน ฝังอยู่ ใจเฮย หนีจากกิเลสสร้าง ซ่อนไว้ลึกหทัย ฯ จิตเจตสิกย่อมสร้าง เกิดดับ เวรย่อมเข้าประดับ อ่อนล้า จนหมกมุ่นติดกับ นำก่อ กรรมแฮ ดุจดั่งมีดคมกล้า ขาดแล้วซึ่งคม ฯ หากเพียรฝึกหลีกพ้น ทุกข์ภัย หนีนา สุขย่อมเข้าอาศัย สุดพลิ้ว เกิดมิก่อปราชัย ยวนยั่ว มากนา ล้างลบกิเลสกริ้ว ผูกขึ้นจองเวร ฯ อย่าหักโหมเร่งซึ้ง ฉับพลัน จงหมั่นคอยเสกสรร สู่ไว้ เพียรจิตก่อทุกวาร ผันสู่ ธรรมเฮย หากเร่งรัดแล้วไซร้ ย่อมสิ้นทางหนี ฯ พระองค์ตรัสเทิดไว้ จงเพียร มากแฮ พิศต่อกายหมุนเวียน เปลี่ยนแล้ว ควันธูปล่องดังเทียน แสงส่อง ไหวเฮย กายย่อมวางเพริศแพร้ว ลบล้างสิ่งสนอง ฯ แสงควันลอยล่องฟ้า เลือนหาย ดุจดั่งจิตละลาย เปลี่ยนแล้ว สับส่ายสิ่งมากมาย มินิ่ง จริงแฮ วกกลับเวียนสลับแพร้ว เร่าร้อนกายใจ ฯ ใดใดในโลกนี้ อนิจจัง หมุนเฮย จิตยากจะจับขัง ส่ายแท้ ดุจควันธูปลอยยัง สรรค์สู่ แตกแฮ ร่างกายมิสุขแล้ จะพลิ้วล่องลอย ฯ แสงทองเทียนส่องฟ้า เกิดดับ เวียนนา ระยิบพร่างประดับ จิตห้วง เพลิงก่อสู่ห้วงจับ เกิดก่อ จินต์แฮ ยากมาดจะจับล้วง ไขว่คว้าธรรมสนอง ฯ ธาตุมนุษย์สัตว์กอบด้วย หกธาตุ แน่เฮย ดินก่อเนื้อหนังวาด ร่างแล้ว น้ำหล่อชุ่มมิขาด อิ่มเอิบ มวลแฮ ลมเกื้อหนุนสิ่งแพร้ว ซ่อนไว้สม่ำเสมอ ฯ ไฟสร้างอบอุ่นเชื้อ ซ่อนรูป เวียนเอย อากาศธาตุเน้นลูบ พยุงไว้ วิญญาณะเช่นกูบ สิงสู่ ร่างเฮย เป็นร่างกายนี้ไซร้ เลิศล้ำกรรมเวร ฯ มาดแม้นมิหนุนเกื้อ ต่อกัน แบ่งแยกสุดเสกสรร ก่อแล้ว ก็จะเกิดต้านทาน หนุนส่ง ดับเฮย สิ้นสุดมนุษย์สัตว์แจ้ว เจื่อนจ้าสิ้นสลาย ฯ โลกทั้งปวงก่อด้วย ธรรมมอบ เนืองแฮ เพียรฝึกค้นหากรอบ ปรุงไซร้ ตัดแต่งต่อดีชอบ สรรค์ต่อ กายเฮย จิตซึ่งหลักกอรปไว้ ต่อห้วงบ่วงมหรรณ์ ฯ ธรรมพุทธะเกิดแล้ว ผองชน เกิดเพื่อให้จรดล สว่างล้ำ ชี้แจงสิ่งสับสน ฝากก่อ ใฝ่นา สอนมุ่งอริยะย้ำ ก่อเกิดอนิจจัง ฯ รวมความในที่นี้ ทางมรรค สามเฮย ศีลก่อไร้อุปสรรค สุดแล้ว สมาธิเกิดเป็นวรรค คลุมครอบ จิตแฮ ปัญญาพลิกเพริศแพร้ว เนื่องไว้นิพพาน ฯ ขจัดต่อมวลสิ่งสร้าง กิเลส ตัณหาดุจนิเวศน์ ใหญ่กว้าง โลภโกรธหลงในเจต สร้างบ่วง มัดเฮย วัฏฏะวนเวียนสล้าง เกิดขึ้นตลอดกาล ฯ ฝากแง่ธรรมมอบไว้ ผองชน ตรองเอย ค่อยร่ำศึกษาจน จ่างรู้ ปฏิบัติมิขัดสน ต่อเนื่อง ขาดลอย ก็จะมีเหตุสู้ แนบซึ้งดับผอง ๚ะ๛ *** แก้วประเสริฐ. ***
14 มกราคม 2553 14:57 น. - comment id 1085870
กลอนเพราะคะพี่ เยี่ยมมากๆ ชื่นชมจากใจจริงจ้า นางฟ้าฯอยากแต่งเก่งๆแบบนี้บ้างจัง
14 มกราคม 2553 15:33 น. - comment id 1085900
ธูปเทียนควันกลิ่นฟุ้ง ลอยไกล หอมจรุงบ่มจิตใจ ชุ่มชื้น ผองชนล่วงเลยวัย ยามแก่ ลดละเลิกครึกครื้น เฒ่าแล้วควรตรอง อิอิ ป่าเข้าถึงกลิ่นธูปควันเทียนแสดงว่าถึงวัยแล้วจริง ๆ
14 มกราคม 2553 15:44 น. - comment id 1085916
คุณ นางฟ้าซาตาน ขอบใจมากจ้าน้องรัก ลองย้อนกลับไปอ่าน กระทู้ที่พี่ตอบน้องไว้ด้วยนะ รักน้องเราเสมอๆ แก้วประเสริฐ.
14 มกราคม 2553 15:45 น. - comment id 1085917
แฝงไปด้วย นัย แห่งความหมายสอนคน สอนใจ.. คำเปรียบเปรย..ในบทกวี เขียนได้ดีครับ อ่านแล้วเห็นภาพ ชื่นชมครับ
14 มกราคม 2553 15:47 น. - comment id 1085921
คุณ ฤกษ์ฯ ขอบคุณพ่อรูปหล่อประจำเวปฯ ผมนะรู้ตัวมา นานแล้วว่าแก่ บอกเขาทั้งหลายว่าแก่แล้วไม่เคย เลยจะว่าหนุ่ม ซ้ำยังบอกว่าผมรูปร่างกายอัปลักษณ์ เสมอมา ด้วยรู้ตัวเอง ทุกๆอย่างเป็นไปตามกฏธรรม ชาติ คุณเองก็หนีไม่พ้นหรอกดุจกงล้อแห่งเกวียน ย่อมหมุนรอบตัวเสมอนะ รักเสมอ แก้วประเสริฐ.
14 มกราคม 2553 15:53 น. - comment id 1085923
คุณ ผู้ชายคนเดิม ขอบคุณมากครับที่เข้าใจในนัยนั้นๆ แต่ผม มันคนบ๊องส์ๆก็แบบนี้แหละครับ ยังไม่เก่งหรอก เพียงเล่นไปด้วยใจรักเท่านั้น สิ่งปรารถนาคือลด ความจำไม่ให้เสื่อมไปมากเท่านั้นและหาความสุข ไปวันๆหนึ่งครับ กระนั้นก็ตามยังหาได้บรรเทา ไปได้เลยครับ อาการดังกล่าวเริ่มเกิดขึ้นแล้ว ขอบคุณที่มาเยี่ยมครับ แก้วประเสริฐ.
14 มกราคม 2553 16:02 น. - comment id 1085933
สวัสดีค่ะคุณลุงแก้ว อิอิอิ สบายดีนะคะ มาแวะฟังธรรมะก่อนกลับบ้านค่ะ ขออนุญาตเก็บกลอนของคุณลุงเข้ากล่องนะคะ อิอิอิ ขอให้คุณลุงสุขภาพแข็งแรงตลอดไปค่ะ
14 มกราคม 2553 16:11 น. - comment id 1085942
คุณ ยายแม่มด สวัสดีครับ ทุกรูปนามมิอาจหลีกพ้นข้อนี้ ไปได้ครับ เชิญตามสบายครับ ขอบคุณ รักเสมอ แก้วประเสริฐ.
14 มกราคม 2553 16:12 น. - comment id 1085944
แวะมาชมผลงานครับครูแก้ว โคลง บทยาว ที่อ่านแล้วอิ่มเอิบดีครับครู รักษาสุขภาพด้วยครับ
14 มกราคม 2553 16:19 น. - comment id 1085951
อ่านแล้วรู้ซึ้งถึงสัจธรรมชีวิตมากมาย สักวันจะพยายามเขียนดูบ้างค่ะ.... ว่าแต่ตอนนี้ขออ่านแล้วศึกษาไปพลางๆ ก่อนนะคะ ขอให้สุขภาพครูแข็งแรงยิ่งๆขึ้นค่ะ
14 มกราคม 2553 18:33 น. - comment id 1086027
กลิ่นธูปควันเทียนลอยฟุ้ง หอมจรุงอุนไอเหมือนไปสวรรค์ สวดบทพระธรรมรำพัน ลอยไปพร้อมกลิ่นควันของธูปเทียน สบายดีนะคะ เข้ามาอ่านงานไพเราะที่แฝงไปด้วยสัจธรรม
14 มกราคม 2553 18:52 น. - comment id 1086036
มาร่วมกลิ่นธูปควันเทียนครับครู
14 มกราคม 2553 20:59 น. - comment id 1086088
มาชื่นชมผลงานนะคะ
14 มกราคม 2553 21:29 น. - comment id 1086096
กลิ่นธูปและควันเทียน ทำให้เรามีจิตตระหนักถึง สิ่งที่ทำว่าถุกหรือผิดนะคะ
14 มกราคม 2553 22:02 น. - comment id 1086112
คุณ กิ่งโศก ศิษย์รักอย่างที่ครูบอกเธอเนืองๆว่าการ ที่เราฝึกจิตให้เป็นกลอน กลอนเป็นจิน รวมกัน เป็นหนึ่งเดียว ไม่ว่าจะเล่นอะไรที่เราต้องการ เราก็ฝึกจนมันรวมตัวกันเองได้แล้ว จะเขียน ยาวสั้นอย่างไรก็ได้อยู่ที่เราพอใจ แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องให้ผสมผสานเป็นเนื้อเดียวกันจ๊ะ รักศิษย์เรา เสมอๆ แก้วประเสริฐ.
14 มกราคม 2553 22:05 น. - comment id 1086115
คุณ เทียนหยด ศิษย์รักเอย นี่ครูสรุปในวาระสำคัญเท่านั้น ปลีกย่อยยังมีอีกมากมายนัก แต่หลักใหญ่ที่เรา ควรจะรู้ไว้ก็อยู่ในหลักเกณฑ์นี้เท่านั้นเอง ศิษย์ เราครูอ่านงานเธอแล้วหันมาเล่นโคลงได้แล้วจ้า สุขภาพครูนอกจากจะทรงกับทรุดเท่านั้นจะดีกว่า หรือเหมือนเดิมไม่ได้แล้วจ๊ะ รักศิษย์เราเสมอๆ แก้วประเสริฐ.
14 มกราคม 2553 22:08 น. - comment id 1086119
คุณ ไม้หอม ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยม อันที่จริงผมเคยเขียน งานด้านธรรมมาเพราะชอบมานานแล้วระยะหลัง ไม่ค่อยได้เขียน วันนี้เกิดนึกบ้าๆอะไรก็ไม่รู้ก็เลย เขียนไว้ หวังว่าอาจจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย ก็ผู้ซึ่งปรารถนาครับ ขอบคุณครับ แก้วประเสริฐ.
14 มกราคม 2553 22:16 น. - comment id 1086124
คุณ ป๋องฯ ศิษย์เอยเมื่อฝึกจนถึงจุดๆหนึ่งแล้วตามที่ ครูเคยกล่าวว่าไม่เกินสามอย่างนั้นแหละอย่าให้ มากไป รู้มากยากนาน รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม มันจะนัก ไม่หนักเปล่าจะทำให้งานที่เรามุ่งชะงัก ไปเกิดความลังเลสับสนเกิดขึ้น ได้ไว้ก็แค่เปลือก จะหาแก่นยาก หากเราเล่นน้อยแต่พยายามให้ ถึงแก่นมันจะไม่ดีกว่าหรือที่จะได้แค่เพียงกระพี้ เท่านั้น ลองเอามาคิดดูนะศิษย์เรา เห็นเธอชอบ เล่นกลอนเก้า กลอนจะเล่นแบบไหนก็ได้ขอ ให้จริงจังกับมัน มันก็จะได้ผลรวดเร็วไม่ติด ขัดถึงติดขัดก็จะน้อยลง แต่ครูอยากให้มาเล่น กลอนแปดจะยากกว่ากลอนเก้า ด้วยกลอนแปด เป็นรากเง่าของกานท์เกือบทุกๆชนิด เพียงแต่ เราเอามาผสมผสานกันในลักษณะกลอนตลาด ก็จะได้จำพวกเพลงเก่าๆ นิยายเก่าๆซึ่งขยาย ความออกไป เพราะกลอนแปดจะบังคับอักษร และทำนองไว้ที่เรียกว่าตัวกล้ำนั่นเอง รักศิษย์ เราเสมอ แก้วประเสริฐ.
14 มกราคม 2553 22:18 น. - comment id 1086127
คุณ เจ้าสาวแห่งโลกวิญญาณ ตอนนี้หากจำไม่ผิดผมมาอยู่ในดินแดนทอง ของคุณวางรากฐานไว้เรียบร้อยแล้วครับ ดีใจที่ คนเก่าๆแวะมาเยี่ยม ขอให้สุขกายสบายใจนะ รักเสมอ แก้วประเสริฐ.
14 มกราคม 2553 22:20 น. - comment id 1086130
ได้กลิ่นไอกรุ่นละมุนหอม รสธรรมนำน้อมชีวิต เพราะมากครับ
14 มกราคม 2553 22:23 น. - comment id 1086133
คุณ ไหมไทย ถูกต้องครับ กลิ่นธูปและควันเทียนคือ กุโลบายหนึ่งที่คนโบราณรำลึกนึกถึงพระรัตนตรัย ก่อเกิดสมาธิ อย่างคนจีนเขาจะใช้การเคาะเพื่อ ฝึกสมาธิ ธิเบตใช้กระดิ่ง ศาสนาคริสต์ใช้เสียง เพลง อิสลามใช้เสียงคนสวดเป็นที่กำหนดจิตฯลฯ ทุกอย่างให้รำลึกนึกถึงความดีชั่วให้ปฏิบัติแต่สิ่งดี ละเว้นความชั่ว ขจัดสิ่งไม่ดีงามทั้งหลายให้หมดไป เพื่อเป็นการสร้างกุศลผลบุญนั่นเองครับ รักเสมอ แก้วประเสริฐ.
14 มกราคม 2553 22:46 น. - comment id 1086151
คุณ สุริยันต์ฯ อันที่จริงผมว่างเว้นการเขียนกลอนธรรมมา นานแล้วครับสมัยก่อนผมชอบเล่นมาก แต่วันนี้ เกิดบ้าๆอะไรก็ไม่รู้เลยเขียนเป็นโคลงขึ้นมาตาม ที่เคยตั้งใจไว้ครับ ลองนำไปพิจารณาไว้ปัญญาไม่ ได้อยู่ไกลและใกล้ๆ ความรู้แท้จริงอยู่ในร่างกาย เรานี่เอง คนเรามักจะมองข้ามไปหมดมัวแต่ไป มองสิ่งรอบข้าง หาได้พิจารณาร่างกายเราไม่ คน ที่จะบวชเป็นภิกษุทุกๆคนจะได้รับการบอกกรรมฐาน จากอุปัชฌาย์ไว้แต่ไม่มีภิกษุสนใจ กลับไปมอง ที่อื่นเสีย กรรมฐานที่บอกนั้นคือ เกศา(ผม) โลมา(ขน) นักขา(เล็บ) ทัณตา(ฟัน)และตะโจ (ผิวหนังร่าง) ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นอนิจัง ทุกขัง อนัตตาทั้งสิ้น มิอาจจะควบคุมได้ห้ามไม่ได้ทั้งสิ้น นี่คือต้นแบบของสมถะวิปัสสนา บางรูปมักเขียน แยกสมถะกับวิปัสสนาออกจากกัน ซึ่งถือว่าผิด ด้วยทั้งสองอย่างเกื้อกูนซึ่งกันและกัน หากไม่ มีสมถะจะเกิดวิปัสสนาไม่ได้ หากมีวิปัสสนาจะ ละถึงสมถะก็ไม่ได้ ดุจธาตุทั้งหลายที่เกื้อกูน ร่างกายเรา หากแบ่งแยกไม่ช่วยเหลือซึ่งกัน และกันแล้วทางเดียวคืออนัตตาเท่านั้นคือตาย หากเราไม่ทราบว่าในโลกใบนี้ล้วนแล้วแต่ เป็นอนิจจังทั้งสิ้น อนิจจังคือความไม่เที่ยงแท้ ย่อมแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา หากเราไป สนใจต่อร่างกายมากก็เกิดทุกข์ ทุกข์คือความ เร่าร้อนเปรียบดั่งไฟประลัยกัลป์ที่จะเผาผลาญ จิตใจเราให้หวั่นไหวไม่สงบจะเกิดความร้อนเนื้อ ร้อนใจและร้อนกายเป็นต้น แต่ในที่สุดย่อม เกิดเป็นอนัตตาคือการแตกดับสลายไป หาก พูดง่ายๆคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และก็ดับ ไปทั้ง รูปนาม จะคงเหลือไว้ก็เพียง วิญญาณธาตุซึ่ง รวมถึงใจ จิต เจตสิกและอารมณ์ที่ถูกปรุงแต่ง ไว้เสร็จแล้วจากสังขารนั้นๆ เพื่อเกิดใหม่ให้ เป็นไปตามแต่เวรกรรมที่ทำไว้คือความดีและ ความชั่วนั่นเอง ตายแล้วดับหรือ ตายแล้วไม่ ดับหรอก ตายแล้วเกิดปั๊บทันที ที่เกิดคือสัมภเวสี แล้วก็ถูกเวรกรรมปรุงแต่งใหม่ตามผลบุญกรรม นั้นๆ แล้วก็ดับไปอีกครั้งเพื่อให้เป็นไปตาม สิ่งดีชั่วที่เราทำ แล้วก็จะเกิดขึ้นใหม่อีกที บ้างไปสู่สุคติ บ้างไปสู่ทุคติเป็นต้น โทษทีนะ ที่กล่าวเสียยืดยาวอาจจะเบื่อเสียก็ได้ รักเสมอ แก้วประเสริฐ.
15 มกราคม 2553 10:52 น. - comment id 1086299
่น่าชื่นชม ทั้งความสามารถ และหลักธรรม นำมาเป็นโคลง ได้ดีมากๆ ครับ เหมือนการฝึกหัด เริ่มแรกเลย น่าเสียดาย ที่ไม่ได้ขึ้น หน้าหนึ่ง แบบนี้ สมควรได้รับเกียรตินั้นครับ ขอคารวะ คุณลุง ในความอุตสาหะ และความรู้ด้านธรรมะ
15 มกราคม 2553 10:56 น. - comment id 1086301
มาน้อมรับฟังธรรมทะจากคุณครูค่ะ โหยย ยาวมากๆ เก่งจังค่ะครู
15 มกราคม 2553 14:49 น. - comment id 1086353
กลิ่นธูปควันเทียนที่อยู่ในห้วงคำนึง ให้คิดถึงครานั้น...วันที่แมยังอยู่ แม่เป็นไหว้พระสวดมนเราเฝ้าดู จึงอยู่ในห้วงแห่งรสพระธรรมมา
15 มกราคม 2553 19:11 น. - comment id 1086536
คุณ กวีน้อยฯ ฮ่าๆๆๆตอบง่ายนิดเดียว โคลงบ้าๆฝืมือยัง ไม่ดีพอนะซิหลานรักเอ๋ย เกียรติหรือลุงเองได้รับ มาสมัยทำงานแล้วล่ะ สมัยรับราชการก็ได้รับถึง ชั้นพิเศษ สอบเลื่อนตำแหน่งก็ได้ที่ 3มาแล้ว เป็นหัวหน้าคนก็เยอะแล้วจะเอาอะไร อีกล่ะ แก่แล้วด้วยลุงได้กินเนื้อเป็ด ก็ไม่หวังจะ กินเนื้อห่าน ถึงกินเนื้อห่านก็ไม่ฝันจะลิ้มรสเนื้อ หงส์หรอกนะหลาน เราควรพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ มิฉนั้นจะเกิด ความโลภ ความโกรธ ความหลง มากยิ่งขึ้น ทั้งที่เรามีอยู่มากพอแล้วจะสะสมมาก ไปกว่านี้อีกหรือใช่ไหมหลานรัก ลุงไม่สนใจ หรอกกับเกียรตินี้และก็ไม่หวังจะเอาดีเอาเด่น เขาให้เราใช้ที่นี้เป็นที่ฝึกสมองก็เพียงพอแล้ว ล่ะนะหลานรัก ฉนั้นเรื่องนี้ลุงไม่สนใจหรอก คนที่มาฝึกหัดกับลุงมักจะไม่ได้ดีหรอกด้วยคน ไร้ฝีมือมาสอน อิอิ เป็นไงล่ะเครื่องคอมฯทำ งานได้ดีขึ้นแล้วใช่ไหมล่ะ เราใช้ฟรีและไม่ ต้องเสียเงินทองก็พอแล้ว รับรองว่าทำแบบลุง ชะลอไวรัสได้ ลุงใช้มานานแล้วไม่มีเรื่องปัญหา นี้หรอก รักหลานเราเสมอ แก้วประเสริฐ.
15 มกราคม 2553 19:16 น. - comment id 1086540
คุณ แก้วประภัสสร ศิษย์รักเราเอ๋ย ครูก็เขียนไปเรื่อยๆด้วย หลักธรรมนั้นนี่แค่เบื้องต้นที่เกิดเท่านั้น ยังมีอีก แยะหากเขียนอีกก็จะมากขึ้นเรื่อย นิสัยครูชอบ ทำอะไรครั้งเดียวอยากให้เสร็จๆ อย่างเรื่องสั้น ครูเขียนเรื่องฟ้าเพียงดิน ครูขี้เกียจเขียนต่อจะสรุปหรือ ก็จะทำให้อรรถรสเสียไป ก็วางมือเสียดื้อๆตามนิสัย คนบ้าๆบอๆบ๊องสืจ๊ะ เรื่องนี้ก็เหมือนกันหากจะแต่ง กันจริงๆนับเป็นเล่มๆเลยล่ะจ๊ะ รักศิษย์เรา เสมอๆจ๊ะ แก้วประเสริฐ.
15 มกราคม 2553 21:06 น. - comment id 1086580
คุณ ครูกระดาษทราย ครับดีจังเลย ผมยังจำได้เมื่อสมัยวัยรุ่น ผมเคยได้ยินคนมักจะพูดว่า คนไทยเราถือ ศาสนาพุทธเพราะถือตามกันมาหมายถึงว่า ไม่ศรัทธาด้วยจิตใจ ผมก็สงสัย พอใกล้ได้ อายุจะบวชผมยังลังเลสงสัย จึงค้นคว้าหาความ จริงว่าเป็นอย่างเขาพูดหรือ ค้นคว้าทุกๆศาสนา ใหญ่ๆตลอดจนลัทธิมาศึกษาหาความจริง จน ในที่สุดผมสรุปได้ว่าศาสนาพุทธนั้นเป็น ศาสนาที่แท้จริงตลอดจนเป็นปรัชญาชีวิตอีก ด้วยครับ ผมจึงตัดลังเลสงสัยออกเสียแล้วเริ่ม ต้นนั่งสมาธิด้วย เพราะอ่านตำราอาปานานสติ เริ่มฝึกฝนโดยไม่มีอาจารย์ มีคุณพ่อผมนั่งอยู่ ด้วยผมสวดมนต์จบก็นั่งสมาธิจนเกิดปิติขึ้น อาการของปิติแล้วแต่บุคคลไม่เหมือนกัน และ มีมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นถึงแม้จะเลิกไปแล้ว ก็จะไม่เกิดปิติอีกครับ ส่วนผมเองนั้นเริ่มต้น ร่างกายจะหมุนรอบตัวเองผมพยายามฝืนแต่ ไม่สำเร็จพอเริ่มใหม่ก็เป็นดังนี้อีกผมก็เลย ปล่อยเลยตามเลยคอยมีสติตามดูในที่สุดก็ หยุดหมุนแล้วก็ลอยตัวขึ้นในความรู้สึกนั้น นะครับ เกิดความสุขยิ่ง ผมก็เจริญภาวนาไป จนในที่สุดองค์ภาวนาหายไปรู้สึกว่าการหาย ใจจะแผ่วเบาๆมาจนผ่านไปเรื่อยๆครับจะ อธิบายเดี๋ยวหาว่าโม้ไป หากทุกๆคนทดลอง ทำดูจะรู้เองครับ ก่อนอื่นต้องให้มีศรัทธาเชื่อ มั่นนะครับ ฉนั้นผมถึงเชื่อมั่นและเจริญ สมาธิมาตลอดจวบจนปัจจุบันนี้ครับ คุณแม่ คุณท่านสวดมนต์ก็ได้สมาธิแม้จะเล็กน้อยก็ ย่อมเกิดผลานิสงฆ์ผลบุญ หากผมจะกล่าวใน พระไตรปิฎกก็จะยาวไป เอาแค่นี้นะครับ รักเสมอ แก้วประเสริฐ.
15 มกราคม 2553 22:44 น. - comment id 1086616
แพ้ควันธูป เนื่องจากภูมิแพ้อยู่เดิมจึงไม่จุดในห้องพระนอกจากเทียน แต่ถ้ากลางแจ้งก็ไม่มีปัญหาค่ะ อนุโมทนาบุญด้วยนะคะ
15 มกราคม 2553 22:45 น. - comment id 1086617
เป็นโคลงที่ยาวเชียว แถมด้วยกลิ่นรสพระธรรมคลุ้ง
16 มกราคม 2553 08:17 น. - comment id 1086729
มาสดับพระธรรม และสวัสดีปีใหม่ คุณครูแก้วด้วยครับ ขอให้สุขภาพแข็งแรงตลอดไปครับ
16 มกราคม 2553 11:56 น. - comment id 1086816
คุณ นรสิริ คุณกับผมเหมือนกันคือเป็นโรคภูมิแพ้ครับ การบูชาพระรัตนตรัยไม่จำเป็นต้องจุดธูปหรือเทียน ก็ได้ครับ ที่สำคัญอยู่ที่ศรัทธาของจิตใจเราเป็นปัจจัย การใช้ธูปเทียนนั้นเป็นกุสโลบายขอบคนโบราณ จะอยู่ในหมวดของลัทธิขงจื้อในเรื่องเศรษฐกิจชาติ เป็นสำคัญ การน้อมบูชาพระรัตนตรัยอยู่ที่การ กำหนดจิตใจเราเป็นสำคัญครับ ฉนั้นสรุปคือ จะจุดก็ได้ไม่จุดก็ได้มีค่าเท่ากัน การจุดเป็นสิ่ง ก่อให้เกิดสมาธิรวดเร็วขึ้นเท่านั้น แต่ก็เป็น กิเลสอย่างหนึ่งคือรากเง่าของกิเสลคือ หลง นั่นเองครับ สบายใจได้ไม่ผิดหรอกครับากใจ เรามีศรัทธาน้อมด้วย กาย วาจา และใจแล้ว น้อมใจเราเข้าสู่ไตรสรณะคมน์ก็เพียงพอแล้ว ครับ รักเสมอ แก้วประเสริฐ.
16 มกราคม 2553 12:18 น. - comment id 1086828
โคลงงามค่ะ ให้ข้อคติเตือนใจมาก อย่าคิดดับลับสังขารนะคะ ขอให้ใจสู้....เราก็จะชนะค่ะ สุขภาพกายหากเยียวยารักษาได้นะคะ สุขภาพใจบทกลอนโคลงช่วยได้ค่ะ
16 มกราคม 2553 13:39 น. - comment id 1086833
คุณ ปรางทิพย์ ขอบคุณครับ สาเหตุเพื่อกำลังใจตัวเองครับ สิ่งที่ผมเชื่อมั่นด้วยรักในสิ่งความถูกต้องเสมอๆ จึงได้เขียนเรื่องนี้เพื่อปลอบใจตัวเองครับ อีกอย่าง หนึ่งสิ่งใดรักมากก็ย่อมทำลายเรามาก ฉันท์ใดก็ ฉันท์นั้นครับ รักเสมอ แก้วประเสริฐ.