.....ตะวันโรยโปรยแสงแฝงรอยเศร้า ดูเงียบเหงามัวหม่นทุกหนแห่ง ความกระจ่างจัดจ้ามาอ่อนแรง ความเข้มแข็งคลอนคลายสลายลง ...สายนทีรี่ไหลไปเรื่อยเรื่อย สวะลอยเรื่อยเปื่อยราวใหลหลง สายธารามีขึ้นและมีลง สวะยังอยู่คงเพื่อล่องลอย ...สายลมพัดแกว่งกวัดใบไม้ไหว อาจปลิดปลดบางใบร่วงลงผล็อย หรือปลิดดอกปลิดผลช่อน้อยน้อย ให้ล่องลอยหล่นล่วงควงลงดิน ...มองท้องฟ้า ใบไม้ และสายน้ำ ล้วนมีความเปลี่ยนแปรไม่สุดสิ้น ใจก็ปรุงไปตามที่ยลยิน และตัดสินไปตามความหมายปอง ...ใบไม้หล่น..บางคน...มีความสุข บางคนทุกข์...เสียดาย..ใบไม้หมอง เศษสวะ..มากมาย...ลอยในคลอง บางคนมอง..ว่าสวย...ช่วยทิ้งเติม ....คราอาทิตย์..อัสดง..ลงขอบฟ้า บางคนว่า..ช่างสุขใจ...ได้สร้างเสริม บรรยากาศ..ตามแสงไต้...และคบเพลิง ดูร่าเริง..ก่อกองไฟ...ได้ชีวา บางขณะของชีวิตคิดเช่นนั้น พอเปลี่ยนวันก็เปลี่ยนไปไม่หรรษา บางขณะ...ของคนที่มีปัญญา จึงรู้ค่าความเปลี่ยนไปในเปลี่ยนแปลง
5 กรกฎาคม 2546 10:49 น. - comment id 151860
ประทับใจมากค่ะ
5 กรกฎาคม 2546 23:46 น. - comment id 152034
ผมชัยชนะเจ้าปัญหาขอรายงานตัวครับ สงสัยว่าสวะนั้นมีประโยชน์หรือเปล่า แล้ววรรคสุดท้ายที่ว่า จึงรู้ค่าความเปลี่นไปในเปลี่ยนแปลง ผมยังงงอยู่ ถามแค่สองข้อเท่านั้นแหละครับ
9 กรกฎาคม 2546 15:09 น. - comment id 152989
....ขอบคุณมากค่ะคุณพุด กลอนบทนี้เคยนำเสนอในชื่อของผู้อื่นมาครั้งหนึ่งแล้วค่ะ เพราะสมัครเป็นสมาชิกยังไม่ได้ เนื่องจากชื่อ ดอกแก้ว ..ได้มีคนใช้สมัครก่อนหน้านี้แล้ว ....จึงอาศัยชื่อผู้อื่นนำเสนอในบางครั้งค่ะ....ดีใจค่ะที่ชอบ
9 กรกฎาคม 2546 15:18 น. - comment id 152994
ชัยชนะ..... ผักตบชวาพาใจให้ไหวหวาม ล่องลอยตามลำคลองให้มองเห็น บางคนชอบว่าเป็นสิ่งร่มเย็น ฟอกอากาศให้เป็นออกซิเจน กอหญ้าใหญ่ลอยไปกลางสายน้ำ บางครั้งงามเหมือนเกาะน้อยที่ลอยเล่น สีเขียวเข้มเต็มท้องน้ำเมื่อยามเย็น บางคนเห็นเป็นกัดขวางทางสัญจร ทั้งสองคือสวะที่ระราน ให้ลำธารแคบลงคงถ่ายถอน นี่คือสิ่งที่ปรากฏในบทกลอน ถึงสวะที่คลอนพื้นธารา สำหรับความเปลี่ยนไปในเปลี่ยนแปลง คือปัญญาที่แจ้งสิ่งตรงหน้า พบเห็นในพระไตรลักษณา ที่รู้ว่ามีเกิดดับลับเรื่อยไป ...น่าจะเป็นคำตอบที่ทำให้หายสงสัยได้บ้างนะคะ