หน้าร้อน นอนร้าว (ลีลากลอน ๗ เยี่ยงนี้ ผมเรียนรู้จากบทกวีชื่อ อย่า ประพันธ์โดย ท่านคมทวน คันธนู ในหนังสือ จตุรงคมาลา ครับผม) หนาวร้ายหน่ายราเมื่อหน้าร้อน ผ่าวเสริมเพิ่มซ้อนยากผ่อนเศร้า ไม่ร้างหมางเรื่องเลยเมืองเรา เลวเก่า เหล่าก่อนมันหลอนกล ชุมญาติ ชาติยอบ มันชอบแย่ง ล่า ปลิด ลิด แปลง จำแลง ปล้น กอดติดกิจแต่เห็นแก่ตน กลุ่มเพื่อนเกลื่อนพลกลาดกล่นพรรค์ เข็ญดล คนดีถูกขี่ด้วย- ศิทธิ์นำส่ำหน่วยคนซวยนั่น เบ่ง ก๋า บ้า กด บังบด กัน ข่มอยู่ขู่ หยัน บีบคั้นเยิน ทรามยัดซัดยับสินทรัพย์เหย้า โอนเข้า เอาขาย ไม่อายเขิน ผันแง่ แผ่เงื้อก็เพื่อเงิน โหมพล่ามห่ามเพลินโลดเหินพลิ้ว คล่าวบ่าคลาบุกเคล้าคลุกบาป ฉ่ำลาภฉาบโลภยิ่งโฉบลิ่ว หนุนทัพนับแถวเป็นแนวทิว คนจนคนจิ๋วต่อคิวจน หนาวรา หน้าร้อนยังนอนร้าว ชั่วคุมชุ่มคาวเมือกฉาวข้น รำร่ายร้ายร่อนเร่าร้อนรน ขื่นแดน แค้นดล ขาดคนดี (๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๐)
19 มีนาคม 2551 08:30 น. - comment id 832912
ร้อนแบบนี้คงหลบไปที่ไหนไม่พ้นนะคะ เอารูปทะเลมาฝากค่ะ
19 มีนาคม 2551 17:01 น. - comment id 833080
...ร้อนอะไรก็ไม่เท่าร้อนใจนะคะ
19 มีนาคม 2551 22:32 น. - comment id 833154
แวะมาชื่นชมผลงานค่ะ เดี๋ยวจะลองหัดแต่งบ้าง แต่คงอีกนานกว่าจะแต่งได้ ไงขอเก็บไว้ดูเป็นตัวอย่างสักหน่อยนะค่ะ ขอบคุณสำหรับกลอนสร้างสรรค์ที่นำมาฝากกันคะ
20 มีนาคม 2551 08:59 น. - comment id 833228
หน้าร้อนนอนหนาวในบางครั้งครับ นานจมเหงื่อก็บางครั้ง แต่รัฐบาลใหม่ ทำให้ร้อนใจนักครับ ไม่รู้ว่าจะเดินไปทางใด มีทะเลาะเบาะแว้งกันทุกวัน หน้าร้อนๆ นอนร้าวๆ ทักทายตราชูครับ
20 มีนาคม 2551 09:00 น. - comment id 833229
ตราชูเป็นเพชรเม็ดงามครับ ทุกบทแสดงถึงพลังอันมุ่งมั่น
20 มีนาคม 2551 19:00 น. - comment id 833381
คล้ายกลบท อะไรสักอย่างนะครับ เพราะครับ
21 มีนาคม 2551 00:26 น. - comment id 833496
ร้อนร้ายชายป่าภูผาเดือด แห้งเหือดโหดหิวคนโหยหา ถางไพรพงรกแย่งธารา ขายค้าแย่งยื้อซื้อป่าดง ทุนใหญ่ยัดย้อนต้อนเงินเล็ก กฏเหล็กยัดเยียดเหยียดปืนส่ง หวงป่าหวงดินดื้นด่าวลง จำส่งขายที่หนีเข้าเมือง ..อิอิ..พยายามด้วยครับ...แต่ไม่เพราะเลย...
21 มีนาคม 2551 11:14 น. - comment id 833592
สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านที่เคารพทุกท่าน สวัสดีครับ คุณปราณรวี คุณSalukphin คุณ ผู้หญิงไร้เงา คุณพี่ลำน้ำน่าน คุณกิ่งโศก คุณฝากฝัน กลอน ๗ ทำนองนี้ ผมสันนิษฐานว่า ท่านคมทวน คันธนู ท่านอาจดัดแปลงจากกลบทกบเต้นสามตอนกระมังครับ โดยวิธีเติมคำแทรกกลางเข้าไป กลบทกบเต้นสามตอนของโบราณาจารย์ท่าน บังคับวรรคละ ๖ คำ เมื่อเติมคำที่ ๓ แทรกเข้าไปก็แปรรูปเป็นกลอน ๗ ครับ ผมเห็นว่าลีลากระชับดี จึงลองเล่นดูครับผม เรียน คุณพี่ลำน้ำน่านที่เคารพยิ่งครับ ตลอดเวลาที่ผมเขียนงานฉันทลักษณ์เล่นนั้น ผมสำนึกอยู่เสมอครับว่า ผมเป็นเพียงคนตัวเล็กๆ (เล็กกว่าเล็นด้วยซ้ำ)คนหนึ่ง มิได้มีความสำคัญ หรือคุณค่าในตัวเองสักนิดเลยครับ เพียงแต่ ผมมีศรัทธาในผลงานของกวีหลายท่าน ผู้รังสรรค์นิพันธกานท์เพื่อส่งเสริมสังคม ขจัดความอยุติธรรม เรียกร้องในสิ่งอันสามัญชนพึงมี พึงได้ งานรจนาของท่านเหล่านั้น ตอกย้ำ กระตุ้นเตือนให้ผมบอกกับตัวเองเนืองๆว่า แม้ผมจะเป็นคนกระจอกงอกง่อย ก็จะขอเป็นพลเมืองที่ดีครับ พลเมือง มีความหมายถึง กำลังของเมือง เมื่อเป็นกำลัง ก็ต้องขยับเขยื้อน อยู่นิ่งๆจะเป็นกำลังได้อย่างไร (ความเห็นส่วนตัวครับผม) แหละการขยับเขยื้อน ก็ควรมุ่งไปข้างหน้า ข้างหน้าที่ดีขึ้น ดีขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งยามประเทศเราเดินถอยหลังเยี่ยงขณะนี้ ผมยิ่งติดตามข่าวสาร และยิ่งเป็นห่วงชาติของเราทวีคูณ ตรีคูณครับ ความรู้สึกทั้งหลายทั้งปวง ถูกถ่ายทอดผ่านงานเท่าที่คนกระจิริดอย่างผมพอจะทำได้ครับ กราบขอบพระคุณคุณพี่ลำน้ำน่าน รวมถึงท่านผู้อ่านที่เคารพทุกท่าน สำหรับกำลังใจซึ่งท่านมีให้ตราชูเรื่อยมา ครับผม
1 เมษายน 2551 09:18 น. - comment id 836050
ผมว่าการเขียนบทกวีที่ออกมาจากจิตวิญญาญด้านใน คือหนึ่งในการทำภาระกิจกวีให้สมบูรณ์ ในฐานะผู้นำความหมายมาบอกกล่าว หาใช่แต่การประดิษฐ์คำมาวางร้อยเรียงให้อ่านรื่นหู แต่อ่านแล้วไม่จับใจ ในความคิดผม บทกวี ไม่บางคราวไม่ต้องเขียนตามฉันทลักษ์ หากแต่อ่านแล้วจะจับหัวจิตหัวใจ อย่างนี้ก็เรียกบทกวีได้ครับ ตราชูผ่านตรงนี้ฉลุยครับ ผมว่าผมสัมผัสได้ถึงพลังจากข้างใน แต่อย่าให้พลังมันรนใจจนทำให้เราไม่เป็นสุขนะครับ พื้นฐานเดิมของจิตใจมนุษย์บริสุทธิ์ และสงบเป็นทุนเดิมอยู่แล้วครับ ขอเอาใจช่วยให้เขียนต่อไปครับ