สิ้นแรงไฟ
ตราชู
สิ้นแรงไฟ
(ลีลาดำเนินกลอนเยี่ยงนี้ ผมเรียนรู้จากกวีหลายท่าน อาทิ ท่านเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ท่านคมทวน คันธนู ฯลฯ ครับผม)
ยามฟ้ากราดฟาดเกรี้ยวฟื้นเรี่ยวโกรธ
พายุโหดโหมฮืออึงอื้อกระหึ่ม
มองทิศทางหมางทั่วมืดมัวทึม
จนเซื่องซึมซมเศร้าแรงเซา โซ
แล้วเพลิงรุ่งพลุ่งอร่ามก็พลามเริ่ม
สาดส่องเติมเสริมแต่งส่งแสงโต้
กลางฝน, ลม ระดมหล้าอย่างพาโล
มีเตโชฉานช่วงเป็นดวงโชน
ไม่มอดเชื้อเมื่อโชติปราโมทย์ฉาย
ไม่หนีหน่าย เนืองอนันต์ นี่ นั่น โน่น
ไม่บ่ายเอียงเบี่ยงเอนหรือเบนโอน
ไม่เงนโงน คงสง่ารุจางาม
เปรียบหนุ่มสาวราวแสงไฟแรงส่อง
ใดขัดข้องมรรคาก็กล้าข้าม
ในคราวหล้ากาลีเร็วรี่ลาม
คือภาพวามผ่องสวรรค์พร่างวันวาน
ฟ้าครึ้มหนักนักหนาเวลานี้
ท้องฟ้ามีมากหม่นมืดมนม่าน
เหมือนย้ำเน้นเย็นหนาวเยียบยาวนาน
ในดวงมานร่ำละเมอเมื่อเหม่อมอง
ไหนล่ะไฟ, ไหนล่ะฟืนส่องฟื้นฟ้า
ขึ้นสาดท้าถ้วนถี่ทางที่ท่อง
ไหนแสงทาบฉาบวิถีฟ้าสีทอง
ให้ทางถ่องทาบทาท่ามฟ้าเทา
หนุ่มสาวสันต์หรรษามุ่งหาทรัพย์
เหมือนล้มหลับหลากหลายมากมายเหล่า
สิ่งบ้าบอส่อบ้าปัญญาเบา
ทิ้งเรื่องเล่าลบล้างจนรางเลือน
ลืมตำนานวานนั้นไม่หมั่นนึก
ด้วยลุ่มลึกหลงใหลครรไลเลื่อน
จึงพายุทุรยุคก็รุกเยือน
เมื่อฟ้าเฟือนฝ้าแฝง....สิ้นแรงไฟ
(๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐)