สยาม...น้ำตารื้น อนาถ..นักจักกอบชาติ.............โยนขาย ท้อ....ทุกข์ประชาตาย..................เกลื่อนพื้น ชะตา..ตกหมกควาย...................กินปูน..ทรายเฮย สยาม..หลั่งน้ำตารื้น...................เผ่าพ้องกินเมือง ทิกิ @..เกียรติประดับเหล่าล้วน..........พงศ์พันธุ์ คือมิคดกินกัน................................เฉกนี้ ลูกหลานจักจาบัลย์.........................ตาปู่...คดแฮ สยามดั่งครวญหลากลี้...................คร่ำคดโกงชน..@ @..หากไทยมิเปลี่ยนป้อง...............กันตน จักชั่วเกิดทั้งสถล...........................ยากรั้ง เกิดมาย่อมปะปน..........................ดีชั่ว..ตนแล ตาปู่ยายย่าทั้ง..............................แม่เชื้อฝึกปรือ...@ @...ขอไทยถือสั่งล้อม.............กุลบุตร ดีชั่วชี้เห็นฉุด..........................แจกแจ้ง เงินมิใช่ที่สุด..........................ชีพแห่ง..ตนนา ดีชั่ว.ตราบาปแว้ง...................ชื่อนี้นิรันดร์..@ เพียงละอายบาปแม้น..........มีฤา กวาดเก็บเหน็บทั่วถือ.................พวกพ้อง ตามครองแบ่งกันครือ.................ตามแจก..ทั่วเฮย เสียงก่นตระกูลฟ้อง.....................หากไร้ไยดี ขอไว้อาลัยระบบวงศาคณาญาติแห่งการโกงกิน อันจะนำไปสู่การสิ้นชาติเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ว่าแล้ว ก็ เตรียมนอนหลับไม่รู้ นอนคู้ไม่เห็นต่อ ตามประสาชนชาติไทย.....มือใครยาวสาวได้สาวเอา ........ใครชั่วก็ช่าง...เงินภาษีเรา..เชิญ ท่านเอาไปแบ่งก๊กท่านตามสบาย..นะพี่น้องไทย กราบเรียนบันทึกไว้ ณ ที่นี้ อีกครั้ง สยาม...น้ำตารื้น tiki_ทิกิ สยาม...น้ำตารื้น http://www.thaipoem.com/forever/ipage/poem76865.html หมายเลขกลอน 76865 IP 58.10.239.181 ความยาว 1638 ตัวอักษร แต่งเมื่อ 04 มิ.ย. 48 - 09:14 จำนวนคนชม ผู้ชม 292 - ผู้ตอบ 2
1 มิถุนายน 2550 20:14 น. - comment id 704317
วันที่เขียน โคลงชุดนี้ อยู่ในภาวะ ...สิ่งแวดล้อม แต่ ก็มีคำตอบที่ เกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ ปัจจุบันอยู่หนึ่งคำตอบที่สมควรได้รับการ นำมาฝากอีกครั้ง ความคิดเห็นที่ 14 : หมายเลข 478261 คุณ ดอกข้าว มือที่สั้น นั้น มักเป็นมือที่เคาะแป้นพิมพ์ หรือ หยิบชอล์คเขียนหนังสือสอนลูกหลาน อยู่.... หรือกำลัง ทำหน้าที่ รับใช้ประชาชาติ อยู่ทุกหนทุกแห่งบนผืนแผ่นดินนี้ และมือเหล่านี้ มากมายมหาศาลนี้ เป็นมือที่ทรง คุณธรรม เป็นที่ยิ่งเสียด้วย เราหวังให้มือเหล่านี้...ชูขึ้น..มิใช่หด ซุก ทนให้อะไรก็ได้ เกิด ขึ้น แล้ว เล่า พาดหน้าหนังสือทุกเช้า ทุกบ่าย ทุกค่ำ เพื่อบอกว่า นี่มันเมืองของการโกงกินทุกวิถีทาง... มือสั้นๆเหล่านี้ เป็นมือของคนที่รู้สึกอับอาย ขายหน้า.....ไม่ใช่ ความรู้สึก อดทนรอที่จะขอแบ่งส่วนอันน่าอับอาย....เหล่านั้น ไม่ใช่แน่ๆ คุณดอกข้าว tiki 04 มิ.ย. 48 - 23:48 IP 58.10.243.132
2 มิถุนายน 2550 01:13 น. - comment id 704373
http://www.naewna.com/news.asp?ID=61778 กวนน้ำให้ใส หลังคดียุบพรรค (กวนน้ำให้ใส) ไม่ว่าคำตัดสินจะออกมาอย่างไร ก็ต้องมีคนเดือดร้อน ก็ต้องมีการวิพากษ์วิจารณ์ หากคำตัดสินออกมาว่า ไม่มีการยุบพรรคการเมือง ก็ยังคงต้องมีการดำเนินการเพื่อเอาผิดในทาง อาญากับ "ตัวบุคคล" ที่ เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ต่อไป หากคำตัดสินออกมาว่า มีการยุบพรรค ก็จะต้องมีคำตัดสินด้วยว่า จะตัดสิทธิเลือกตั้งของ กรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ ถูกยุบ เป็นเวลา 5 ปี ตามประกาศ คปค. หรือไม่ อย่างไร พูดง่ายๆ ว่า ถูกใบแดงให้ออกจากเวทีการเมืองไปเลย เป็นระยะเวลา 5 ปี หรือหากแม้นไม่ตัดสิทธิเลือกตั้งตามประกาศของ คปค. ก็ยังต้องลงโทษกรรมการบริหารพรรคการเมือง ที่ถูกยุบตาม พ.ร.บ.พรรคการเมืองฯ พ.ศ. 2541 ระบุว่า "มาตรา 69 ในกรณีที่พรรคการเมืองต้องยุบไปเพราะไม่ดำเนินการตาม มาตรา 35 หรือ มาตรา 2 หรือกระทำการตาม มาตรา 66 ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารของพรรคการเมืองที่ต้องยุบ ไปจะต้อง ขอจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ หรือเป็น กรรมการบริหารของพรรคการเมือง หรือมีส่วนร่วมในการขอจัดตั้งพรรค การเมืองขึ้นใหม่ตาม มาตรา 8 อีกไม่ได้ ทั้งนี้ ภาย ในกำหนดห้าปี นับแต่วันที่พรรคการเมืองนั้นต้องยุบไป" พูดง่ายๆ ว่า กรรมการบริหารพรรคการเมืองของพรรคที่ถูกยุบ จะไปเป็นกรรมการบริหารพรรค การเมืองใหม่อีกไม่ได้ เป็น เวลา 5 ปี แต่ก็ยังดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่างๆ ได้ เช่น ส.ส. ส.ว. หรือแม้แต่ รัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี คำตัดสินในประเด็นนี้ จึงมีผลสะเทือนแตกต่างกันอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ที่จะต้องเกิดขึ้นแน่ๆ หากมีการยุบพรรค คือ พรรคการเมืองที่ถูกยุบจะต้อง สูญหายไปจากสารระบบการเมือง ไทย คำถาม คือ พรรคการเมืองที่ถูกยุบไป จะสามารถจัดตั้งพรรคขึ้นมาใหม่ โดยใช้ชื่อเดิม ได้ หรือไม่ เช่น ตั้งพรรคใหม่ ชื่อ พรรคไทยรักไทย หรือพรรคประชาธิปัตย์ เป็นต้น ? จริงอยู่ ในอดีต เคยมีการตัดสินยุบพรรคการเมืองมาแล้ว แต่ก็เป็นการยุบพรรคด้วยเหตุอื่นๆ ที่มิใช่ การกระทำความผิดร้าย แรงตามมาตรา 66 เหมือนเช่นกรณีที่กำลังจะมีคำพิพากษาอยู่ในขณะนี้ ที่ผ่านมา เหตุที่เคยทำให้มีการยุบพรรค เช่น พรรคการเมืองมีองค์ประกอบไม่ครบถ้วนตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็น จำนวน สมาชิกพรรค สาขาพรรค หรือพรรคการเมืองเป็นฝ่ายร้องขอให้ยุบพรรคตัวเอง เพื่อเลิก กิจการ หรือเพื่อไปควบรวมกับพรรค การเมืองอื่น เป็นต้น พูดง่ายๆ คือ ล้วนเป็นเหตุของการ "ยุบเลิก" อันมีลักษณะเสมือนว่าพรรคการเมืองนั้นมี องค์ประกอบของการดำรงอยู่ไม่ ครบถ้วนในตัวเอง หรือต้องการละสังขารไปเอง แต่กรณีคดียุบพรรคการเมืองที่กำลังจะมีการพิพากษาในวันนี้ เป็นกรณีที่อัยการสูงสุดร้องขอให้ศาลมี คำสั่งยุบพรรคการเมือง เพราะเหตุว่าพรรคการเมืองกระทำความผิดร้ายแรง ตาม พ.ร.บ.พรรคการเมืองฯ พ.ศ. 2541 มาตรา 66 ระบุว่า "มาตรา 66 เมื่อพรรคการเมืองกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อ ไปนี้ อาจถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบ พรรคการเมือง (1) กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตาม รัฐธรรมนูญ หรือเพื่อให้ได้ มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญ (2) กระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุขตามรัฐธรรมนูญ (3) กระทำการอันอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐหรือขัดต่อกฎหมาย หรือความสงบเรียบร้อยหรือ ศีลธรรมอันดีของ ประชาชน.." เห็นได้ว่า การล้มล้างการปกครองฯ ก็ดี การเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองฯ ก็ดี หรือการ เป็นภัยต่อความมั่นคงฯ ก็ดี ล้วนแต่ เป็นการกระทำความผิดที่ร้ายแรงอย่างยิ่งยวด ถ้าเป็นคนธรรมดากระทำความผิดเยี่ยงนี้ โทษย่อมหนักถึงขั้นประหารชีวิต หรือจำคุกตลอด ชีวิต 1) การกระทำผิดตามมาตรา 66 เช่นนี้ จึงไม่สามารถเทียบเคียงกับการยุบเลิกพรรคการเมืองด้วยเหตุ อื่นๆ อย่างที่เคยมีมา ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น การยุบพรรคความหวังใหม่ เสรีธรรม รักษ์ถิ่นไทย ฯลฯ พูดง่ายๆ คือ กรณียุบพรรคที่ผ่านมา เป็นเรื่องของการตั้งอยู่ไม่ได้ตามองค์ประกอบหรือยุบ เลิกไปเองเสียส่วนมาก แต่การ ยุบพรรคครั้งนี้เป็นการที่พรรคการเมืองกระทำความผิดร้ายแรง ดังนั้น การอ้างกันว่า การยุบพรรคในอดีต เช่น พรรคความหวังใหม่ เมื่อถูกยุบไปแล้ว ก็ยังมีการจด ทะเบียนจัดตั้งพรรคการ เมืองขึ้นมาใหม่ โดยใช้ชื่อพรรคความหวังใหม่เหมือนเดิม ก็ยังกระทำได้ กรณีนี้จะ นำมาเทียบเคียงกันย่อมไม่เหมาะสม เทียบกันไม่ได้ เพราะพฤติการณ์การกระทำความผิดแตกต่างกันโดย สิ้นเชิง เมื่อกรรมแตกต่างกัน ผลกรรมและการชดใช้กรรม ก็สมควรจะแตกต่างกัน 2) การพยายามเปรียบเทียบว่า พรรคการเมืองก็เหมือนบริษัทธุรกิจ เมื่อบริษัทใดถูกฟ้องร้องจนต้อง ยุบเลิกกิจการไปแล้ว ก็อาจจะมีการตั้งบริษัทใหม่ โดยความรู้เห็นเป็นใจของบุคคลกลุ่มเดิมๆ โดยใช้ชื่อเดิมก็ ได้ พรรคการเมืองก็เช่นเดียวกัน สมมุติว่า หากพรรคไทยรักไทยถูกตัดสินให้ยุบพรรคไปแล้ว ก็อาจจะมีการ จดทะเบียนตั้งพรรคการเมืองใหม่ โดยใช้ชื่อว่า ไทยรักไทยเหมือนเดิมก็เป็นได้ เพราะถือว่าเป็นคนละนิติบุคคล การอ้างเช่นนี้ ก็น่าจะเป็นการอ้างเพื่อประโยชน์ของพรรคการเมืองเป็นใหญ่ มิใช่ประโยชน์ของสังคม ส่วนรวมเป็นใหญ่ เพราะ เจตนารมณ์ที่แท้จริงของการยุบพรรคก็คือ "ยุบพรรค" ซึ่งหมายความว่า ทำให้พรรค การเมืองนั้นๆ หายไปจากสาระบบการ เมือง เนื่องจากพรรคการเมืองนั้นๆ ได้ถูกตัดสินว่ากระทำความผิดอย่าง ร้ายแรงยิ่งยวดนั่นเอง หากปล่อยให้มีพรรคการเมืองใหม่ในชื่อเดิมของพรรคการเมืองที่ถูกยุบไป โดยเฉพาะหาก ดำเนินการโดยบุคคลในกลุ่ม เครือข่ายเดิมๆ ที่เคยกระทำผิดร้ายแรงจนต้องถูกยุบไป การลงโทษ "ยุบพรรค" ก็จะไร้ความหมาย เสมือนหนึ่ง "เล่นขาย ของ" กัน อย่างนั้นหรือ? คำพิพากษาของศาล ต้องศักดิ์สิทธิ์ และมีผลบังคับตามเจตนารมณ์ที่แท้จริง สารส้ม วันที่ 30/5/2007 http://www.naewna.com/news.asp?ID=61778
2 มิถุนายน 2550 06:40 น. - comment id 704408
เคารพคำตัดสินของศาลค่ะ
2 มิถุนายน 2550 15:59 น. - comment id 704613
ก็เคารพน่ะครับ ม๊อบคนสงขลาที่ระดมทางวิทยุท้องถิ่นที่อดีตเลขาท่านไตรรงค์ดำเนินการก็ฟังไม่ขึ้นซะแล้วนี่ว่าประชาธิปัตรู้เห็นจะทำไงได้ล่ะ
2 มิถุนายน 2550 23:21 น. - comment id 704756
แวะมาทักทายท่านผู้อ่านอีกครั้ง ขอบคุณที่แวะมาให้ความเห็น คะณเจ้าหญิงโมบาย 02 มิ.ย. 50 - 06:40 IP 210.249.184.60 คุณ :ฤกษ์ ชัยพฤกษ์ 02 มิ.ย. บ่ฮู้ บ่หัน ข้อยนอนคลุมโปงดีกว่าฝนตกหนัก
3 มิถุนายน 2550 12:52 น. - comment id 704861
ขออนุญาตยก ข้อเขียนจากหนังสือพิมพ์แนวหน้ามาประกอบ เรื่อง ความอายของคนทั้งแผ่นดิน อีกครั้ง http://www.naewna.com/news.asp?ID=61985 กวนน้ำให้ใส ถ้าเพียงนักการเมืองไทยรู้จักอาย (กวนน้ำให้ใส) รายงานข่าวแจ้งว่า รัฐมนตรีเกษตรของประเทศญี่ปุ่น ตัดสินใจฆ่าตัวตาย เพราะรู้สึกอับอายที่ถูกเปิด โปงและกดดันที่จะต้อง ชี้แจงต่อสภาในกรณีเรื่องอื้อฉาวเงินอุดหนุนทางการเมือง การรับเงินบริจาคเข้าพรรค จากผู้รับเหมาฮั๊วประมูลโครงการรัฐ และการเบิกค่าน้ำค่าไฟสำนักงานเกินจริง นับเป็นเรื่องน่าเศร้าใจ ที่รัฐมนตรีตัดสินใจจบชีวิตตนเองลงเช่นนี้ แต่อย่างไรก็ตาม กรณีนี้ก็สะท้อนใจให้นึกเปรียบเทียบกับมาตรฐานความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของแวด วงการเมืองไทย โดย เฉพาะในช่วงสมัยรัฐบาลทักษิณ ถ้าเพียงนักการเมืองไทยรู้จักอาย มีหิริโอตตัปปะ หรือหน้าบาง ประเทศชาติก็คงไม่จมลงสู่ วิกฤติต่อเนื่องยาวนานอย่างนี้ 1. ถ้ารู้จักอาย เมื่อพรรคการเมืองของตนถูกฟ้องร้องกล่าวหา แม้ปรากฏข้อเท็จจริงเพียงในระดับหนึ่ง ว่า พรรคการเมือง ของตนมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งที่ไม่เป็นประชาธิปไตย แต่เป็นการเลือกตั้งเพื่อคนๆ เดียว พรรคเดียว นักการเมืองก็คงจะ ต้องตัดสินใจ "ลาออก" จากการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองดังกล่าว หรือ ลาออกจากการเป็นกรรมการบริหารพรรค หากไม่ใช่เพราะสำนึกรับผิดชอบ ก็เป็นเพราะรู้สึกอาย ... อายที่จะอยู่ร่วมกับพรรคการเมืองแบบนี้ ยิ่งกว่านั้น หากรู้แก่ใจว่าตนเองมีส่วนร่วมในการกระทำความผิด ก็จะต้องอายที่จะทำงานบนเวที การเมืองต่อไป ควรจะละ จากเวทีการเมือง ไม่ต้องรอให้ใครมาตัดสิทธิการเมืองของตนเอง ทั้งหมด จะไม่ต้องรอให้เรื่องไปถึงศาล ไม่ต้องรอให้ ประเทศชาติล่มจมลงไปสู่วิกฤติยืดเยื้ออย่างนี้ 2. ถ้ารู้จักอาย เมื่อผู้คนในสังคมจับได้ไล่ทันว่า นักการเมืองผู้บริหารประเทศใช้อำนาจที่ได้รับจาก การเลือกตั้ง ไปออก กฎหมาย นโยบาย มาตรการ ที่เอื้อผลประโยชน์แก่ธุรกิจส่วนตัว ซ้ำยังครอบงำระบบ องค์กรตรวจสอบ กระทั่งไม่สามารถ ตรวจสอบตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ กระทั่งประชาชนออกมา เดินขบวนขับไล่ วิพากษ์วิจารณ์ผู้นำรัฐบาลว่าไร้จริยธรรม กดดันให้ลาออก ไปเดินห้างก็ถูกประชาชนตะโกนขับ ไล่ ไปเดินตลาดก็โดนแม่ค้าตะโกนไล่ไปอยู่สิงคโปร์ ขนาดนี้แล้ว นักการเมืองที่รู้จักอาย ถ้าไม่ฆ่าตัวตาย ก็คงลาออก 3. ถ้ารู้จักอาย เมื่อรัฐธรรมนูญระบุให้ ส.ว.เป็นอิสระจากพรรคการเมือง เพื่อจะได้ทำหน้าที่ตรวจสอบ ฝ่ายบริหาร และกลั่น กรองคนเข้าไปสู่ตำแหน่งสำคัญในองค์กรอิสระต่างๆ หัวหน้าพรรครัฐบาลก็คงจะไม่ พยายามใช้เครือข่ายของพรรคการเมือง ตน เพื่อผลักดันคนของตนเข้าไปเป็น ส.ว. ไม่ว่าจะเป็น ญาติพี่น้อง บริวารคนใกล้ชิด ซึ่งจะทำให้ระบบตรวจสอบถูกทำลาย ลงไปโดยปริยาย ถ้าการตรวจสอบในระบบสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็คงจะไม่มีการทำรัฐประหาร 4. ถ้ารู้จักอาย เมื่อรัฐบาลของตนถูกทำรัฐประหารด้วยข้อกล่าวหาร้ายแรงต่อแผ่นดิน โดยที่การทำ รัฐประหารนั้นยังได้รับ ดอกไม้จากประชาชนในประเทศอย่างมากมาย นักการเมืองที่ถูกทำรัฐประหารก็คง จะต้องเก็บตัวเงียบ รอให้การแก้ปัญหา ในบ้านเมืองคลี่คลายไปโดยดี ไม่พยายามเคลื่อนไหวหรือแสดง บทบาทใดๆ ทั้งในประเทศและในต่างประเทศ จะไม่มีการไปว่าจ้างบริษัททำงานล็อบบี้ โฆษณา ประชาสัมพันธ์แทนตนเอง หรือทำตัวให้เป็นข่าว จะ เอาเงินไปซื่อโน่นซื้อนี่ หรือแสดงออกว่าตนยังมีความสำคัญ หรือมีอิทธิพลต่อการเมืองในประเทศอยู่ต่อไป 5. ถ้ารู้จักอาย เมื่อนักการเมืองถูกตรวจสอบพบว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหลบเลี่ยงภาษีมูลค่านับ หมื่นล้านบาท ทั้งๆ ที่ ตน เองเป็นผู้มีอำนาจในการบริหารจัดการเงินภาษีอากรของประชาชนทั้งประเทศ แต่ ตัวเองกลับไปมีส่วนร่วมในการหลบเลี่ยง ภาษี ยิ่งกว่านั้น ยังมีการใช้อำนาจไปยกเว้นภาษีให้แก่บริษัทดาวเทียมของครอบครัวตนเอง มูลค่ามากกว่า หมื่นล้านบาท แบบนี้ ก็คงจะต้องอายทั้งโคตร อาจจะต้องอพยพตัวเองและครอบครัวไปอยู่นอกแผ่นดินไทยกันทั้งหมด 6. ถ้ารู้จักอาย เมื่อนักการเมืองถูกสอบสวนกรณีเกี่ยวข้องกับการทุจริตประพฤติมิชอบ ถึงขนาดมี การชี้มูลความผิด และ กำลังนำเรื่องขึ้นไปสู่ศาล นักการเมืองก็ควรจะอายที่จะเที่ยวไปเปิดตัว หรือออกข่าว ประกาศตัวจะลงสมัครรับเลือดตั้งสมัย หน้า ไม่ว่าจะในนามพรรคการเมืองเดิมหรือพรรคการเมืองใหม่ แต่จะรอให้กระบวนการสอบสวนถึงที่สุดเสียก่อน เพื่อความสง่างามในทางการเมืองของตนเอง จริงอยู่ หลักกฎหมายถือว่า ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าศาลจะตัดสินพิพากษาเป็นอื่น แต่การ เสนอตัวไปทำหน้าที่ แทนประชาชนในฐานะนักการเมืองนั้น เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือไปจากผลประโยชน์ส่วนตัว มาตรฐานหรือบรรทัดฐานก็ย่อม จะต้องสูงกว่าการใช้สิทธิของบุคคลทั่วๆ ไป นักการเมืองที่อายเป็น ย่อมจะรอจนกว่าตนเองจะได้รับการพิสูจน์ถึงที่สุดโดยกระบวนการยุติธรรมว่ามี ความบริสุทธิ์ ถึงจะ กล้าพอที่จะเสนอหน้าไปรับใช้ประชาชนส่วนรวม ไม่ต้องรอให้ใครมาตัดสิทธิการเลือกตั้ง ความอายในตัว ก็จะเว้นวรรคทางการเมืองให้แก่ตัวเองไป เสียก่อน ทั้งหมดนี้ ทำให้นึกเทียบเคียงกรณีนักการเมืองญี่ปุ่นในข่าว กับนักการเมืองไทย ของเขา แค่จะถูกตรวจสอบ เรื่องเงินบริจาค ก็ถึงกับฆ่าตัวตายแล้ว แต่ของเรา ขนาดถูก ชี้มูลว่าทุจริตนับพันล้านหมื่นล้าน ถูกประท้วงขับไล่ ถูกรัฐประหาร ก็ยังดิ้นรนจะไม่ยอมสูญเสีย แม้แต่ในทางผลประโยชน์ทางการเมืองส่วนตัว "สารส้ม " วันที่ 31/5/2007 คัดลอกบทเขียน คุณ "สารส้ม" จากหนังสือพิมพ์แนวหน้า http://www.naewna.com/news.asp?ID=61985 โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 2 มิถุนายน 2550 เวลา:1:34:44 น.
3 มิถุนายน 2550 13:09 น. - comment id 704873
จากข้อเขียนของคนในแวดวงหนังสือพิมพ์เช่นคุณ "สารส้ม" นับเป็นการรวบรวม 5 ปีที่อยู่ในตำแหน่งของใครบางคนอย่าง ที่ผู้คน "มือสั้น ไม่ได้มือยาว สาวได้สาวเอา"รุ้สึกเจ็บปวดมาตลอดเวลา อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ความเจ็บปวด อับอายที่มีชีวิตอยู่ใต้การปกครอง ระบอบอุปถัมภ์ครอบครัวด้วยเงินภาษีประชาชนนี้ เป็นความเจ็บปวด ลึกร้าวในหัวใจ ที่ไม่อาจบรรยายเป็นตัวอักษรได้หมดสิ้น การเปรียบเทียบให้เห็น "ความรับผิดชอบต่อความอับอาย" ระหว่าง รัฐมนตรีญี่ปุ่น กับ นักการเมืองไทย ควรหรือ ที่จะ ประท้วง ร้องแรกแหกกรอบที่สังคมผู้เจ็บปวด จากการกระทำไร้จริยธรรมนั้น ๆ ของเหล่าคณาญาตินักการเมือง ต้อง รู้สึก ทุกข์มากไปกว่านี้ หากเมตตากันก็ขอให้ เห็นแก่จิตใจ ผู้บริสุทธิ์ ผู้อับอายเป็น หกสิบล้านกว่าคนในประเทศไทย ช่วยหยุดการกระทำอันละโมภ การกระทำอัน โทโส โมหา(หลงผิด) เหล่านั้นเสียที จากใจของเจ้าของกระทู้ ที่งานศพ ยินเสียง แต่ก่นด่า เขายกมา โคตรตระกูล โกงหนาหู สรรพสำเนียง อึงเสียง "ตัวของกรู" ร่างอืดนอน มิรู้ คำก่นใคร วิญญาณดับ ลาลับ มัจจุราช ก้มหน้างุด โดนตวาด นรกไล่ เขาฉายแสง เลเซอร์ ขึ้นฟ้าไป บรรยายไว้ โลภะ พร่าพระธรรม เกิดเป็นเปรต แสนทุเรศ ปากเท่าเข็ม มิอาจกิน ที่มิดเม้ม เกินจักขำ มีแต่น้ำ มูกย้อย คอยชี้นำ อีกน้ำคูตร ประจำ อาหารตน ทุกเหล่าหลัก มิพัก ต้องรับด้วย ผู้วิ่งช่วย เศษเปรต เลศฉ้อฉล อุตส่าห์เกิด แดนประเสริฐ พุทธชน แต่ธรรมน้อย เทหล่น บนทางเมือง เพราะอำนาจ บาตรใหญ่ ไม่เอื้อหลัก เพราะความมัก โลภสูง จึงเกิดเรื่อง อำนาจมี ชี้ชะตา ครารุ่งเรือง อำนาจตก แตกเปรื่อง เลือ่งโลกา
10 มิถุนายน 2550 16:40 น. - comment id 708132
ไม่เจอกัน สุขภาพกายสบายดีหรือไม่... หวังว่าสุขภาพใจจะยังเข้มแข็งนะครับ... ปล... "ถ้าเปิดตาสองข้าง เปิดหูสองฝั่ง เราจะไม่แตกแยกกันเยี่ยงนี้" ขอตุลาการ จงแน่นหนัก ตลอดไป...