เมื่อชีวิตกับความฝันยืนยันว่า ถึงเวลาจะพบกันในวันหนึ่ง เพียงวันนี้อยู่ไปให้คำนึง จะไปถึงอนาคตที่งดงาม ใช้ชีวิตเลือดเนื้อที่เหลืออยู่ เพื่อยืนสู้อุปสรรคและขวากหนาม แม้กล้ำกลืนฝืนทนคนประณาม พยายามลืมเลือนเหมือนไม่ยิน เสียงของป่าพร่ำเพรียกเรียกฉันแล้ว ดังผะแผ่วก้องศิลาภูผาหิน ผสมเสียงลมบรรเลงดุจเพลงพิณ ดอกไม้ป่ารวยระรินกลิ่นกำจาย เบื่อบุบผาฟุ้งเฟื่องในเมืองหลวง เป็นช่อพวงหลากสีมีมากหลาย ให้เพียงเสพชิดชมจนตรมตาย คอยทำลายกัดกินถึงวิญญาณ์ คิดถึงสายน้ำเย็นกระเซ็นซ่าน เป็นลำธารชุ่มชื้นทั่วผืนป่า หรือเพียงฝันได้ชิดเพียงนิทรา หรือเกินที่ไขว่คว้ามาครอบครอง เสียงของป่าพร่ำเพรียกเรียกฉันแล้ว นกเจื้อยแจ้วเพลงพฤกษ์ดังกึกก้อง ลมผะแผ่วเริงระบำตามทำนอง คือเสียงของความฝัน ณ วันนี้
20 ตุลาคม 2549 00:56 น. - comment id 617104
ดีนะพี่ สบายดีไหม มาเขียนกลอนได้คงสบายดีเนาะ สงสัยอยากเที่ยวป่าแน่เลย เก็บไปฝันเลยเหรอ ดอกไม้ในเมืองหลวงไม่ชอบแล้วเหรออ่ะ สงสัยเปลี่ยนไปชอบดอกไม้ป่าแล้ว แวะมาแซว
20 ตุลาคม 2549 11:41 น. - comment id 617240
ป่าย่อมเงียบสงัด หากปราศจากกีตาร์และเสียง นานามาขับกล่อม เอ๊ก..อี้...เอ๊ก...... แก้วประเสริฐ.
20 ตุลาคม 2549 12:06 น. - comment id 617247
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song2535.html ป่าลั่น เมื่อ อาทิตย์อุทัย ส่อง ทั่วท้องถิ่นไพร โลก แจ่มใสอีกครา เหม่อมองนกโผบิน แว่วธารรินไหลหลั่ง ป่าลั่นดังสะท้านใจ แดด ส่องฟ้า เป็นสัญญา วันใหม่ พวกเรา แจ่มใส เหมือนนกที่ออก จากรัง ต่างคน รักป่า ป่าคือ ความหวัง เลี้ยงชีพ เรายัง ฝังวิญญาณ นานไป ตื่น เถิดหนา อายนกกา มันบ้าง แผ่นดิน กว้างขวาง ถางคนละมือ ละไม้ รอยยิ้ม ของเมีย ชะโลม ฤทัย ซับเหงื่อผัวได้ ให้เราจง ทำดี เสื้อ ผ้าขี้ริ้ว ปลิวเพราะแรง ลมเป่า กลิ่นไอ พวกเรา เขาคงจะเดิน เมินหนี คราบใด ไหนเล่า เท่าคราบ โลกีย์ เคล้าอเวจี หามีใคร เมินมัน โลก จะหมอง ครองน้ำตา ยามเศร้า แบ่งกัน ว่าเขา และเราเศร้าจริง ใจฉัน ป่ามี น้ำใจ ใสแจ่ม ทุกวัน รักป่า ไหมนั่น เมื่อป่าลั่น ความจริง แดด ส่องฟ้า เป็นสัญญา วันใหม่ พวกเรา แจ่มใส เหมือนนกที่ออก จากรัง ต่างคน รักป่า ป่าคือ ความหวัง เลี้ยงชีพ เรายัง ฝังวิญญาณ นานไป ตื่น เถิดหนา อายนกกา มันบ้าง แผ่นดิน กว้างขวาง ถางคนละมือ ละไม้ รอยยิ้ม ของเมีย ชะโลม ฤทัย ซับเหงื่อผัวได้ ให้เราจง ทำดี เสื้อ ผ้าขี้ริ้ว ปลิวเพราะแรง ลมเป่า กลิ่นไอ พวกเรา เขาคงจะเดิน เมินหนี คราบใด ไหนเล่า เท่าคราบ โลกีย์ เคล้าอเวจี หามีใคร เมินมัน โลก จะหมอง ครองน้ำตา ยามเศร้า แบ่งกัน ว่าเรา และเราเศร้าจริง ใจฉัน ป่ามี น้ำใจ ใสแจ่ม ทุกวัน รักป่า ไหมนั่น เมื่อป่าลั่น ความจริง...
20 ตุลาคม 2549 12:20 น. - comment id 617250
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9490000061764
20 ตุลาคม 2549 12:36 น. - comment id 617256
ธารน้ำใสไหลผ่านย่านพงป่า เลาะเลียบผาฝ่าภูหมู่โขดเขิน ทางเลี้ยวลดคดเคี้ยวเที่ยวดำเนิน น้ำเย็นใสไหลเพลินดำเนินไป หมู่สัตว์ป่าหากินตามถิ่นทุ่ง ทั่วโค้งคุ้งริมธารคือบ้านใหญ่ ทั้งพึ่งกันทั้งที่มีเภทภัย เรื่องราวในดงป่าวนาดร สกุณาถลาบินถั่วถิ่นฟ้า ท่องเวหาเที่ยวไปไม่เดือดร้อน กรีดหางเหินไปไม่อนาทร คราเหนื่อยอ่อนก็หยุดยั้งยังคาคบ ลมระรื่นชื่นไหวใบไม้พลิ้ว จึงปลิดปลิวจากกิ่งทิ้งลงกลบ เกลื่อนพื้นดินใบกิ่งทิ้งลงซบ เงียบสงบย่อยสลายกลายเป็นดิน ทั้งโตรกชันสันเขาต่างเนานิ่ง มิไหวติงแม้น้ำเซาะเจาะแผ่นหิน ยอมเกิดร่องเพื่อน้ำใสได้ไหลริน อยู่คู่ถิ่นพงป่ามาเนิ่นนาน ธรรมชาติต่างพึ่งพาและอาศัย ต่างร่วมใจหมายมั่นหมั่นประสาน ธำรงป่าเอาไว้ให้เบิกบาน เพื่อลูกหลานเล่าขานกันสืบไป
20 ตุลาคม 2549 13:05 น. - comment id 617280
คิดถึง สายน้ำ ต้นไม้และป่าสีเขียว ทำให้เกิดความสุขได้ค่ะ......
20 ตุลาคม 2549 15:23 น. - comment id 617337
บุปผาใน..เมืองหลวง..หอมเฟื่องฟุ้ง แต่ล้วนปรุง..สีกลิ่น..ประทินหอม ล่อหลอกให้..ภมรเขลา..เข้าดมดอม แปลงสีย้อม..ให้สวยงาม..ตามนิยม บุปผาใน..ป่าไพร..แม้นไร้สี แต่มากมี..คุณค่า..น่าสะสม กลิ่นเย้ายวน..ยั่วใจ..ให้เชยชม จึงเหมาะสม..มีคุณค่า..แห่งมาลี...
20 ตุลาคม 2549 16:30 น. - comment id 617394
ธรรมชาติสะอาดและสงบ มีให้พบพานได้ที่ในป่า เสียงบรรเลงเพลงไพรในวนา คือหนึ่งบทมนตรารักษาใจ สวัสดีค่ะเรไร
20 ตุลาคม 2549 16:51 น. - comment id 617418
ธรรมชาติแนวไพรในป่ากว้าง ดูเวิ้งว้างแต่สดงามไสว ไร้แสงสีปุงแต่งศิวิลัย สะอาดใสไร้พิษจิตภาวนา
20 ตุลาคม 2549 20:55 น. - comment id 617518
หวัดดีค่ะ.. ท่านพี่ต่อ แหม....พอไม่มีท่าอากาศยาน คงหายเจ็บคอ เลยต้องหาที่ระบายใช่ใหมค่ะ (รักหรอกจึงหยอกเล่น ) รักษาสุขภาพไว้ไปเที่ยวป่านะคะ
21 ตุลาคม 2549 16:26 น. - comment id 617782
ขอขอบคุณ และสวัสดีทุกท่านด้วยครับ
21 ตุลาคม 2549 23:34 น. - comment id 617873
มาทักทายค่ะ กลอนเพราะมากเลย