อาราเล่ เห่บทกลอน อ้อนปลายแถว อยู่เป็นแนว รื่นฤทัย ให้เหมาะสม เพียงอยากให้ คนเข้าไป ไม่ตรอมตรม ได้ชื่นชม แล้วอมยิ้ม อิ่มกลับไป หามิได้ ให้ผู้ใด ได้เจ็บช้ำ จึงลำนำ บทแจง แถลงไข หากมิชอบ ก็บอกมา คราจากไป คงเหลือไว้ เพียงตำนาน ในบ้านกลอน ด้วยไม่รู้ เจตนา ว่าบ้านนี้ ควรกวี ชั้นครู ผู้พร่ำสอน ห้ามให้เด็ก ปลายแถวเรียน มาเขียนกลอน จึงมาวอน ขออภัย ใช่เจตนา ***หมายเหตุ*** ที่อาราเล่เข้ามาในบ้านกลอนนี้ ด้วยรู้สึกว่าใจรักและชอบในบทกลอน ถึงเราจะรู้อยู่เต็มอกว่า อยู่แค่ปลายแถวแต่เราก็ไม่คิดที่จะไปเทียบกะใคร เพียงแค่อยากสร้างรอยยิ้มและผูกสัมพันธ์กับคนที่ชอบกลอนด้วยกัน เรามาแบบแนวที่สร้างรอยยิ้มและขอมิตรภาพดี ๆ โดยมีรู้เจตนามาก่อนเลย ว่าที่นี่ รับเฉพาะกวีที่เป็นครูเท่านั้น มิได้เปิดโอกาสให้กับคนรุ่นใหม่หรือเยาวชนได้เข้ามาสัมผัสและเรียนรู้เพื่อที่จะได้สานต่อบทกลอนนี้ให้คงอยู่ต่อไป บทกลอนก็เหมือนกับผู้คนในสังคมที่มีทั้งดีและไม่ดี มันก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเลือกเดินทางไหน และให้มองเห็นถึงสิ่งไม่ดีควบคู่กันไปในการพิจารณา งั้นก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย หากมีผู้ใดที่มิชอบเรา และก็ขอจากไปด้วยดี ขอบคุณสำหรับมิตรภาพดีๆ ที่มีหลาย ๆ คนมอบให้มา เราจะเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ขอบคุณเจ้าค่ะ
1 กันยายน 2550 09:25 น. - comment id 747043
สวัสค่ะ นู๋อาราเล่ พี่ว่าอาราเล่ไม่ได้อยู่ปลายแถวหรอกนะค่ะ คนเราคิดต่างกัน ชอบต่างกัน และ มณีจันทร์ ยาแก้ปวด อาราเล่ ต่างชอบเหมือนกันคอเดียวกันมันไม่ผิดหรอกนะค่ะ ที่จะแสดงความคิดเห็นผ่านกลอน ไม่มีใครผิดหรอกค่ะ ในการที่จะทำสิ่งที่เรารัก ถ้าจะผิดก้อคือผิดหู ผิดตาของคนที่ไม่ใช่คอเดียวกัน แต่ว่ามันไม่สำคัญไม่ใช่หรอค่ะ ในเมื่อเราไม่กวีมืออาชีพ เราทำด้วยใจอยากทำ และไม่ได้สร้างความเดือนร้อนตรงไหนมันอยู่ในส่วนของเรา ถ้าคนอื่นใจไม่กว้าง เรา ก็ใจกว้างซะเองซิค่ะ ใจกว้างโดยคิดว่าเป็นคำสอนแล้วกันเราเป็นเด็กไม่เป็นรัยหรอกค่ะ ผู้ใหญสอนถือว่าให้พร พี่เป็นกำลังใจให้ทั้ง สามสาวด้วยค่ะ เพราะพี่ก็มือใหม่ค่ะ
31 สิงหาคม 2550 18:53 น. - comment id 747169
สุนทรภู่ ครูกวี ยังขี้เหล้า อย่ามาเหมา เราไซร้ ไร้สรรหา เมาแค่เหล้า บนหน้าจอ ต่อวาจา ใยเดาว่า เราขี้เมา เขลาสิ้นดี ด้วยเหตุที่ เรานี้ มีเพื่อนรัก มาทายทัก ฝากใจ ใช่บัดสี ร่ายลำนำ ฝากไว้ ด้วยไมตรี หมู่มิตรมี รวมมา พาติดตาม หากกวี ขี้เหล้า เมาคือผิด ก่อนจะคิด จากไป ขอไต่ถาม เคยหรือไม่ ทำใคร เมามายตาม หรือทำความ ไม่งาม ในบ้านกลอน
31 สิงหาคม 2550 19:01 น. - comment id 747178
อย่าไปไหนเลยคะ อยู่เปงเพื่อนกันก่อนคะ อย่าคิดมากเลยนะคะ แค่ความคิดเห็ฯเอง อย่าถือสาเลยคะ ไหนว่าจะไม่ยึดมั่นถือมั่นไงคะ ใยไม่สู้อะคะ..อย่าไปเลยคะ
31 สิงหาคม 2550 19:06 น. - comment id 747182
น้องอาราเล่ เกิดอะไร กับสามสาว เราไม่รู้ แต่หดหู่ หัวใจ เสียนักหนา เห็นนัดกัน ส่งกลอน อ้อนอำลา เหมือนดั่งว่า น้อยใจ ใจตนเอง มีอะไร หรือเพื่อน บอกได้ไหม หรือมีใคร มารังแก และข่มเหง คนเขาติ เขาว่า อย่าไปเกรง เป็นนักเลง เขียนกลอน ต้องอย่ากลัว สู้ๆๆๆ..อย่าเพิ่งไปไหนกัน อยู่ด้วยกันก่อนนะ รู้ไหมทำให้คนป่วยใจหายมันบาป..... (¯`°.¸♥♥¯`°ศรรกราหน้าทะเล้น°´¯♥♥¸.°´¯)
31 สิงหาคม 2550 20:17 น. - comment id 747241
จะรีบลาไปไหนคะ..ไม่ให้ลาค่ะ..
31 สิงหาคม 2550 21:44 น. - comment id 747264
จะลากันขอร้องว่าอย่าหุนหัน ทุกคืนวันเคยสนุกคุยสุขสม หยอกล้อเล่นด้วยรักกันเกลียวกลม ด้วยคารมกลอนกานท์หวานกวี แม้จะแต่งแรงไปใช่ขัดข้อง ขอน้องน้องเห็นใจในหมู่พี่ สามสาวจากบ้านกลอนเหงาเลยซี ฟังดีดีก่อนนะอย่าวู่วาม หรือเข้าใจอะไรกันผิดผิด หรือว่าคิดมากไปวัยรุ่นห่าม อ่านกลอนบอกปัญหาในเนื้อความ ไม่ประณามใครหรอกบอกแค่เตือน เพียงแต่มีเหตุวุ่นวายอาจหลายเรื่อง การขุ่นเคืองน้อยใจในหมู่เพื่อน เป็นนักกลอนอ่อนไหวใจสะเทือน ให้ลืมเลือนเสียเถิดหนากลับมาไว วัน สองวันกลับมาใหม่นะ ลาทีอย่าลาก่อน รักน้ำใจ อาลาราเล่ พารา และแม่มณีจันทร์นะจ้ะ
31 สิงหาคม 2550 22:08 น. - comment id 747270
เด็กน้อยที่น่าตี..นี่ถ้าว๊ากออนไลน์ได้จะทำทันทีที่เห็นกลอนนี้ อยากจะตีเด็กน้อยเป็นหนักหนา ใยไม่เชื่อคำป้าที่พร่ำสอน นั่นแค่เพียงอารมณ์คมคำกลอน กล่าวเว้าวอนไปทั่วจะกลัวไย หากกับข้าวมีเพียงอย่างช่างน่าเบื่อ มีหลากเหลือหลายรสยากอดไหว ใครเขาเห็นอยากหม่ำอยู่ร่ำไป อย่าน้อยใจเลยน้องจงตรองดู แนวกลอนของแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไปนะ...เพราะแต่ละคนมีแนวความคิดและ"ประสบการณ์" ที่แตกต่างกัน แต่คิดบ้างมั้ยว่าบางครั้งในคำกลอนนั้นก็เสแสร้งกันได้..กลอนที่สื่อออกมาหาใช่เป็นสิ่งที่ตัดสินว่าคน ๆ นั้นต้องมีอุปนิสัยไปตามแนวกลอนนั้นก็ได้นี่นา เจตนาในการสื่อความหมายในกลอนของเราเป็นเช่นไร...คงไม่มีใครมารับรู้ดีเกินไปกว่าเราแน่นอน ทำไมเราไม่แสดงให้คนอื่นเขาเห็น thought ใน theme ของเราล่ะ นี่คือสิ่งที่พี่คิดนะมันอาจจะแตกต่างไปจากความคิดของน้อง ๆ แต่ในเมื่อเราคิดที่จะฝึกทักษะในการเขียนกลอนเราก็ควรจะเปลี่ยนแนวการเขียนกลอนของเราได้ให้มีหลากหลาย และที่สำคัญเราเขียนกลอนเพื่อสนองอารมณ์คนอื่นหรือ ??? การที่เราได้สามารถมาพบและรู้จักกันได้แม้จะอยู่ในต่างถิ่นต่างที่เนี่ยะ..มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์นะ...และการที่ทั้งสามคนจะก้าวทิ้งหญิงแก่ ๆ อย่าง "ป้ารพี" ไปมันก็สะเทือนอารมณ์คนแก่อย่างป้าไม่น้อย ไม่มีใครสามารถทำร้ายจิตใจเราได้ถ้าเราไม่ยินยอม...จริงมั้ย..ถ้าใจเราไม่ยอมซักอย่างใครหน้าไหนก็ทำร้ายจิตใจเราไม่ได้เชื่อป้าแก่ ๆสักครั้ง...อย่าให้ป้าไข้กลับซิจ้ะ.. รักเสมอนะ..ป้าคงเหงาถ้าน้อง ๆ ไป..กลอนป้าก็คงจะเศร้าอยู่เหมือนเดิม...
1 กันยายน 2550 00:15 น. - comment id 747286
พี่เล่จะทิ้งน้องไปไหนคะ ม่ายให้ไป คนที่เขาว่าเราแสดงว่าเขาไม่ได้เข้าใจในวิญญาณของการแต่งกลอนค่ะ จิตรำพันชอบนะที่พี่แต่งกลอนสร้างสีสันให้บ้านนี้ ทำให้ทุกคนมีความสุข จากที่เครียดจากชีวิตทุกวัน หนูว่ากลอนมันคือสิ่งที่ถ่ายทอดอารมณ์ออกมา เหมือนการแต่งหนังสือเรื่องหนึ่งนะคะ ไม่ใช่ว่าเราแต่งเรื่องฆาตกรรม เราต้องฆ่าคนเหมือนเรื่องที่เราแต่ง ถ้าใครคิดอย่างนั้นก็คงไม่เข้าใจในวิญญาณนักแต่งหรอกค่ะ พี่น่ะช่วยให้หนูคลายเครียดได้เยอะเลยรู้ไหมคะ คนเราต้องปลดปล่อยกันบ้าง อย่าไปไหนนะ หนูเหงานะพี่
1 กันยายน 2550 00:25 น. - comment id 747290
อย่าไปใหนเลยนะคะ คิดถึงน่ะ
1 กันยายน 2550 01:22 น. - comment id 747312
คุณคิดว่าคุณอยู่ปลายแถว แต่นั่นมันแถวแรกแถวสุดท้ายน่ะผมเอง อย่าไปเลยนะอยู่เป็นเพื่อนปลายแถวสุดท้ายคนนี้ด้วย
1 กันยายน 2550 02:01 น. - comment id 747321
To มณีจันทร์ + ยาแก้ปวด + อาราเล่ อย่าไปใส่ใจกับความใจแคบของเขาเลย.... ปล่อยเขาอยู่กับโลกแคบๆที่เขาสร้างขึ้นเถอะครับ พวกเราชาวกวีแต่งกลอนกัน ก็เก่งบ้าง ไม่เก่งบ้าง แนวนั้นบ้าง แนวนี้บ้าง เป็นตัวของตัวเอง สู้ๆ อย่าไปแคร์ครับ เพื่อนๆยังอยู่... สังคมยังอยู่... พวกเรายังคงอยู่... อย่าไปจากที่นี่เลยครับ
1 กันยายน 2550 02:21 น. - comment id 747330
สามสาว.. วันนี้คงเป็นวันแรกในรอบระยะเวลาเท่ากับที่ป้ามาอยู่ในบ้านกลอนแห่งนี้...ที่ป้าคงต้องทานยานอนหลับอีกสักเม็ดหนึ่ง... "เสียใจ" คำนี้มักจะเป็นมิตรกับคนอาภัพอย่างป้าเหลือเกิน...ป้ารู้สึกสนุกนะที่ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติกับทั้งสามสาว... สดใสไร้มลพิษ ...นี่คือสิ่งที่ป้าสัมผัสได้จากสามสาว..ซึ่งเราทั้งสี่คนต่างก็ยึดมั่นในจุดยืนของพวกเราเป็นอย่างดี แต่วันนี้ป้าชักไม่แน่ใจแล้วนะว่าในจุดยืนนั้นน่ะจะมีป้ายืนอยู่คนเดียวรึเปล่า...ไม่อยากเลย..ป้าไม่อยากให้ป้าต้องยืนคนเดียวเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา "เสียใจ" คำนี้แวบมาในความรู้สึกหลังจากที่ได้อ่านกลอนของทั้งสามสาว...เสียใจที่ป้าเป็นคนที่อาวุโสที่สุดในกลุ่มแต่ก็ไม่สามารถอธิบายแลกเปลี่ยน"ประสบการณ์" ที่มีค่าให้น้อง ๆ เข้าใจได้...ไม่สามารถโน้มน้าวจิตใจน้อง ๆ ได้คงเป็นเพราะเรานั้นด้อยด้วยประสบการณ์ด้วยมั้ง "เสียใจ" ถ้าหากว่าน้อง ๆ ต้องจากไปด้วยใจที่หม่นหมองเพราะการแปลเจตนารมณ์ของ"บางใคร" ผิดไปด้วยรึเปล่า...หลายครั้งที่คนเข้าใจผิดกันก็มักจะมาจากการสื่อสารนะ..หลายคู่ที่ต้องเลิกรากันไปเพราะว่าการสื่อสารนี่แหละ... และยิ่งเป็นการสื่อสารทางเดียวด้วยแล้วมันน่าอันตรายนะ...เพราะการที่เราจะสามารถแปลเจตนารมณ์ของผู้สื่อสารได้ตรงตามจุดมุ่งหมายที่เขาจะสื่อนั้นช่างยาก..เพราะคนอ่านต่างก็เอา "ประสบการณ์" "ทัศนคติ" หรือบางคนก็หอบเอา "อคติ" ของตนเองเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ที่ป้ากล่าวเช่นนั้นมิได้มีจุดหมายจะตำหนิหรือว่ากล่าวใครให้ได้อายนะ..แต่จะมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่เคยผ่านมาแล้วของป้า ให้เด็ก ๆ ฟังเนาะ...ป้าเคยตีความในคำพูดของคนบางคนผิดไป...แล้วคนที่ทุกข์ใจก็คือป้าเอง...รู้สึกเจ็บแค้นในคำพูดนั้นมาตลอดจนกระทั่งป้ามาได้สติจากนิทานเรื่องหนึ่งที่ท่าน ว. วชิรเมธีท่านเรื่องหนึ่งนะ...ถือ (ก็) หนัก วาง (ก็) เบา..อ่านกันเล่น ๆ ก่อนนอนนะจ้ะ เคยมีคนไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าพระองค์ให้เหลือเพียงสั้นๆ ทว่า ครอบคลุมใจความทั้งหมดแห่งพระพุทธศาสนาพระองค์ตรัสว่า หากจะให้สรุปเช่นนั้นก็ขอสรุป ใจความแห่งคำสอนของพระองค์ขึ้นอยู่กับประโยคที่ว่า สัพเพ ธัมมานาลัง อะภินิเวสายะ ใดใดในโลกอันบุคคลไม่ควรยึดติดถือมั่น ทำไมจึงไม่ควรยึดติดถือมั่น เพราะที่ใดมีความถือมั่น ที่นั่นก็มีความทุกข์ ความทุกข์ขยายตัวตามระดับความเข้มข้นของความยึดติด ยึดมาก ติดมาก จึงทุกข์มาก ไม่ยึด ไม่ติด จึงไม่ทุกข์ ความไม่ยึดติดถือมั่น กล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า ความปล่อยวาง ทำไมจึงต้องปล่อยวาง เพราะทุกอย่าง มีความว่าง มาแต่เดิม คนที่หลงกอด ความว่าง โดยคิดว่าเป็น ความมี ทำไมจะไม่ทุกข์? พระบวชใหม่รูปหนึ่ง เดินบิณฑบาตผ่านชุมชนแห่งหนึ่งซึ่งมีผู้คนจอแจ ขณะเดินสำรวมก้มหน้าแต่พอประมาณเพื่อเดินผ่านชุมชนไปอย่างช้าๆ นั้นเอง จู่ๆ ก็มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งใส่สูท ผูกเนคไท สวมแว่นตาดำเดินเข้ามาหาท่าน พร้อมทั้งชี้หน้าด่าท่านอย่างสาดเสียเทเสียพระรูปตกตะลึง รีบเดินหนี แต่แม้ท่านจะเดินหนีชายคนนั้นพ้นแล้ว แต่เสียงด่าของเขายังคงก้องอยู่ในโสตประสาทของท่านอย่างชัดถ้อยชัดคำเมื่อกลับถึงวัด พลันที่คิดถึงเหตุการณ์ที่ตนถูกชี้หน้าด่ากลางฝูงชน พระหนุ่มก็รู้สึกโกรธจนหน้าแดงก่ำ ยิ่งคิดต่อไปว่าชายคนนั้นมาชี้หน้าด่าตนซึ่งเป็นพระและตนเองก็จำได้ว่า ตั้งแต่บวชเข้ามาในพระธรรมวินัย ก็ยังไม่เคยทำอะไรผิดคิดมาถึงขั้นว่า ตนไม่ผิด แต่ทำไมตนต้องถูกด่า ยิ่งเจ็บ ยิ่งแค้น วันที่ท่านถูกด่ากลางชุมชนนั้นเป็นวันศุกร์ แต่ตกถึงเช้าวันจันทร์ท่านก็ยังไม่หายโกรธ เช้าวันจันทร์นั้น พระบวชใหม่ประคองบาตร เดินผ่านชุมชนนั้นเหมือนเดิม ท่านพยายามสอดส่ายสายตามองหาชายคนเดิม ตั้งใจว่าวันนี้จะต้องถามให้รู้เรื่อง ว่าเหตุใดจึงมาชี้หน้าด่าตนเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ยิ่งพยายามค้นหา กลับยิ่งไม่พอ ท่านจึงเดินสำรวจรับอาหารบิณฑบาตต่อไปจนได้อาหารเต็มบาตรแล้วจึงเดินกลับวัดระหว่างทางกลับวัด โดยไม่คาดฝัน พระหนุ่มทอดสายตาไปพบกับชายคนหนึ่งสวมสูท ผูกเนคไท ใส่แว่นตาดำ ท่านอุทานในใจว่า อ๋อ เจ้าคนนี้เองที่ด่าฉันเมื่อวันศุกร์ ภาพที่เห็นก็คือ ชายแต่งตัวดีคนนั้นนอนหลับหมดสติอยู่ข้างศาลเจ้าแห่งหนึ่งข้างๆ ตัวเขามีขวดเหล้าล้มกลิ้งอยู่ พอท่านพยายามเดินเข้าไปมองใกล้ๆ เขาจึงเริ่มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา พอเห็นท่านเท่านั้นชายคนนั้นก็ร้องขึ้นมาว่า ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นกล้าฯ บัดนี้ พระองค์ทรงกลับมาครองอยุธยาอีกครั้งหนึ่งแล้วกระนั้นหรือ... ว่าแล้วก็ลุกขึ้นรำเฉิบๆ พลันที่ท่านประเมินว่าชายแต่งตัวดีคนที่ชี้หน้าด่าท่านเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว เป็นคนบ้าที่มาในร่างของคนแต่งตัวดีเท่านั้นเองความโกรธที่ก่อตัวเป็นเมฆดำทะมึนอยู่ในใจของท่านมานานถึงสามวันก็พลันอันตรธานไปอย่างง่ายดายชนิดไร้ร่องรอย ทำไม เราจึงปล่อยวางต่อคนบ้าได้ง่ายดายเหลือเกิน? แต่กับคนปกติ ทำไม เราจึงมีความรู้สึกว่าต้องเอาเรื่องราวให้ถึงที่สุด? (ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 20 ตุลาคม 2549) ก่อนหยุดคุยในเอ็มป้าบอกกับอาราเล่ว่ารู้สึก เสียใจ คิดว่าคงนอนไม่หลับก็เป็นจริง ๆ ทุกครั้งที่ป้าสวดมนต์มักจะขอให้ตัวเรามีความสุขกายสุขใจแล้วก็แผ่เมตตาให้คนอื่น..แต่วันนี้ป้าตั้งใจขอนะ..ขอจากใจจริง...ขอให้น้องทั้งสามคนมีสติ..ป้าคงไม่มีสิทธิ์ที่จะไปห้ามใครหรือว่าบอกให้ใครไปหรือไม่ไปแต่อย่างใด...เพราะป้าเคารพในสิทธิและการตัดสินใจของทั้งสามสาวนะ...โต ๆ กันแล้วมีวิจารณญาณเป็นของตนเอง เจตนาของคนที่ตักเตือนเรานั้นมีหลายอย่าง..ดีบ้างไม่ดีบ้างตำหนิบ้าง..หลากหลายไป...แต่ตัวแปรที่สำคัญมันอยู่ที่ตัวเราต่างหาก...ถ้าเรารับเจตนานั้นด้วยจิตที่ผ่องใสคิดว่าเขาได้แนะนำในสิ่งที่ดีกับเราและเราก็น้อมรับที่จะปฏิบัติเพื่อเป็นการพัฒนาตนเอง...เท่านี้เราก็สุขใจได้แม้นว่าคำพูดนั้นจะออกมาจากอหังการของผู้ที่มากไปด้วยความรู้ หรือความอดรนทนไม่ได้ก็ตาม...หากเราต้องการพัฒนาตนเองก็จงน้อมรับในคำเตือนนั้นด้วยจิตอันบริสุทธิ์...มองให้เห็นเป็นสิ่งที่ดีซะเราก็มีความสุขได้นะ...ถ้าไม่เคยทำก็ลองฝึกดูไม่เสียหายนี่นา...และการทำดีมิใช่สิ่งที่น่าอายหรอก...แม้นไม่มีมนุษย์หน้าไหนรู้แต่เทวดาย่อมสรรเสริญในทุกสารทิศ...ที่สำคัญตัวเรานั่นแหละที่รู้...จริงมั้ยคะ อาจมีบ้างที่เราไหวหวั่นไปตามน้ำคำ...แต่ก็ขอให้เรียกสติกลับคืนมาโดยเร็ว...เฮ่อ..!! ไม่เคยเขียนอะไรยาว ๆ อย่างนี้มานานแล้วนะ...ปกติป้าชอบเขียนไดอารี่...แต่จะคอยมีคนแอบอ่านของเราแล้วก็เอาเรื่องราวต่าง ๆ มาตำหนิบ่นว่า พร่ำสอนเราอยู่เรื่อย ๆ อิ..อิ..ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าใครเนาะคนที่เขารักเราเท่าชีวิต..(พระทั้งสองที่บ้านป้านี่แหละ...พระบิดากับพระมารดา)..มันจึงทำให้ป้าไม่อยากเขียนอีกเลยตั้งแต่วัยรุ่นจนแก่ป่านนี้...นี่แหละที่เคยโดนสกัดกั้นมาหละ...แต่ป้าเชื่อนะว่าอะไรก็ตามที่มันอยู่ในสายเลือดของเราซะแล้ว..ไม่ต้องต่อก็ติดนะน้อง จะบ่นอีกมั้ยว่าป้าไม่เข้าใจความรู้สึกที่โดนสกัดกั้นน่ะ..อิ..อิ ใครหนอ....จะมาเรียกหญิงรพีว่า ป้า ในกลอนอีกนะ ใครหนอ...ที่จะมาอำป้าแก่ ๆ ให้หัวเราะเล่ายาแก้ปวด ใครหนอ...จะเล่าเรื่องลามกให้ป้าฟังล่ะจันทร์ ใครหนอ...จะมาเป็นแนวร่วมก่อกวนป้าอีกเล่าอาราเล่ แล้วต่อไปนี้ป้าจะงอนใครดีล่ะ..เล่ ยา จันทร์ ถ้าเช่นนั้นคำพูดที่เคยบอกว่า... ไม่เคยอำใครได้สนุกเท่ากับอำคนแก่อย่างป้ารพีอีกแล้วหละ ก็เป็นแค่คำโกหกที่ทำให้คนแก่ ๆ ขี้เหงาอย่างป้าชื่นใจสินะว่าคอยมีน้อง ๆ คอยแกล้ง..ขอยืนยันนะว่าแกล้งอำใครก็ไม่มันส์เท่ากับป้ารพีอีกแล้วนะจะบอกให้ ห้าเสน่หาเพิ่งก่อตั้งได้เมื่อคืน กลับล้มครืนด้วยหวั่นไหวในอักษร มาหนีหายไกลห่างร้างบ้านกลอน แสนอาวรณ์เงียบเหงาเศร้าอยู่เดียว จากใจผู้หญิงคนหนึ่งที่มีแต่ความปรารถนาดีพร้อมที่จะแบ่งปันให้ทุกคน (มิได้มีเจตนาพาดพิงใคร ๆ ให้เสียหาย..หวังแต่เพียงจะแลกเปลี่ยน ประสบการณ์ อันน้อยนิดของเราให้ทั้งสามสาวได้เข้าใจ...ก็คงจะทำได้เท่านี้..จริง ๆ )
1 กันยายน 2550 08:07 น. - comment id 747355
....>>> ผมขอเป็นกำลังใจให้ครับ คุณอาราเล่ .......
1 กันยายน 2550 08:09 น. - comment id 747356
เข้ามาดูเด็กขี้งอน
1 กันยายน 2550 09:03 น. - comment id 747372
อ่า...ใจเย็นๆค่ะ...ไทยโพเอ็มที่ โคลอนรู้จักคือบ้านที่เปิดกว้างเสมอนะคะ...และนั่นเองที่ทำให้พวกเราได้รู้จักกัน...และไม่ว่าจะเป็น อาราเล่...มณีจันทร์...ยาแก้ปวด...ก็ล้วนแต่คือสีสันของบ้านที่เรียกรอยยิ้มได้อย่างไม่ต้องลังเลเลย บางครั้งความแตกต่างก็สื่อได้ว่าผู้คนในสังคมมีจินตนาการและอิสระทางความคิด...ไม่ผิดไม่ใช่เหรอคะ
1 กันยายน 2550 09:31 น. - comment id 747382
ใจเย็นๆกันนะจ๊ะน้องสาว จะทำอะไรต้องมีสติ ก่อนจ้า พี่เตือนด้วยเอ็นดูน้องๆนะจ๊ะ อย่าวู่วาม ไปเน้อ
1 กันยายน 2550 13:41 น. - comment id 747448
ใจเย็น ๆ ค่ะ ให้แค่ลาพักร้อนนะจ้ะ......
1 กันยายน 2550 15:48 น. - comment id 747505
บ้านนี้มีหลายแง่หลายมุมมองและยังมุขอีก ด้วยต่างคนก็ว่ากันไปตามความพึงพอใจกัน อย่าไปคิดอะไรมากนัก ความสุขของเราคือการ ระบายอารมณ์ด้วยกลอน จะหนีไปไหนล่ะผมเองแก่ แล้วยังเล่น เล่นกลอนเราไม่ยุ่งกับเขาแต่ขอเขา อย่ามายุ่งถึงยุ่งก็วางเฉยๆซะอย่าง เราเขียนเพื่อ ตัวของเรา ความสุขของเราจ้า อย่าคิดมาก เห็นชื่อ ตั้งสามคนเหมือนเปี๊ยบเลยล่ะ อยู่สนุกสนานกัน ก่อนนะ แก้วประเสริฐ.
1 กันยายน 2550 21:05 น. - comment id 747573
แวะมาเกี่ยวก้อยตะเองอ่ะ ไม่ให้ไปไหนหรอก
1 กันยายน 2550 22:01 น. - comment id 747581
พี่อางอนใคร น้องเอยมาง้อนะ น้องเอยไม่เคยเม้นพี่อาเลยสักครั้ง แต่รับประกันได้เลยว่าอ่านกลอนของพี่อาทุกบท!!! แม้แต่คนอื่นๆใน Thaipoem น้องเอยก็ไม่ค่อยเม้นเลย จึงหาคอมเม้นของน้องเอยได้น้อยมาก แต่กล้าพูดได้เติมปากว่าอ่านกลอนที่ขึ้นหน้าหนึ่งของทุกวันราวกับเชคอีเมล์เลยล่ะ ทำแบบนี้มาตั้งแต่อยู่ ม.6 จนตอนนี้ ปี3 ละ แม้แต่ตัวเอยเองก็ไม่ค่อยโพสต์กลอนเท่าใดนัก เพราะกลอนของเอยก็ไม่ได้จะมีฉันทลักษณ์ดีเลิศเทียบชั้นกวีได้แต่ประการใด แต่ว่าเหตุผลที่ชอบอ่านกลอนมากๆ ก็เหมือนที่ได้คุยกับพี่อาทาง Msn. นั่นล่ะค่ะ บทกลอนดีๆ กวีนิพนธ์ที่มีความงามด้านวรรณศิลป์มันเหมือนเป็นการลับสมองประลองปัญญาระหว่างคนแต่งกับคนอ่าน แม้ว่าบางบทกลอนที่เราๆแต่งกันเพื่อความบรรเทิงก็ตามที ถึงแม้กลบทจะไม่มี แต่มันก็มีความงามของการถักทอภาษา อย่างนั้นก็ไม่ได้พูดออกมาแบบร้อยแก้วทั่วไป น้องเอยว่าพี่อาแต่งกลอนที่นี่ต่อเถอะค่ะ กลอนของเราถึงจะไม่สามารถเรียกว่าบทกวี หรือสามารถส่งประกวดได้ แต่บทกลอนของเรามันสร้างความถูมิใจให้เราที่สามารถรจนาออกมใด้ก็เป็นความภูมิใจในเบื้องต้น อีกอย่างเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์กฎหมายคุ้มครองนะคะพี่อา เผื่อวันไหนได้เป็นดารา เอาไปขายได้ตังนะ อิอิ บทกลอน ถ้ามันสามารถสร้างความสุขให้คนที่รจนามันขึ้นมาได้ มันสามารถให้รอยยิ้มแก่ผู้อื่นได้ก็เพียงพอแล้วค่ะ เอยเชื่อว่าคนเสพกลอน แยกออกว่าเป็นลักษณะงานประเภทใด บางกลอนอ่านแล้วยิ้มตามหวาน เหมือนกลอนของพี่อา กลอนของน้องเอยเป็นต้น บางกลอนใช้ภาษา จังหวะกลอน บวกกลบทที่ดุดัน เหมือนประชดประชันสังคม แต่ก็แฝงไว้ซึ่งปรัชญาที่ให้แง่คิดแก่ผู้อ่าน บ่งบอกถึงความสามารถเชิงกานท์กลอนของผู้แต่ง และประลองมันสมองของผู้อ่าน บางกลอนกลั่นกลองออกมาจากดวงใจที่เปี่ยมรักอันละมุนอุ่นละไม ผู้อ่านอ่านแล้วมีความสุข (ผู้อ่านที่อินเลิฟ) บางบทกลอนกลั่นออกมาจากรอยแผลที่อาบเลือด คนอ่านที่อินเลิฟอาจจะไม่ถูกใจ แต่คนอกหักคงสะใจนักแล บางกลอนกลั่นออกมาจากความปรารถนาดีต่อสังคมที่จะให้กำลังใจคนพ่ายแพ้ บางกลอนกลั่นออกมาจากความเคียดแค้น ความโกรธ ความพยายาบาท ฯลฯ บทกลอนก็คือทางผ่านของอารมณ์ที่สามารถรจนาเรียงร้อยถ้อยคำออกมานั่นเอง และเมื่อเป็นบทกลอนแล้วคุณค่าก็ย่อมเกิดขึ้นมาอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเกิดจากเหตุผลใด เพราะบทกลอนคือสิ่งที่ผ่านความรู้สึก แล้วยังมาผ่านการรจนาเรียงร้อยถ่อยคำอีกชั้นหนึ่ง จึงทำให้ได้บทกลอนที่ผู้แต่ง และผู้อ่านมีความสุขค่ะ เหมือนกลอนของพี่อาไง กลอนของน้องเอยด้วย กลอนของใครๆ ใน Thaipoem นี้มีคุณค่าไม่ต่างกันค่ะ เพราะมันสามารถให้ความสุข ให้อะไรหลายๆอย่างต่อผู้อ่านที่เลือกที่จะเสพมันเข้าไป คนเสพอยากออกแน่ๆค่ะ ว่าเขากำลังอ่านกลอนแบบใด อารมณืใดอยู่ อย่างน้องเอยที่เสพกลอนอาราเล่ ที่อมยิ้ม ตาหวานได้ตลอดไงคะ อย่างเอยเลือกอ่านกลอนที่ทางเวปมาสเตอร์เลือกให้ขึ้นหน้าหนึ่ง ก็จะเป็นกลอนที่แฝงอะไรที่มากไปกว่านั้น แต่ท้ายที่สุดคุรค่าของกลอนแต่ละบทมันก็ย่อมมีคุรค่าอย่างงดงามอยู่ในตัวของมันค่ะ ป.ล. อย่าไปนะ น้องเอยคิดถึง ใน Msn. ก็ไม่เจอแล้วยังจะหายไปอีก
2 กันยายน 2550 13:34 น. - comment id 747806
หายใจลึกๆซิครับ... ในนามของความรัก เราพบกันในนามความรู้สึก มีถ้อยล้ำคำลึกอันสดใส แม้มิใช่คนแรกในหัวใจ เป็นอะไรลึกลึกรู้สึกดี เราพบกันในนามเมื่อยามทุกข์ ช่วยปลอบปลุก ความฝันอันป่นปี้ เราพบกันในนามความ ปรารถนาดี ที่ต่างมี บทกวีเป็นสื่อใจ เราพบกันในนามของความดี ที่ต่างมีไมตรีอันยิ่งใหญ่ เราพบกันในนามความซึ้งใจ ทุกถ้อยความเป็นไปในบทกลอน เราพบกันในนามของความภักดิ์ ถ้อยคำที่ต่างทอถักมาพร่ำอ้อน บ้างสื่อฝากฟากฟ้า ฑิฆัมพร บ้างออดอ้อน อวยเออเสนอใจ เราพบกันในนามของความงาม พบในนามความรู้สึกอันยิ่งใหญ่ เราพบกันในนามความคุ้นใจ เป็นสายใย ของคน ที่ค้นคำ เราพบกันในนามความมากค่า ของถ้อยฝากปารารถนา อารมณ์ร่ำ ที่ช่วยอบ ให้อุ่นกรุ่นประจำ ที่สุขล้ำ งามล้ำ แม้ช้ำมา เราพบกันในนามของความสุข ที่เร้ารุก หัวใจ ปรารถนา ที่เร้าเร่ง บทเพลง จินตนา แม้ไม่เคยใกล้ตา ก็ใกล้ใจ เราพบกันในนามของความฝัน ระหว่างวันของวันที่ฝันใฝ่ แม้มิใช่ เป็นทุกลมหายใจ เป็นอะไร ลึกลึก รู้สึกดี เราพบกันในนามของความรัก งดงามนักศัพท์ถ้อยทุกสร้อยศรี ทุกเรียงร้อย รินรื่นชื่นฤดี เป็นไมตรีดีงามนิยามรัก อีกสักครั้งพระพุธที่ ๑๒ ตุลาค์ ๔๘ บทส่งใจ... นับเป็นความโชคดี... ที่นึกขอบคุณวาสนาเสมอ ที่พบบทกวี กวี... แหละทุกมิตรภาพที่มีโอกาสได้พบในบ้านกลอนไทย... ด้วยใจคารวะ/ แทนคุณแทนไท