วรรณะวรรณนา (ผมได้แรงบันดาลใจ จากงานกวีนิพนธ์ ของ ท่านจิตร ภูมิศักดิ์ และบทกวีชุด รุ้งกินเมือง ในหนังสือ นาฏกรรมบนลานกว้าง ของ ท่านคมทวน คันธนู ครับผม) เกริ่นนำ ร่ายดั้น ศรีศรีหม่นศรีมิ่ง สรรพ์สิ่งมัวซัวหมด รันทดทั่วบุรีรมย์ รันทมถมบ่โรยรา สมญา ไทย ปรากฏ เสริมยศ ไทย ปรี่เกียรติ ละเอียดอำนรรฆหนอ ลอออำนวยเนตร ซ่อนอาเพศโพยขุก ซุกเอาผีเพียบคูณ จำรูญภาคนอกใส จัญไรภายในสิ้น ลมลิ้นร่ำเรื่องอ้าง ลบล้างฤาลบออก หลอกตัวเองว่าเด่น เล่นแต่งอวดว่าดี ธานีใครครองสุข ทำนุกใครครบส่วน ป่วนชีวีใครหวั่น ปั่นชีวิตใครว้าง ค้างเติ่งนมนานมา คาติดเนาในเมือง เรืองเรืองคนข่มขู่ หรุบหรู่คนขื่นเข็ญ หลั่งล้นประเด็นท่วมกลาด หลายแหล่ประดาษถูกแกล้ง ขอแจ้งจากจิตบงบางส่วน ขานศัพท์หวังคุ้ยเสี้ยน เสียบสยาม วรรณะที่ ๑ โคลง ๕ ดั้น งานง่วนง้ำ...............งำเงา หลอกคนขาม...............ข่มถ้วน บันดาลเอา...............อิทธิเดช ลวงให้ม้วน...............หมอบเศียร ไพเศษพ้น...............พรรณนา เทวันเวียน...............ว่อนติ้ว มาสู่ธา-...............นินทร์สถิต มาชี้นิ้ว...............นาบเหนือ ใครคิดข้อ...............เคืองคาย ผิดจากเครือ-...............ข่ายเจ้า มันควรตาย...............เตียนหมด เลือดล้างเท้า...............ท่านไท เผยพจน์แจ้ว...............พูดพิจารณ์ อำมาตย์ไข...............ขู่เกรี้ยว มึงสามานย์...............มึงหมิ่น ดังคล้ายเงี้ยว...............ผงาดผัน ทุกถิ่นเที้ยร...............ถูกคลุม บันโดยบรรพ์...............บดกั้ง มายาสุม...............กระสันผูก ยังย้ำยั้ง...............อยู่ดี หลานลูกท้าว...............ทระนง ก่อราคี...............ขุ่นเปื้อน ใครอย่าหลง...............เฉลยเหตุ หยุด! ห้ามเยื้อน...............อยู่เฉย โอนเกศก้ม...............กับดิน ชนห่อนเงย...............หงุบหน้า แกลนกฎหิน...............กด หั่น แมนฟื้นฟ้า...............เฟื่องเสมอ ฟูเสมอ วรรณะที่ ๒ สัทธราฉันท์ ๒๑ โอม....อ่านขานเจื้อยระเรื่อยเจอ ขณะสวนะละเมอ เพริดกระเจิดเผลอ ภวังค์วน กลัวมิ่งกริ่งมวลกระบวนมนต์ จริตจิตวิจล ไสยศาสตร์สน- ธิสืบสาว คงยามข้ามยุคสนุกยาว กุหกชนระนาว พรายกระจายพราว พจีแจง เมืองพล้ำพลำไพล่ไถลแพลง เพราะพฤฒิทิชะแสดง สาดฉกาจแสง ฉกรรจ์ไสย จากวังหลั่งปนระคนไป ประลุฆรนระใน ราษฎร์อนาถใหล ละลายทรวง งวยงงหลงบำรุบำบวง อวิชมุหะทะลวง ซบสยบสรวง สวรรค์เวียง ยื้อยืดชืดชื้อชระอื้อเชียง เปรอะวิปริตะระเรียง เชือน เลอะเลือน เฉียง ฉะนี้เป็น วรรณะที่ ๓ กาพย์ฉบัง ๑๖ กลบทกบเต้นสามตอน เที่ยวภุญช์ทุนเพียบเทียบเพ็ญ ขบเคี้ยว เคี่ยวเข็ญ สินคับทรัพย์ค้ำสำคัญ สำนึงซึ้งนิตย์สิทธิ์นันท์ เงินเผียนเงี่ยนผัน เป็นพ้องป้องภัย...ไป่พอ เขื่องยล คนย้ำคำยอ อ้อนพลอดออดผลอ หลงพลันลั่นพล่ามลามโพลง หลอกเก่ง เล็งกลล้นโกง ภูตห่าพาโหง ห้ำหั่นหันเหเฮฮือ กุมหมด กดหมับกับมือ เลวทาบ ลาภถือ เลี้ยงถ่อยลอยท่ามหลามทาง เอ่ยพรอกออกพร่ำอำพราง บั่นถาก บากถาง ใครท้าคร่าโถมโครมแทง ทรุดเหยียบเสียบย้ำซ้ำแยง กรมเยงเกรงแหยง ชุมยักษ์ชักยิ่งชิงเยิน ดื่นหนุนดุลนำดำเนิน ชั่วชุกฉุกเฉิน เนาชาญนานช้าน่าชัง วรรณะที่ ๔ กลอน ๘ กลบทสุรางค์ระบำ คือคนเศร้าเขาซัด แค้น ขัดสน มากหมู่คนหม่นไข้หมองไหม้คั่ง เหมือนโถมบ่าถาบาปมาทาบบัง หน่วงเหน็บยาวหนาวยั่งนอนนั่งยืน บึกบึนองค์ บ่งแอกอันแบกอึ้ง ตรากตรวนขึงตรึงข่มตรอมตรมขื่น ก็อดกลั้นอั้นกล้ำเก็บอำกลืน ขาดข่าวรื่น ขืนแรงขาแค่งโรย สิ่งทรามโจมโซมจมซึมซมเจ่า ล้วนแล้วเผ่าเหล่าเผือดหลั่งเลือดโผย หมู่เข็ญบ้าฆ่าเบียนหมั่นเฆี่ยนโบย ร้องไห้อื้อฮือโอยร่ำโหยอึง เหยียดหยัดฝันยันฝืนยงยืนใฝ่ สร้างหวังในวัยนั้นสักวันหนึ่ง พ้นมารามารัดผูกมัดรึง เสือกไสทึ้งซึ่งทุกข์แทรกซุกทำ ชุมชนลีบชีพหล่นใช้ชนม์แลก ขุกลาญแยกแหลกยุ่ย เขาลุยย่ำ ห้อมหว่างกงวงเกณฑ์แห่งเวรกรรม น้ำตาร่ำต่ำรายนอนตายเรียง ขานเขียนเอ่ยเคยอรรถค้านขัดอ้าง โจรร้ายแสร้ง แรงสร่างจนร้างเสียง เมื่อต่างเพิ่มเติมแพ้มีแต่เพียง ต้องบ่ายเลื่อนเบือนเลี่ยง ต้องเบี่ยงลง จุกเต็มอั้นตันอก จน, ตกอับ เหล่ารวยทรัพย์รับศรีไหลรี่ส่ง คนเจ็บข้นจนไข้ขื่นใจคง สืบสายพงศ์ทรงพันธุ์โศกศัลย์พูน บทสรุป ร่ายยาว จำเดิมจากบูรพ์สมัยไล่เรียงเป็นต้นมา เมื่อมนุสสาสร้างสรรค์ส้องสุมซึ่งมหิทธานุภาพ เพื่อกระหน่ำกระหนาบมนุษย์ด้วยกันนั้น อุบัติแห่งการแบ่งชนชั้นก็ถูกบังคับใช้ ใครใดได้เดชาย่อมบรรชาชิงช่วง ล่วงล้ำก้ำเกินกุมเหงอย่างอำมหิต ส่วนใครใดถูกรอนลิดย่อมเรี่ยวแรงร่อยหรอรอนรอนตลอดเพลา ถึงมนุษย์อวดโอ้โอ่อ่าว่าลักษณ์เลิศประเสริฐกว่าส่ำสัตว์ หากก็วิวัฒน์จำเพาะเพียงวัตถุอุฬาริก ดวงใจหาได้พลิกพ้นจากพันธนาอันเนื่องมาแต่สัญชาตยาณไม่ จึ่งมิว่ายุคเก่าฤายุคใหม่ ชาติใดๆก็ตาม ผู้เหยียดหยามแหละผู้ถูกเหยียดหยัน ยังขัดแย้งแข่งขันคัดง้างกันยากกลมเกลียว รวมเป็นหนึ่งแดแลหนึ่งเดียวได้ ดั่งนี้ อันปฐพีสยามภพซึ่งพอกพูนเพรงขนบอินเดียแดนภารตะ แม้หลายท่านขานว่าปราศวรรณะกำหนดกฎแน่นอน ทว่าความเป็นอยู่ของผู้คนในนาครยังถูกแบ่งเป็นขั้นขั้น ละม้ายชนชั้นแห่งชนชาติชาวชมพูทวีป ใครใดได้ประทีปคือยศฐา ก็วัฒนาอำนาจประนังมลังเมลือง ใครใดไป่ประเทืองก็ทนประทุกทุกข์ท้อไร้วันประเทา ประเทศนี้จึ่งนับวันซมเซาเซื่องซึม วิสูตรหมอกทึบทึมทาบทับ ชรอุ่มชรอับชั่วนาตาปี ปานพระธรณีต้องมนตราสาปสรรค์ กระนั้นแล ถ้ามาตรแม้ต่างมีมโนมานสมานสมัคร ร้อยรักรรรเรียงราวสะพานรุ้ง ทอดข้ามโค้งคุ้งคคนางค์สู่เส้นทางเสถียรสุธรรม์ โดยผูกพันผองเพื่อนเสมือนภราดร คลายความรังเกียจอันกำจรจากดวงจิต รู้จักคิดเอาใจเขามาใส่ใจเรา ใช่เอาแรงเขามาต่อแรงตน สุขอุดมก็จักบันดลสวัสดี ด้วยวิถีแหละวิธีวิสุทธิ์สุนทร จากมนุษยกรเกี่ยวกระหวัดประสาน นี่คือยุคพระศรีอารย์เอมอิ่มอนันต์ สมดังความใฝ่ฝัน นั้นแล (๘ ถึง ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑) หมายเหตุ กาพย์ฉบัง ๑๖ กลบทกบเต้นสามตอน และกลอนสุภาพ กลบทสุรางค์ระบำนั้น ผมศึกศาจากหนังสือ กฎบนกลบท ของ ท่านคมทวน คันธนู และหนังสือ ประชุมจารึกวัดพระเชตุพน รวบรวมโดย คณะสงฆ์วัดพระเชตุพน และมี อาจารย์นิยะดา เหล่าสุนทร เป็นบรรณาธิการครับผม
19 เมษายน 2551 18:08 น. - comment id 840707
แวะมาอ่านงานกวีที่ยอดเยี่ยมค่ะ
21 เมษายน 2551 17:19 น. - comment id 841426
ติดตามงามของตราชูเสมอ....
23 เมษายน 2551 10:30 น. - comment id 841948
สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านที่เคารพทุกท่าน สวัสดีครับ คุณช่ออักษราลี คุณ บนข. กว่าผมจะตัดสินใจได้เด็ดขาดว่าจะเขียน วรรณะวรรณนา ต้องผ่านมรสุมภายในจิตใจตัวเองพอสมควรเลยครับ ในที่สุด แรงผลักดันทางการเมืองซึ่งมีอิทธิพลไม่น้อย ก็ทำให้ผมเขียนขึ้น ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่าง ทุนนิยมสามานย์ กับ ศักดินาล้าหลัง ซึ่งยังทำสงครามกันไม่เลิกรา และต่างฝ่ายต่างพยายามฉุดดึงประเทศไปตามทิศทางของตนอย่างสุดโต่งทั้งสิ้น ผม ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง จึงขออนุญาตออกมาแสดงความเห็นในเรื่องนี้ นั่นคือ ประเทศเราควรมีประชาธิปไตยแบบสมบูรณ์เสียที เลิกยื้อแย่งอำนาจกันได้แล้ว นี่คือแรงกระตุ้นสำคัญของงานชิ้นนี้ครับผม สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านที่เคารพทุกท่าน สวัสดีครับ คุณช่ออักษราลี คุณ บนข. กว่าผมจะตัดสินใจได้เด็ดขาดว่าจะเขียน วรรณะวรรณนา ต้องผ่านมรสุมภายในจิตใจตัวเองพอสมควรเลยครับ ในที่สุด แรงผลักดันทางการเมืองซึ่งมีอิทธิพลไม่น้อย ก็ทำให้ผมเขียนขึ้น ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่าง ทุนนิยมสามานย์ กับ ศักดินาล้าหลัง ซึ่งยังทำสงครามกันไม่เลิกรา และต่างฝ่ายต่างพยายามฉุดดึงประเทศไปตามทิศทางของตนอย่างสุดโต่งทั้งสิ้น ผม ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง จึงขออนุญาตออกมาแสดงความเห็นในเรื่องนี้ นั่นคือ ประเทศเราควรมีประชาธิปไตยแบบสมบูรณ์เสียที เลิกยื้อแย่งอำนาจกันได้แล้ว นี่คือแรงกระตุ้นสำคัญของงานชิ้นนี้ครับผม