21 สิงหาคม 2551 20:00 น. - comment id 888579
มูลเหตุแห่งความรุนแรงทางภาคใต้ของไทย เพราะการมอมเมาชักจูงสาวกของนายมูฮัมมัด ที่พยามยามยัดเยียดความคิดวิธีแก้ปํญหา ด้วยความรุนแรงจากการทำสงครามทางศาสนา โดยใช้อาวุธ ประกอบกับมีคนในพื้นที่ พยายามบิดเบือนประวัติศาสตร์ให้การต่อสู้เพื่อแบ่งแยกดินแดนเป็นการต่อสู้ทางศาสนา แล้วนายมูฮัมมัดคือใครกันแน่ นายมูฮัมมัดก็เป็นมนุษย์ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ที่ใช้ความเป็นหนุ่มรูปงาม อายุน้อย ผูกมัดใจสาวใหญ่สูงอายุผู้มั่งคั่ง เพื่อการดำรงชีพ แล้วขอแต่งงานด้วย เพื่อครอบครองทรัพย์นำไปเป็นประโยชน์แก่ตนเอง หรือจะพูดอีกนัยหนึ่งว่า เกาะเมียกิน ก็ได้ จึงกลายมาเป็นลักษณะนิสัยของหนุ่มมุสลิมทั่วไปในปัจจุบัน เพราะการที่ท่านศาสดามูฮัมมัดมีเมียแก่ แต่ไม่ค่อยจะมีความสุขในครอบครัว ไม่พอใจในชีวิตการครองคู่แบบผัวเดียวเมียเดียว จึงกำหนดกฎเกณฑ์ให้ผู้ชายมุสลิมมีเมียได้ ๔ คน แต่พอมีเมียคนใหม่เป็นเด็กอายุน้อย ๆ ตั้งแต่คนที่ ๒ ก็เกิดความหวงแหนกลัวเมียเด็กจะไปปันใจให้ชายอื่นที่หนุ่มกว่า จึงบังคับให้เมียเด็กคลุมหน้าคลุมตา ไม่ให้ผู้ชายคนอื่นมองเห็นความงดงามของเมียน้อยตัวเอง และเพื่อมิให้เป็นข้อครหา จึงกำหนดกฎเกณฑ์ให้ผู้หญิงมุสลิมทุกคนต้องคลุมหัวปิดหน้า ท่านศาสดาเป็นคนที่มีอีโก้สูง อยากโดดเด่นเหนือคนอื่น จึงคิดหาวิธีการตั้งตนเป็นใหญ่ด้วยการจัดตั้งลัทธิความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวกัน คือ อัลเลาะฮ์ และการที่ทุกคนจะติดต่อกับอัลเลาะฮ์ ได้ ก็จะต้องติดต่อผ่านท่านศาสดามูฮัมมัดเท่านั้น คนอื่น ๆ ไม่เก่ง ไม่บริสุทธิ์ ไม่ดีเลิศเท่าท่านศาสดา ความคิดนี้ จึงไปขัดแย้งกับสาวกของพระเจ้าองค์อื่น ๆ ที่พวกเขานับถือกันอยู่ ซึ่งถือเป็นเผด็จการทางความคิดนั่นเอง จึงเกิดสงครามต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ในการครอบครอง หินกาบะห์ สถานที่ศักด์สิทธิ์ของพระเจ้าหลายองค์ในขณะนั้น การต่อสู้ทางความคิด และสงครามทางอาวุธ ของท่านศาสดามูฮัมมัดในระยะแรก พ่ายแพ้ยับเยิน ต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุน ถูกตามล่าจนแทบเอาชีวิตไม่รอด จึงหาวิธีปลุกระดมมวลชน สาวกกลุ่มใหม่ให้ยอมสละชีวิตร่างกายในการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของตัวท่านมูฮัมมัดเอง แต่อ้างว่าเป็นโองการจากอัลเลาะห์ ให้การต่อสู้ในครั้งนั้น เป็นการต่อสู้ทางศาสนา โดยกำหนดหลักการที่ว่า การเบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น ที่มีความเชื่อแตกต่างไปจากพวกของศาสดามูฮัมมัดไม่ผิด และจะได้บุญ ได้ไปพบกับอัลเลาะฮ์ ที่ได้ชื่อว่าเป็นพระเจ้าผู้วิเศษ ศักดิ์สิทธิ์ให้คุณให้โทษ สร้างและทำลาย ให้พรและสาปแช่ง ต่อมวลมนุษย์ สัตว์ สิ่งของ ที่มีในโลก และนอกโลก ( ทุกอย่างเป็นประสงค์ของอัลเลาะฮ์ ) แท้จริงความหมายของ อัลเลาะฮ์ ก็คือ ความเป็นจริงของธรรมชาติ ( ผลย่อมเกิดแต่เหตุปัจจัยที่เหมาะสม ) แต่ศาสดามูฮัมมัด ได้กำหนดความหมายให้เห็นเป็นรูปธรรมว่า อัลเลาะฮ์ เป็นองค์เทวะผู้วิเศษที่จะบันดาลอะไรก็ได้ตามคำร้องขอของท่านศาสดามูฮัมมัด ผู้ติดต่อกับอัลเลาะฮ์ได้โดยตรงเพียงคนเดียวเท่านั้น เมื่อศาสดามูฮัมมัดชนะสงครามทางความเชื่อ ตั้งตัวเป็นศาสดาของศาสนาอิสลามแล้วจึงกำหนดกฎของอัลเลาะฮ์ขึ้นเป็นหลักความคิดความเชื่อของศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นเผด็จการทางความคิด คล้ายกับพรรคคอมมิวนิสต์ทั่วโลก คือ........ มุสลิมต้องเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว ( อัลเลาะฮ์ ) โดยผ่านทางศาสดามูฮัมมัดคนเดียว เช่นเดียวกับสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ต้องเชื่อในอุดมการณ์ของพรรคโดยผ่านคนของพรรคเท่านั้น ทั้งมุสลิมและสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ ห้ามสงสัยในคำสอน ห้ามสงสัยในคำสั่งของพรรค ต้องอุทิศร่างกาย และชีวิตแด่ศาสดา หรือพรรค กฎของพรรคคอมมิวนิสต์ เปรียบเสมือนเป็นโองการของศาสดา ที่กำหนดเป็นคำภีร์ ( กุรอาน ) ที่ต้องเชื่อและปฏิบัติตามหนทางเดียว นบีมูฮัมมัด เป็นเจ้าของกฎเกณฑ์ความคิดความเชื่อ และหลักการทางศาสนา เช่นเดียวกับ มาร์ค เลนิน เป็นเจ้าของแนวคิดและอุดมการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์เหมือนกัน หลักการความเชื่อของพรรคคอมมิวนิสต์ ก็คือหลัก ความคิด ความเชื่อของอิสลาม
21 สิงหาคม 2551 20:12 น. - comment id 888652
ศาสนาแต่ละศาสนา ก็เหมือนสถาบันการศึกษาหรือโรงเรียน ของแต่ละพวก แต่ละเผ่าพันธุ์ ที่มีรูปแบบวิธีการสอน หลากหลายแตกต่างกันไป ทุกศาสนาล้วนมุ่งสู่การสอนให้ทุกคนเป็นคนดี อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข สันติไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน โรงเรียนพุทธวิทยา มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าของหลักสูตร เป็นผู้คิดค้น กำหนดเนื้อหา รูปแบบการสอน และเป้าหมายหลักสูตร โรงเรียนอิสลามวิทยา มีท่านนบีมูฮัมมัดเป็นเจ้าของหลักสูตร เป็นผู้คิดค้น กำหนดเนื้อหา รูปแบบวิธีการสอน และเป้าหมายของหลักสูตร โรงเรียนคริสตวิทยา มีท่านเยซูคริสต์ เป็นเจ้าของหลักสูตร เป็นผู้คิดค้น กำหนด เนื้อหา รูปแบบวิธีการสอน และเป้าหมายของหลักสูตร โรงเรียนฮินดูวิทยา มีท่านศังกราจารย์ เป็นเจ้าของหลักสูตร เป็นผู้คิดค้น กำหนด เนื้อหา รูปแบบวิธีการสอน และเป้าหมายของหลักสูตร ทุกโรงเรียนสอนวิชาเดียวกัน คือวิชา ความจริงของธรรมชาติ โดย โรงเรียนพุทธวิทยา เรียกชื่อวิชานี้ว่า ธรรมะ โรงเรียนอิสลามวิทยาเรียกชื่อวิชานี้ว่า อัลลอฮ์ โรงเรียน คริสตวิทยา เรียกชื่อวิชานี้ว่า พระผู้เป็นเจ้า โรงเรียนฮินดูวิทยา เรียกชื่อวิชานี้ว่า พระนารายณ์ พระอิศวร พระพรหม แต่ละโรงเรียน จะใช้วิธีการสอนตามความถนัดของตัวเอง อาจใช้แบบจิตนิยม (ความคิด) และแบบเทวะนิยม (ความศรัทธา) หรือ อาจจะเรียกว่าเน้นหนักที่ปัญญา (ความเข้าใจ) และเน้นหนักที่ศรัทธา (ความเชื่อ) เจ้าของหลักสูตรแต่ละท่าน จะคิดค้นเทคนิควิธีการเรียน การสอนเป็นของตนเอง ในโรงเรียนชาวพุทธจะสอนว่า ธรรมะ คือความจริงของธรรมชาติ คือธรรมชาติ คือ กฎของธรรมชาติ คือหน้าที่ของธรรมชาติ คือผลของธรรมชาติ ธรรมะ คือหน้าที่ การทำหน้าที่คือการปฏิบัติธรรม ซึ่งหมายรวมถึงทั้งหน้าที่ทางกายภาพ (ปฏิบัติหน้าที่ตามคุณสมบัติ เช่น ตามีหน้าที่ดู หูมีหน้าที่ฟัง) และหน้าที่ทางจินตภาพ (หน้าที่สมมุติทางสังคม เช่น หน้าที่ของ พ่อ, แม่, ลูก, ผู้บังคับบัญชา, ลูกน้อง, เจ้านาย) ในโรงเรียนชาวมุสลิม, ชาวคริสต์, ชาวฮินดู จะสอนว่า อัลลอฮ์, พระผู้เป็นเจ้า (พระยะโฮวา) พระนารายณ์ พระอิศวร พระพรหม เป็น เทวะ ผู้วิเศษ ผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่จะบันดาลสิ่งใดๆ ในโลกก็ได้ ซึ่งจะเป็นไปตามเหตุปัจจัย (เมื่อมีสิ่งนี้ จึงเกิดสิ่งนี้ มันเป็นเช่นนั้นเอง) โดยสรุป การสอนวิชา ธรรมะ อัลลอฮ์ พระผู้เป็นเจ้า พระนารายณ์ พระอิศวร พระพรหม ก็คือการสอนวิชา ความจริงของธรรมชาติ นั่นเอง เพียงแต่ผู้นำศาสนาแต่ละท่านจะใช้วิธีการเรียนการสอนแบบไหนที่จะให้เข้าใจธรรมชาติได้ดีที่สุด จะสอนแบบใช้ความศรัทธา (ความเชื่อมั่น) หรือสอนแบบใช้ปัญญา (ความเข้าใจ) และที่สำคัญแต่ละโรงเรียนที่มีอาระยะธรรมแล้ว จะไม่ยกพวกตีกันหรือยกพวกไปเบียดเบียนโรงเรียนอื่นๆ ที่อยู่ร่วมโลกเดียวกัน เมื่อมีสิ่งนี้ (เหตุ) จึงเกิดสิ่งนี้ (ผล) มันเป็นเช่นนั้นเอง (ธรรมชาติ/อัลลอฮ์)