บนเส้นทาง......... ๐ รถเมล์คันใหญ่............ แล่นไวตามทาง ทุ่งนาป่าร้าง................ถิ่นด้าวแดนดง ผู้คนเต็มคัน................ต่างกันก็คง จุดหมายจะลง............ของแต่ละคน ๐ อากาศก็ร้อน..............เป็นตอนกลางวัน ทั้งฝุ่นพิษควัน............วุ่นวายสับสน จอดแต่ละที...............หน้านี้มัวหม่น วินเวียนเสียจน..........แทบจะอาเจียน ๐ คนรถเปิดเพลง..........บรรเลงขับกล่อม จำใจต้องยอม............แม้จะวินเวียน เพลงเพื่อชีวิต............น่าสะอิดเอียน ตาลายคลื่นเหียน.......เพราะอากาสร้อน.... .................... ......เสียงรถไฟกับเสียงใจที่สั่นตามเสียง คนเต็มคันเต็มตู้รถไฟรวมทั้งเขา แสวงหาอยากไป ไป ไป ให้ถึง เผชิญโชค ผจญภัย ตามคันรถไฟไปส่ง... ...................................................จาก แสวงหา ของพงษ์สิทธิ์ คัมภีร์ ๐ รถแล่นเร็วไว..........เร้าใจดนตรี ผูคนยังมี..............อยู่ไม่ขาดตอน ข้าวของรุงรัง............เก็บตังค์ไว้ก่อน บริการแน่นอน......สุดประทับใจ..... .......................... .......เป็นแค่หนอนไร้ค่า ที่หลงลืมตาเกิดมาท่ามกลางดอกไม้ ร่างกายผอมบาง ดมกลิ่นหอมเย้ายวน หลากสีชี้ชวนให้หลง รักไม่ลาร้าง หลงรักเจ้าช่อดอกไม้ทั้งใจ ต่อให้หิวก็ฝืนก็ทนจะยอมไม่กลืนไม่กินดอกใบ ให้เจ้าดอกไม้ระคาย........ .................................................จาก หนอนผีสื้อ ของ หนูมิเตอร์ ๐ แสงแดดรำไร........ลอดไม้ใบบัง ส่องแสงมายัง........หน้าต่างบานใส อากาศเย็นลง.........ก็คงชื่นใจ ไม่ร้อนต่อไป.........ฟังเพลงเบาเบา ........................ ........จากมานานคิดถึงจังเลย...หอมเจ้าเอยละอองท้องถิ่น อยากกลับไปแนบซบไอดิน บ้านรำพึงคิดถึงเสมอ อัสดงอาทิตย์กล่าวลา คืบคลานมายังคิดถึงเธอ คืนเหน็บหนาวค่ำแล้วซิเออ บ้านรำพึงคิดถึงไม่สร่าง.............. ................................... จาก คิดถึงบ้าน ของ พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ ๐ รถแล่นต่อไป.............หัวใจชื่นบาน รับส่งโดยสาร.............ฟังเพลงเศร้าเศร้า เรื่อยเรื่อยเรียงเรียง......สำเนียงจากเรา เพลงหวานเหงาเหงา.....คอยบริการ ........................ .......รักคนที่มีแฟนแล้วมันผิดตรงไหน สิทธิของหัวใจรักใครก็แล้วแต่ฉัน แค่พันผูกทางใจ จะเดือดร้อนใครเท่าไรกัน ต่อให้ทุกข์ทนต่อให้ทรมาน ฉันก็ยอม...... จาก. รักคนมีแฟน ของเอเชีย ๐ อากาศเย็นดี.............รถรี่แล่นฉิว สายลมแผ่วพลิ้ว.......ริ่วริ่วสราญ แดดอ่อนแลเห็น........ยามเย็นเบิกบาน แขกผู้โดยสาร..........ฟังพลงต่อไป .................... .......คนบางคนบ่ได้เกิดมาเพื่อเฮา เขาเลยอยู่ไปของเขา เขาเลยบ่มักเฮาจ้อย คนงามจั่งน้อง เทียบกันแล้วห่างอ้ายสุดสอย น้องทำงานสูงแถมงามจนย้อย .......... หลับตาฝันอ้ายจั่งได้กอด ยามคิดฮอดได้แต่เหลัยวมอง ไร้วาสนาได้เป็นเจ้าของดาวนั่น.... .....................................................จาก ดาวมีไว้เบิ่ง ของไหมไทย ใจตะวัน ๐ และแล้วจุดหมาย............สุดปลายเส้นทาง ที่เราก็ต่าง.......................ต้องห่างกันไกล เก็บข้าวขนของ...............เดินย่องจากไป เหลือรอยทิ้งไว้...............เพียงเบาะว่างเปล่า ..........ขุนเขาไม่อาจขวางสายทางเที่ยงธรรมได้ ความหวังยังพริ้งพราย เก่าตายมีใหม่เสริม ชีวิตที่ผ่านพบ มีลบย่อมมีเพิ่ม ขอเพียงให้เหมือนเดิม กำลังใจ..... ...................................................จาก กำลังใจ ของคาราวาน ๐ ชีวิตก็เป็น.......................เฉกเช่นเดินทาง ที่เราก็ต่าง......................ร่วมสร้างทางเรา อาจเดินร่วมกัน............. บางวันกับเขา แต่สุดท้ายเข้า..................ก็ต้องจากัน ๐ ชีวิตก็เป็น.......................เฉกเช่นบทเพลง ขับขานบรรเลง...............ครื้นเครงสุขสันต์ เพลงเศร้าเลงหวาน.........ไม่นานเพลงมัน ช้าเร็วใหมนั่น.................จังหวะทำนอง ๐ ชีวิตหลากหลาย.............มากมายรสชาติ ใช่เรื่องประหลาด...........ที่เราเกี่ยวข้อง วิชชุมมาลา.....................เพื่อนน่าจะลอง หัดเขียนให้คล่อง..........ฉันท์นี้ง่ายดาย....ฯ ................... ..........บนถนนหนทางซุปเปอร์ไฮเวย์ หนุ่มพเนจร ท่องไปตามฝัน ฝันของเจ้าสุดเลิศล้ำลาวัลย์ ฝันเจ้าฝัน ว่าโลกสุดเมลืองมลัง โอ้ยามนี้รวีแดงแสงโรยรา สกุณาเจ้าบินตัดฟ้าสู่รัง บินไปเถิดเจ้านกน้อยผู้น่าชัง ตราบชีพยังชีวิตเจ้าก็ต้องบิน บิน บิน บินไป บินไป บินไป เหมือนใจหนี เสียงดนตรีบรรเลงเหมืนใจดิ้น แม้จะเจ็บปวดช้ำน้ำตาริน ปีกยังบินตายังจ้องมองทาง.............. จาก หนุ่มพเนจร ของ พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์ ........................................................................................................................ วิชชุมมาลาฉันท์ ๘ หมายถึงฉันที่ต้องเปล่งเสียงยาวเหมือนอัสนีบาตของพระอินทร์ครับ ๑ บทมีแปดวรรค วรรคละ ๔ คำ เป็นฉันท์ที่ไม่บังคบครุ-ลหุ ใช้แต่งบรรยายความหมายต่าง ๆ ครับ คล้ายกลอนสี่ครับ แต่กลอนสี่มีแค่ ๒ บาทครับ ที่ผมนำมาแต่งบรรยายการเดินทางสลับกับบทเพลง ก็เพื่ออยากให้ผ่อนคลายบ้าง บทกวีกับบทเพลง เข้ากันได้ดี ไม่มีปัญาแต่ประการใดครับ สุดท้ายขอขอบคุณ บทเพลงที่มาช่วยขับขาน เพิ่มสีสันและรสชาติครับ
28 เมษายน 2553 09:28 น. - comment id 1124232
สุดยอดจริงๆค่ะ หมดปัญาอีกละ..อิอิ คงได้แต่ชื่นชมค่ะ..
28 เมษายน 2553 10:23 น. - comment id 1124250
มาเยี่ยมพี่ศรี.....สบายดีไหม คงจำกันได้.....แกงฯไงพี่ศรี วันนี้แกงฯผ่าน.....มาอ่านงานพี่ อ่านดูเพราะดี....ฉันท์ยากจริงเอย .......ทักทายค่ะ...พี่.............
28 เมษายน 2553 11:57 น. - comment id 1124263
เพลงที่พี่ศรี นำมา บอกตรงๆ ว่าชอบทุกเพลง โดยเฉพาะเพื่อชีวิต มันได้ใจ ฮ่าาา เป็นการผสมผสาน ฉันท์ กะบทเพลงได้ลงตัวมากๆ ครับ เหมือนจะแข่งกันเลย พี่ศรี กะ พี่สุริยันต์ อิอิ คารวะ สิบจอก แด่ ขุนศรีฯ และ ขุนกระบี่สุริยันต์ ฮ่าาาา ด้วยน้ำ เป ล่า สิบจอก เอิ๊กกก เอาให้เมากันไปข้างเลยพี่
28 เมษายน 2553 16:09 น. - comment id 1124305
หว้าว่าพี่สุรศรีนี้แต่งได้โดนทุกทีเรยแฮะ
28 เมษายน 2553 23:46 น. - comment id 1124389
แวะมาเยี่ยมนะฮับพี่ศรี พี่ศรีฮับฉันท์นี้บังคับเป็นคำครุทั้งหมดนะฮับ ห้ามมีลหุเลยนะ อ้างอิงจากลักษณะคำประพันธ์ไทย (ฉันทลักษณ์) ของ รศ.วิเชียร เกษประทุมฮับ
29 เมษายน 2553 13:10 น. - comment id 1124450
ต้องขอโทษมาก ๆ ครับ เผอิญดูตัวอย่าง แล้วคิดว่าไม่บังคับครุ-ลหุ ต้องขอบคุณน้องสุริยันต์ ครับ เอาเป็นว่า ห้ามลหุครับ ใช้ครุอย่างเดียวครับ