ป่าเปียก !!
รักษ์รัก
ผกาแย้มกลีบเกสรหวาน
น้ำค้างกลางช่อเล็บมือนางพร่างแสงระยิบระยับท้าอาภาพระอาทิตย์อยู่ตรงรั้วระแนงกั้นสวนพฤกษาพรรณ เสมือนหนึ่งหยาดน้ำตาสาวแรกรุ่นเอ่อปริ่มลื่นเหนือขนตา พลันกลิ้งระย้าหยดลงกระทบตรงหงอนไก่สีแดงสด บังเอิญที่พ่อโต้งตัวนั้นเดินมาหยุดใต้ร่มไม้นี้พอดี แม้นผู้ผ่านสังเวียนเดือยมาหลายครั้งยังเสียท่าผวาเพียงหยดน้ำน้อยๆ นั้น มันสะบัดหัวพร้อมขยับปีกผึบผับไปมา เหยียดตัวยาวโย่งแลโก่งคอขัน เอ้กอี๊เอ้กเอ้ก ด้วยน้ำเสียงเปี่ยมพลัง แล้วจึงสาวเท้าย่ำแอ่งน้ำ ณ เบื้องหน้าต่อไป และหวังว่าคงจะมีเศษข้าวเปลือกลอยบนผิวน้ำขึ้นมาเป็นอาหารของมันบ้าง
บรรยากาศในเช้าวันนี้สงบนิ่ง ด้วยว่าฟ้าหลังฝนมักจะไร้แรงลมอ่อนผ่อนระเพยเชยชื่นอย่างเพลานี้เสมอๆ อับละอองเกสรในผอบชงโค มะลิ จำปี กรรณิการ์ กระดังงาแลราชาวดี จึงส่งกลิ่นหอมจ่อมอยู่เป็นหย่อมอากาศไม่ไกลจากต้นนัก เหล่าแมลงตัวจ้อยนั่นเองคือผู้เยียวยาชีวิตของบุหงาสวนเหล่านี้ ประหนึ่งว่าพวกมันถูกลิขิตให้เกิดมาคู่กับดอกไม้สรรพสี เพียงแรงกระพือปีกแผ่วๆ ของผีเสื้อ ยังให้กระดิ่งช่อโมกโยกไหวๆ ได้เช่นกัน
หากแต่ยินเสียงระนาดบรรเลงเพลงศรีสวาทแว่วออกมาจากโรงฟ้อนด้านใน เสียงพริ้งใสๆ ประสานกับเสียงตะโพนทุ้ม ไม้นวมกระทบลูกฆ้องก้องกังวาล แลเสียงปี่ในไหลพริ้วละลิ่วมาเยือนถิ่นบุษบา บันดลเกิดเป็นสายลมโชยโพยพัดมาจากทิศตะวันตก นำพาความชื้นฉ่ำลอยตามมาด้วย กิ่งก้านแมกไม้ต่างๆ พร้อมใจกันขยับตามเสียงสวาทนั้น ดังที่เห็นว่าหุ่นเครื่องดนตรีคีตะบรรเลงต่างๆ นั้น ทำมาจากไม้ชิงชันบ้าง มะริดบ้าง มะม่วงหรือสักบ้าง อันเป็นวัสดุดิบที่ธรรมชาติรังสรรค์ขึ้นมา แลฉันใดนายช่างทั้งหลายจากรุ่นปุราณก่อนได้นำมาสร้างเสียงอันไพเราะเพราะพริ้วเป็นดนตรีกล่อมจิตใจผู้คน ฉันนั้นเสียงกระทบกันของเครื่องดนตรีนี้ ก็มิต่างกับผู้ประโคมเพลงบรรเลงแด่ธรรมชาติด้วยกัน
เยื้องด้านหลังเรือนใหญ่เข้าไป มีเสียงสับ โขก แลครกกระเดื่องดังประสานเสียงข่มลั่นเรือนครัวอยู่ แม้นไม่ไพเราะเทียบเท่าเสียงเพลงจากโรงฟ้อน แต่ก็เป็นเสียงสำคัญที่หล่อเลี้ยงวงปี่พาทย์ให้บรรเลงต่อไป
เรือนครัวปลูกแยกจากเรือนใหญ่ออกมาเล็กน้อย เพราะต้นสกุลเจ้าข้าท่านไม่ต้องการให้เสียงและกลิ่นรบกวนพวกเขาบนเรือน และถือกระทำกันมาจนถึงบัดนี้ พวยควันพุ่งเผยอจากฝาหม้อเห็นเป็นไอขาวลอยคว้างและจางหายไปกับอากาศ ข้าทาสสาวใช้กว่าสิบคนกำลังสาละวนจัดเตรียมสำรับกับข้าวให้แก่ท่านเจ้าคุณเกื้อซึ่งเป็นเจ้าข้าคุ้มบารมีนางทาสทั้งหลายนั้น ทุกอย่างทำอย่างพิถีพิถันให้สมกับฐานะของท่านหลวงสืบศักดิ์ซึ่งรับราชการอยู่ต่างเมือง แลคนในตระกูลผู้สืบทอดงานราชการรับใช้ประเทศสยามมาแต่รุ่นก่อนรุ่นเก่า ยกเว้นแต่ท่านเจ้าคุณเกื้อนี้เองที่ดูจะผ่าเถือกเถาเหล่ากอต่างออกไป กระนั้นก็ยังเป็นนายคนเดียวที่อยู่เหย้าเฝ้าสกุลให้บ่าวไพร่มันเห็นว่านายยังมีปกกบาล
ป้าแก่ผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงงานครัว เดินสำรวจหม้อแกงทีละใบ เติมนู้นนิดนี่หน่อย ปากก็เคี้ยวหมากพรางบ่นพรางสับเพเหระไปตามประสาคนแก่ "ใครมันวางกระจาดเกะกะทางตีนข้าวะ หนอย..อีกหน่อยก็ได้เดินเขี่ยผ้านุ่งใครสักคนแน่ๆ ทำอะไรไม่เคยเรียบร้อยกันเลย" บ่าวรุ่นทั้งหลายที่ก้มหน้าก้มตาทำงานงกๆ ตรงหน้านั้น อดรำคาญเสียงบ่นของหญิงชราเสียมิได้ แต่ก็มิกล้าแข็งข้อต่อกลับทุกครั้งไป ได้แต่ลอบสบตากันบ้าง ทำหูทวนลมบ้าง ยิ่งพูดมากจะยิ่งมากความแลจะเป็นเรื่องราวใหญ่โตไปค่อนเดือน ทั้งสาวใช้ทั้งหลายใต้ชายคาครัวนี้นับป้าแกเสมือนเป็นนายอีกคน เนื่องจากนางเองก็กรำงานครัวในเรือนเจ้าข้าสกุลนี้มาถึงสามชั่วคนแล้ว ฝีมือปลายจวักก็สืบทอดมาจาก 'เจ้าสำรับชาววัง' จากรุ่นทวดส่งผ่านเรื่อยมาจนถึงรุ่นแม่แลจบที่หลายสาวคนล่าสุดซึ่งกำลังบ่นปากเปลอะน้ำหมากอยู่นี่กระไร แลเพลานี้เองยังมิสิ้นคำพร่ำพูดประโยคเดิม ลูกหนูตัวหนึ่งก็เดินผ่านหน้านางเหยี่ยวไปและไม่มีเหยื่อชิ้นไหนหลุดรอดเงื้อมมือนางไปได้
"นางบัง! นั่นเอ็งจะกอบมะลิไปทำการใด" ป้าแก่ถลึงตาจ้องสาวใช้ร่างน้อยที่เพิ่งเดินผ่านไป นางบังสะดุ้งตัวแลหมอบก้มลงกับพื้น
"เอาไปนึ่งโสนเจ้าค่ะ" สาวน้อยก้มหน้าก้มตาตอบ
"นั่นประไร" ป้าแก่เดินอ้อมไปที่แคร่ไม้ตรงมุมห้อง สายตายังจ้องนางบัวไม่กระพริบ "ข้าบอกเอ็งกี่หนแล้วว่าดอกโสนนิ่งเปล่าๆ เออ..จะเอาไปนึ่งฟักนึ่งแฟงอะไรก็ไป แต่แม่จะเอามานึ่งดอกโสน ปัดโธ้..ประเดี๋ยวมันก็ตีกันให้อีฉุยอีแฉกกันพอดี" ป้าแก่นั่งลงบนแคร่แลเอื้อมยกกระโถนขึ้นมาป้องปาก แล้วบรรจงหย่อนน้ำหมากลงแต่เบา พรางเงยหน้าขึ้นมองนางบัวต่อ
"ข้าสู้มานะสอนพวกเอ็งทุกวันๆ เนี่ยะ หูมิกระดิกกระเดี้ยกันเลยรึ" บ่าวทั้งหลายสะดุ้งตัวเล็กน้อยกับคำว่า พวกเอ็ง
"เออ..จะเอาไปลงไปลอยกะทิ นิ่งฟักนึ่งแฟงอะไรก็ทำไปซิ แต่ดันสาระแนเอามานึ่งโสน ปัดโธ้..ความเขลานี่ไม่ต้องสอน เรื่องโง่เนี่ยะ..ฉลาดนัก" ป้าแก่จ้อมเขม็งไปที่นางบัว นางเหลือบมองหน้าป้าแก่เม้มปากไปมาด้วยว่าไม่รู้จะกล่าวแก้ต่างเยี่ยงไรดี "อ้าว.. แม่คุ้ณมัวนั่งเสนอหน้าอยู่ไย มีอะไรก็ไปทำสิ ปัดโธ้..ต้องให้บอกอีก" นางบัวค่อยๆ ลุกขึ้นเดินเอากำมะลิเปื้อนเหงื่ออึนๆ ไปวางลงในกระจาดเดิม แล้วเอื้อมมือแกะกระเทียมที่ห้อยป่านไว้ หยิบพริกแห้งเม็ดเล็ก แลหากระชายกับเครื่องเทศอีกกำหนึ่งใส่ครกแล้วเดินออกไปนอกด้านตัวเรือน ป้าแก่มองตามชายผ้านุ่งของหญิงสาวจนนางเดินพ้นสายตาไป นางถอนหายใจหนักๆ หนึ่งที พร้อมกับคว้ากระโถนขึ้นมาบ้วนน้ำหมากอีกรอบ แล้วเสร็จก็สิ้นคำพูดปากจึงได้แต่พะงาบๆ อยู่เช่นนั้น นางจ้องมองพวยควันลอยผ่านออกทางผนังขัดแตะ {ผนังเรือนชนิดหนึ่งที่ขึ้นโครงเป็นระแนงไม้ เช่นโครงไม้ซาง(ไผ่ขนาดเล็ก รวก ก็ว่า) แล้วใช้ผิวกระบอกไม้ไผสานสอดระแนงนั้นให้เป็นแผง มีช่องว่างระบายอากาศได้ง่าย}
จู่ๆ นางก็พูดขึ้นมา "ไม่ทันพรรษาหน้า ข้าก็ตายแล้วกระมัง" บ่างสาวทั้งหลายหันมองหน้ากัน ต่างสงสัยว่าป้าแก่พูดด้วยอารมณ์ใด เสียงสับหมูเงียบหายไปเตือนสติให้ป้าแก่หันกลับมาประจันตาสาวๆ "มองอะไรกัน จะรอเพลก่อนหรือเยี่ยงไร นี่ละหนา..ข้าจะตายก็ยังห่วงอยู่ ดูพวกเอ็งแต่ละคนซิ โตกันจนนมยานถึงตูดแล้ว ยังไม่เป็นงานอะไรกันเลย จะตายก็สู้จะไม่ตายตาหลับ"
"แหม..ป้าแก่ยังไม่ตายง่ายๆ ดอก แลอีกนานกระมังเจ้าคะ" สาวใช้คนหนึ่งที่กำลังนุ่งพับเพียบกุมกระต่ายหยุดสนทนาครู่หนึ่ง ป้าแก่หันควับไปหาต้นเสียงทันที
"อีเอียด ! ประเดี๋ยวข้าจะซัดด้วยฟันกระต่ายนั่นประไร หนอย..กระแนะกระแหนข้าได้ทั้งวัน แล้วดูซิ ข้าเคี้ยวหมากแหลกสักสองคำแล้ว เอ็งยังไม่ได้กะทิเสียที
นางเอียดพรางลุกขึ้นมาคุกเข่าเหยียบกระต่าย พร้อมกระแทกขย่มกะลามะพร้าวขูดอย่างยากลำบาก
"นั่นเอ็งจะทำสิ่งใด เป็นสาวเป็นแส้ เปลี่ยนหลายท่าโบราณว่าหลายผัว นั่งท่าไหนก็เอามันสัก.."
"ป้าแก่ดูสิเจ้าค่ะ ฟันกระต่ายทื่อหมดแล้ว มะพร้าวก็ห้าวเกินแกง"
"เอ็งนั่นไรเกินจะแกงแล้วกระมัง ดูทำเข้า ใครมาเห็นเขาคงเมินเอ็งไปเป็นเมีย สงสัยว่าแก่หง่อมเป็นมะพร้าวห้าวตายคาเรือนครัวนี่กระมัง"
นางเอียดส่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้เพื่อนที่นั่งแกะสลักฟักทองอยู่ข้างๆ สาวใช้ลอบมองป้าแก่พรางหัวเราะคิกคักกันทั้งเรือนครัว
"มันน่าขันตรงไหนกัน แลจะเห็นดีเห็นงามกันเสียหมดเลยหรือกระไร" ป้าแก่กวาดสายตาปรามสาวใช้ เล่านางจึงหันกลับไปทำงานของตนต่อ แลนางเอียดยังขมีขมันขูดมะพร้าวอยู่ทั้งที่มิมีขุยร่วงมาสักหยิบมือ
"อีเอียด ! จัดแจงนั่งให้มันเรียบร้อย จะเอาท่าไหนก็เลือกสักท่าหนึ่ง แล้ว.."
"ท่านี่แหละเจ้าค่ะ"
"เออ.. แล้วเวลาขูดมะพร้าวนั่น เอ็งหมุนกะลาไปด้วยสิ ไม่ใช่ๆ ขูดอย่างนั้นเมื่อไรจะได้กิน"
"คงจะไม่ได้กินดอกกระมังคะ ฟันกระต่ายทื่อออกเยี่ยงนี้"
"ไม่ต้องมาต่อล้อต่อเถียงข้าเลย เอ็งทำดีๆ ประเดี๋ยวก็ได้กิน ขูดแล้วก็หมุนกะลาไปด้วยสิ อย่างนั้นแหละ หมุนแล้วก็ขูดอย่าหมุนอย่างเดียวสิวะ เอ๊ะ..นางนี่ เออ..อย่างนั้นแล แรงๆ หน่อยสิวะ เออ.. อย่างนั้นแหละอย่างนั้น เห้อ..ข้าละอ่อนใจจริงๆ พูดกับเอ็งก็เหมือนพูดกับนกขุนทองไม่เพี้ยนกัน ได้แต่แว้ดๆ ไปเรื่อย แต่มิเคยสำเหนียกภาษามนุษย์"
บ่าวทั้งหลายหัวเราะชอบใจกัน
"ระวังเถิดเจ้าค่ะ นางหาบมันก็เคยจับกระต่ายตัวเดียวกับนางเอียดมัน เพลานี้ก็ไปเป็นนางระบำบนเตียงท่านเจ้าคุณแล้ว อีกไม่นานดอกเจ้าค่ะ ท่านเจ้าคุณคงเรียกนางเอียดนี่ขึ้นไปคั้นกะทิบนเรือนอีกคน" สิ้นเสียงนางบวบที่กำลังเด็ดผักหวานอยู่ เม็ดหอมเม็ดเบ้งก็เล็งทะยานลงตรงกลางกระหม่อมของนางบวบพอดี "อู้ย.."
"อีบวบ !! นั่นมึงพูดอะไรออกมา เล่นถึงท่านเจ้าคุณเลยนะมึง" ป้าแก่ถลนตาโปนโตเขม่นจ้องด้วยความโกรธ "แก่วัดนักนะมึงเนี่ยะ หนอย..คั้นกะทิ ยังไม่ทันจะมีผัวกันเลย สู่รู้ดีนัก" ป้าแก่ลดสายตาแข็งเกรี้ยวลงหน่อย ปากเคี้ยวหมากหยุบหยับต่อ ชวนให้นางบ่าวนั้นลุ้นว่านางจะเอ่อยคำใดต่อมา
"แต่จริงอย่างที่เอ็งว่า เจ้าคุณเกื้อนี่ก็อีกคนหนึ่งกับบ่าวกับไร่ก็ไม่เว้น ขี้ปากชาวบ้านก็ถ่มลงตรงหัวข้านี่แล สอนบ่าวไว้บำเรอนาย" ป้าแก่ถอนใจหนึ่งที แล้วหันกลับไปมองนางเอียดที่ก้มหน้าก้มตายิ้มกริ่มอยู่ "เอ็งกีอีกคนหนึ่ง นางหาบมันให้ท่ายั่วยวนท่านเจ้าคุณดอก เจ้าคุณเธอเลยเห็นชอบกับมันไปด้วย ถ้าข้าเห็นว่าเอ็งทำเล่นหูเล่นตากับท่านเจ้าคุณเมื่อใด แม่จะกระถืบไม่เลี้ยงเลยมึง"
นางเอียดอายม้วนก้มหน้าก้มตาหลบสายตาหญิงชราซึ่งนางก็ยังจับจ้องมิหน่าย ป้าแก่ถอนใจอีกครั้งหันหน้าหากระโถน พลันสายตาปะทะกับกระจาดยอดผักหวานที่นางบวบกับสาวใช้อีกคนกำลังเด็ดใส่อยู่
"นี่ๆๆ นางบวบนางรอย พวกเอ็งจะรูดทั้งกิ่งทั้งใบเยี่ยงนั้นเลยรึ ท่าเจ้าคุณได้เคี้ยวเอื้องเป็นวัวเป็นควายกันพอดี ..จัดแจงเด็ดใหม่ทั้งกระจาดบัดนี้เลย เอาแต่ยอดอ่อนมัน โอย...พวกเอ็งนี่จะหาใครสมใจกูสักคนไม่ สงสัยต้องไล่ให้ไปแบกจอบแบกคราดกันบ้างกระมัง บุญของพวกเอ็งขนาดไหนแล้วที่อยู่ในเรือนครัวเนี่ยะ!"
"ป้าแก่เจ้าคะ" นางบัวเพิ่งผละจากครก เดินเข้ามากระซิบเสียงที่หน้าเรือนครัว "มีใครมาด้วยเจ้าค่ะ" พรางชี้นิ้วผ่านผนังขัดแตะออกไป
ป้าแก่เพ่งมองลอดช่องว่างๆ ออกไปกลางลำคลอง เห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งเรือมากับคนพายเรืออีกคน เรือค่อยๆ แหวกกอบัวตรงเข้าไปที่ท่าน้ำหน้าเรือนใหญ่
"ใครกัน แล้วมีธุระอันใดที่นี่" ป้าแก่ควานหากระโถนทั้งที่ตายังจับจ้องเรือลำนั้นอยู่ เรือลอยเข้ามาเทียบท่า นางที่นั่งมานั่นถอดหมวกกันแดดออกเผยให้เห็นผมที่ตัดเว้นไว้ตรงกระหม่อม ป้าแก่ทราบโดยทันทีว่านางคือบ่าวจากเรือนท่านหลวงมงคลสกนธ์กาญจน์ เรือนใหญ่ที่อยู่ริมคลองพิกุลห่างออกไปอีกไม่ไกลนัก
"คุณหลวงท่านกลับมาแล้วรึ ถึงมีกิจเรียกหาเจ้าคุณเกื้อเพลานี้ แต่น่าแปลกที่ทำไมถึงส่งบ่าวหญิงมาแทน แล้วดูซิ.. ไม่รู้จักหาผ้าห่มห่มมาเสียหน่อย ไม่รู้จะอวดเนื้อหนังมังสากี่มากน้อย นายไม่สั่งก็ควรจะสำนึกกระทำเองบ้าง ขี้คร้านยังนั่งเรือมากับชายสองต่อสองอีก บัดสีจริงๆ ..ผู้หญิงสมัยนี้พิลึกกันหมดแล้วกระมัง ไม่เว้นทั้งคนนอกคนใน ..เหมือนกันหมดทุกคน"
ป้าแก่ชำเรืองมองบ่าวสาวในลานครัว แต่นางทั้งหลายมิได้สนใจคำว่า 'คนใน' นั้นเลย ต่างพินิจมองบ่าวต่างเรือนในอาภรณ์ที่ทอด้วยไหม งามกว่าผ้านุ่งของเหล่านางทาสเรือนเจ้าคุณเกื้อที่ใส่กันอยู่ขณะนี้
ป้าแก่ก้มหน้าฉวยกระโถนขึ้นมา แลแกล้งถ่มน้ำหมากเสียงดัง
"ถุย! "
บ่าวสาวทั้งหลายจึงหันหน้ากลับมาทำงานตรงหน้าโดยพลัน
เรือป๊าบเลาะเลียบเข้าเทียบท่า นางมะเดื่อค่อยๆ ก้าวขึ้นบันไดอย่างระมัดระวัง ในมือถือกระดาษมาซองหนึ่ง บ่าวชายคนหนึ่งริมคลองกำลังตระกองแหไว้บนบ่า หันมองนางอยู่ครู่เดียวแล้วจึงทิ้งความสนใจดังกล่าว หันกลับไปสู่งานของตนแล้ววงแหก็ถูกเหวี่ยงลงสู่ผิวน้ำไป
นางเดินผ่านสวนหย่อมเล็กๆ ที่ปลูกขนาบทางเดินที่มุ่งเข้าสู่ตัวเรือนใหญ่ข้างหน้า เนื่องด้วยนางมะเดื่อเป็นหญิงรูปร่างเตี้ยป้อมออกอ้วนอวบ ผิวดำขลับสะท้อนแสงขึ้นเงาตะวัน มีปานดำใหญ่ตรงคอ แลตาสองข้างก็เฉเกไปกันคนละทิศละทาง ไร้เสน่ห์ใดใดที่จักดึงดูดตาชายให้เมียงมองมา แลจะเห็นก็เพียงผ้านุ่งเท่านั้นที่น่ามองอยู่หน่อย
ชุดที่นางมะเดื่อนุ่งอยู่นั้นเป็นผ้าแถบทอไหมย้อมสีเหลือบม่วงแดงกระชัดอกอย่างปราณีต ผ้านุ่งที่ดูคล้ายโสร่งโจงกระเบนนั้น เป็นผ้าแพรสีน้ำเงินเข้มเข้าชุดกันดี ซึ่งไม่ค่อยมีให้เห็นมากนักในหมู่บ่าวไพร่ที่สวมผ้าราคาแพงเช่นนี้ จักเห็นเป็นแต่บ่าวของพวกขุนนางที่สนิทสนมกับเจ้าข้าของตนเป็นพิเศษ อีกนัยหนึ่งนั้น ถือเป็นการแสดงไว้ซึ่งศักดินาของพวกเจ้าข้านายเรือนชั้นสูง ดั่งสุภาษิตที่กล่าวกันในเรือนขุนนางโดยทั่วว่า 'แม้นเล็บมือฤๅปลายผม แต่งให้สมศักดิ์ผู้ดี' คำว่าเล็บมือหรือปลายผมนั่นย่อมหมายรวมข้าทาสที่ต้อยต่ำของตนด้วย
บ่าวผู้ชายที่ทำงานอยู่บริเวณนั้น หันมองอยู่ทีสองทีก็ก้มกลับไปทำงานดังเดิม แม้นจะพอมีผ้านุ่งให้น่ามองอยู่หน่อย หากแต่ชุ่มเหงื่อเป็นดวงเข้ม ยิ่งเฉพาะผ้าแถบคาดหน้าอกตรงใต้รักแร้ยิ่งชวนให้ตะหงิดในอารมณ์ ไหมสีม่วงเปียกแฉะจนเปลี่ยนเป็นสีดำ
นางมะเดื่อเดินดุ่มๆ เข้ามาใกล้เรือนไม้สักทองที่ปลูกสร้างอย่างวิจิตรบรรจงตั้งแต่หน้าบันยันขื่อเสา ล้วนแล้วให้น่าพิศเพลินๆ มิน้อย อ้ายเปลวบ่าวคนโปรดของเจ้าคุณเกื้อกำลังนั่งลูบน้ำมันมวยให้พ่อไก่ชนตัวหนึ่งอยู่ใต้ถุนเรือน เห็นแม่หญิงแปลกหน้าเดินด้อมๆ มาทางเรือนจึงร้องทัก
"แม่มีธุระอันใดรึ"
"ท่านเจ้าคุณเกื้ออยู่ไหม" นางมะเดื่อจ้องหน้าตาไม่กระพริบ อ้ายเปลวกลับสงสัยว่า นางกำลังจ้องมองอะไรกันแน่
"ท่านเจ้าคุณติดแขกอยู่ แม่มีธุระอันใดกับเจ้าข้าหล่ะ" อ้ายเปลวหันไปนวดน่อง ของพ่อไก่ชนต่อ
"แลท่านเจ้าคุณจะว่างเมื่อใด"
"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านจะเสร็จกิจเพลาใด ..นั่นซองอะไรรึ ถ้ามาแค่ยื่นซองเท่านั้น ก็ฝากไว้กับฉันก็ได้ ฉันอ่านหนังสือไม่ออกดอก"
"ฉันมาจากเรือนคุณหลวงมงคลฯ คุณหญิงท่านมีจดหมายมาถึงเจ้าคุณเกื้อโดยตรง" นางมะเดื่อยื่นซองให้ดูแวบหนึ่ง แล้วจึงกล่าวต่อ "สำคัญนักแล ท่านหญิงสั่งให้ข้ามอบให้ถึงมือท่านเจ้าคุณ"
"ไว้ให้แก่ฉันก็ได้ แลอีกนานนะแม่นาง" อ้ายเปลยยังคงนวดน้ำมันมวยให้กับพ่อไก่ตัวนั้นอยู่ เขาง้างปีกยกขึ้นนวดกล้ามเนื้อใต้นั้น พรางหันหน้ากลับมามองนางมะเดื่อต่อ แต่มิได้พูดอะไร แค่จ้องตานางกำลังเหล่ดูสิ่งใด
"ท่านหญิงสั่งให้ฉันมอบให้ถึงมือท่านเจ้าคุณ"
"อ้าว.. แล้วแม่จะรออยู่เช่นนี้หรือ.. อีกนานโขอยู่นะ"
"ท่านหญิงสั่งให้ฉันมอบให้ถึงมือท่านเจ้าคุณ"
"เอ๊ะ.. นางนี่.. พูดจามิรู้ฟัง เช่นนั้นจงยืนอยู่ตรงนั้นแล ท่านเจ้าคุณเสร็จธุระก็จะลงมาเอง" อ้ายเปลวตะคอกใส่นางบ่าวร่างล่ำสันนั้น แล้วหันกลับมานวดไอ้โต้งต่อ.. บัดนี้เจ้าพ่อไก่มันหลับตาพริ้มด้วยความเคลิบเคลิ้ม
บนเรือนหลังเล็กที่แยกตัวจากเรือนใหญ่ ตั้งเยื้องไปทางทิศตะวันตก
ในห้องหนึ่ง ควันสีขาวลอยคว้างอยู่ทั่วห้อง แสงแดดสีส้มส่องผ่านหน้าต่างที่แง้มไว้เพียงนิดลอดเข้ามาปะทะกับควันจางๆ ในห้องจนเห็นเป็นลำแสงพุ่งตรงลงมาทามทาบบนผิวพุง ผ่านไรขนเส้นเล็กๆ บนท้องน้อยของท่านเจ้าคุณ ซึ่งเธอกำลังนอนหงายอยู่ โดยมีเสียงของหญิงสาวนางหนึ่งหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนานดังระรื่นอยู่ในห้อง
นางหาบนั่งคร่อมอยู่บนร่างของท่านชาย ภายในร่างของนางบรรจุส่วนหนึ่งของท่านเจ้าคุณเอาไว้ พรางขยับสะโพกขึ้นลงรับกับแรงกระแทกที่ท่านเจ้าคุณส่งขึ้นมาเป้นระยะๆ มือหนึ่งคีบมวนยาเอาไว้ อีกมือประคองถ้วยแก้วใบน้อยสำหรับเขี่ยขี้ยาไว้
ท่านเจ้าคุณเกื้อเป็นบุตรคนโตของหลวงพระยาสืบศักดิ์สิงหราช โดยผู้เป็นบิดานั้นเป็นขุนนางกินศักดินาหนึ่งหมื่นไร่ รั้งตำแหน่งเจ้าเมืองโททางตอนเหนือของสยาม แลว่าจะอยู่ราชการที่นั่นทั้งชีวิตกับภรรยาคนใหม่แลนางบำเรออีกจำนวนหนึ่ง จำนวนบุตรมากโขจนท่านเจ้าคุณนับไม่ไหว จึงพาลให้ไม่ต้องเสียแรงนับเป็นพี่เป็นน้องไปโดยปริยาย
ดังนั้น เรือนหลังนี้จึงเปรียบเสมือนบ้านอันชอบธรรมที่มีท่านเจ้าคุณเกื้อเป็นนายใหญ่แต่เพียงผู้เดียว ภรรยาของตนก็เเสียชีวิตไปสักห้าปีที่แล้ว บัดนี้ก็มีเรื่องให้คิดให้ทำมากมาย จนความเจ็บปวดดังกล่าวเลือนลางไปตามกาลเวลา การงานก็ต่างไปจากคนในตระกูลนัก ไม่มีงานอันเป็นเกียรติเยี่ยงญาติๆ ของตน รายได้ที่ได้รับนั้น ส่วนมากมาจากสวนไร่นา สวนที่ดินก็มีอยู่กว้างขวาง จึงพอยังตนพร้อมทั้งเจียดเบี้ยให้พวกบ่าวทาสได้อย่างไม่อัตคัดขัดสนนัก อีกทั้งท่านเจ้าคุณโปรดปรานการระครฟ้อนรำเป็นพิเศษ และมีความสามารถทางการประพันธ์บทละครและเล่นเครื่องดนตรีได้แทบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประโคมในวงปี่พาทย์พิณพาทย์หรือวงมโหรี ทำให้การงานทางนี้รุ่งโรจน์อยู่มาก ได้รับให้ออกแสดงตามงานมงคลหรืองานพิธีต่างๆ ในเรือนขุนนางชั้นสูงหลายครั้งหลายคราว จนเป็นที่ยอมรับนับถือ
แต่สิ่งหนึ่งที่ฉาวกระฉ่อนไม่แพ้กัน คือความเป็นเสือผู้หญิงซึ่งมาถูกครหาไปซึ่งมักมากในกามารมณ์ ซึ่งก็มิต่างจากบุรุษในสังคมเท่าไรนัก หากแต่ท่านเจ้าคุณไม่จริงจังกับใครเสียที แม้แต่ตำแหน่งนางบำเรอสักน้อยก็หามีไม่ ทั้งวัยที่มิอาจเรียกว่าหนุ่มได้เต็มปากนัก และก็ยังไม่งอมเกินจึงเป็นเหตุผลให้เจ้าตัวแก้ต่างได้ง่ายว่า "วัยหนุ่มสั้นนัก จักรีบเป็นพ่อคนไปไย ภรรยาคนก่อนไซร้ ยังแนบใจข้าอยู่ไม่รู้ลืม" นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สร้างข้อสังขาไว้กับคนอื่นมากมาย เนื่องจากไม่แน่ใจว่าท่านกลัวการสูญเสียนางที่รักอีกครั้งหนึ่งหรือจักเพลิดเพลินเหินระเรื่อยเช่นแมลงภู่ในดงบัวกันแน่ ท่านเจ้าคุณเกื้อก็มีรูปร่างหน้าตาดี จักหาภรรยานั้นง่ายเสียกว่าขยี้ลูกระนาดนานหนึ่งชั่วยามเสียอีก แต่หญิงใดเล่าจักยอมพลีใจมอบให้เสือผู้หญิงเลื่องชื่อเยี่ยงท่านเจ้าคุณ ยิ่งหมายบรวมคารมอันคมคายเข้าไปด้วยไซร้ เสน่ห์ชายนี้น่ากลัวแท้ มิเคยแพ้ทิฐินางใดเลย ซึ่งนั่นก็เสมือนกับตะขอเบ็ดคม.. จักตกปลาที่ใดก็มักจะได้แต่ปลาตัวโตๆ ติดเบ็ดอยู่เป็นนิจ อย่าว่าแต่ปลาซิวปลาสร้อยเลย
บนเตียงนอน นางหาบบรรจงสูบมวนยาอัดควันเข้าปอดอีกหนึ่งอึดลมหายใจ ทั้งหัวเราะเอาควันออกมาเป็นจังหวะ ท่านเจ้าคุณจับต้นขากระชับไว้แน่นจนเล็บมือที่ยาวนั้น จิกลงบนผิวเนียนงามของนาง แล้วแอ่นเอวขึ้นรับแรงกระเพื่อมสะเทือนจากนางน้อยผู้นั้นซึ่งหัวเราะร่วนออกมาเป็นชุด
"อ่า.. เช่นนั้นแล" ท่านเจ้าคุณหลับตาเงยหน้าขึ้นไปทางหัวนอน ปล่อยให้นางหาบขย่มตัวเองลงเบื้องล่างอย่างต่อเนื่อง "เจ้าช่างร้อนแรงเสียกระไร"
นางหาบหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตายเพราะควบคุมตัวเองไม่อยู่ พยายามบังคับมือตนที่อ่อนปวกเปียกขึ้นมาสูบยาอีกรอบ ชวนให้ร่างกายยิ่งขยับเขย่ากระเส่าซ้ำกระแทกหน้าตักท่านเจ้าคุณอย่างกระชั้น จนเจ้าคุณเกื้อครางออกมาเบาๆ
บ่าวสาวพยายามสะกดอารมณ์ขันของตนที่หลั่งไหลมาเบื้องไหนเจ้าตัวก็ไม่รู้ นางกลัวว่าจะหัวเราะจนจุกตายเสียก่อนเสร็จภารกิจ เพียงเทานี้ก็ระบมไปทั้งสรรพางค์ภายในแล้ว
"บ่าวไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ ยาสูบของท่านเจ้าคุณกระมังคะ ที่ทำให้บ่าวเป็นเยี่ยงนี้" นางหาบส่งเสียงใส ทิ้งมวนยาที่เหลือลงในถ้วยแก้ว แล้วก้มวางถ้วยเขี่ยขี้ยาบนเตียงห่างออกไปวาหนึ่ง
"ก็ดีแล้วมิใช่หรือ ข้าไม่ค่อยเหนื่อย จะได้ออมแรงไว้เล่นกับเจ้าอีกคืนนี้อีกรอบ" ท่านเจ้าคุณขยับก้นกระตุ้นเสียงหัวเราะจากนางหาบต่อ แต่นางก็กลั้นเอาไว้จนได้
"แหม.. แรงของท่านเจ้าคุณเกื้อคงมิมีวันหมดกระมังเจ้าคะ บ่าวเองที่จะกระอักตาย ..แลกัญชาของท่านเจ้าคุณก็รังแต่จะทำให้บ่าวแก่เร็วขึ้นอีก จะเป็นนางเอกละครรำได้อีกสักกี่เรื่องเทียวเจ้าคะ"
"อย่าห่วงไปเลย เจ้าจะได้เป็นนางเอกของข้าไปอีกนาน"
"นางเอกแต่ในโรงฟ้อนเช่นนั้นกระมังคะ นางเอกตัวจริงของท่านเจ้าคุณคงเป็นหญิงคนอื่น" นางหาบเริ่มโยกขึ้นโยกลงบ้าง ท่านเจ้าคุณก็กระเด้งกระดอนท่อนล่างขึ้นมาเป็นจังหวะช้าๆ ท่านมองหน้าอกสาวเขย่าเด้ง
"ดูสิ ขนาดยังไม่ได้ทรงเครื่องเลย เจ้าก็เต้นระบำเสียแล้ว" ท่านเจ้าคุณหัวเราะเสียงดัง ส่งแรงกระแทกกลับขึ้นไปบ้าง นางหาบโอบมือข้างหนึ่งขึ้นมาปิดหน้าอกตัวเองด้วยความขวยเขินปนงอน มืออีกข้างวางยันไว้บนพุงท่านเจ้าคุณ หันหน้าม้วนหลบนิ่งเสียเฉยๆ
เจ้าคุณเกื้อกระแทกแรงๆ หนึ่ง นางหาบกระเด้งตัวขึ้นตามจังหวะ แต่ก็ยังไม่หันหน้ามามอง ท่านเจ้าคุณจึงเอ่ยขึ้น
"แล้วเจ้าจะว่าเยี่ยงไรหล่ะ หากเจ้าไม่ได้เป็นนางเอกในดวงใจของข้าจริงๆ"
นางหาบรีบหันควับกลับมามองท่านเจ้าคุณทันที "มิได้ดอกเจ้าค่ะ บ่าวรู้ตัวดีว่าต้อยต่ำนัก" นางหาบโผร่างขึ้นตั้งตรง ชันมือทั้งสองข้างบนข้อมือของท่านเจ้าคุณที่จับอยู่ตรงต้นขาของนาง แล้วบดบี้กดทับขยับหมุนอย่างชำนาญวิถี
"หากเจ้าต้อยต่ำนัก ไยจึงได้ขึ้นมาคร่อมอยู่บนตัวข้าเยี่ยงนี้" ท่านเจ้าคุณหยุดชะงัก เงยหน้าขึ้นมองบ่าวสาว
"บ่าวมิกล้าเจ้าค่ะ" นางหาบตกใจทำหน้าเหลอหลาไม่ถูก ว่าแล้วจึงตาลีตาเหลือกลุกขึ้นทันที แต่ฝ่ามืออันอ่อนนุ่มของท่านชายฉวยคว้าเอาไว้ได้ แล้วฉุดกระชากลงมานอนแนบข้างกาย พลันท่านเจ้าคุณเกื้อก็ลุกขึ้นนั่ง ขยับร่างเข้าไปตรงปลายเท้าบ่าวสาว พรางดึงขาลากตัวเข้ามา สอดหน้าตักเข้าแทรกกลางลำตัว จับขาทั้งสองพาดอ้อมไปด้านหลังแล้วจัดขยับรุกคืบเข้าสู่ภายใน
"อย่างนี้สิ ถึงจะสมความเป็นบ่าวเป็นนายกันหน่อย" ท่านเจ้าคุณส่งยิ้มให้หนึ่งที แล้วกระแทกเป็นทำนองสร้อยเล็กน้อยก่อนที่จะขับดหมโรงเบิกฤกษ์ลำนำยาวกระแทกประทั้นเข้าสู่เบื้องลึก
นางหาบเปลี่ยนสีหน้าจากตกใจหน้าซีดมาเป็นอมยิ้มหน้าแดง "ท่านเจ้าคุณทำบ่าวใจหายหมดเลยเจ้าค่ะ" พรางตีมือหนึ่งลงท่อนแขนกำยำที่เกาะเอวนางแน่นนั้นไว้ ผินหน้าหลบไปข้างๆ ด้วยความเขิน แล้วเริ่มส่งเสียงหัวเราะครวญออกมาอีกละลอก
เจ้าคุณเกื้อเริ่มบรรเลงเอวเบียดสะบั้นบั้นท้ายสาวผู้นอนทอดกายอยู่ตรงหน้า ขยับแรงจากสะโพกเข้ากระทบขบกันส่งแรงให้หน้าอกนางกระเพื่อมขึ้นล่องเป็นผักบุ้งโต้คลื่นคลอง ท่านจึงเอื้อมมือขึ้นไปตะล่อมหน้าอกนางที่เป็นระนาบนั้น ปั้นขึ้นเป็นทรงพร้อมกับบดบี้ขยี้เย้ยเนื้อในมือนั้นอย่างสำเริงฤทัย ปากเม้มสนิท เหงื่อไหลเป็นทางยาวจากกระหม่อมเลื้อยเป็นทางยาวลงมาถึงไหล่ ย้อยผ่านกร้ามแขนที่เกร็งขึงแล้วลื่นไปผสมกับเหงื่ออีกหยาดหนึ่งตรงข้อผับศอก จึงแล่นลงสู่ข้อมือแลเป็นหยดน้ำบนผิวท้องนางหาบตรงนั้น
นางหาบหายใจเป็นจังหวะถี่ๆ บัดนี้เธอเริ่มรู้สึกถึงความร้อนภายในที่จักกลายเป็นพลังอันท่วมท้นนั้นแล้ว ท่านเจ้าคุณยังรักษาแรงไว้ที่เบื้องล่างเป็นอย่างดี โน้มตัวเข้ามาใกล้นางหาบเรื่อยๆ จนนางต้องกางขาให้กว้างขึ้นเพื่อรับทรวดทรงตรงมนของท่านเจ้าคุณนั้น ให้พอดีกับบั้นท้ายของนาง บางอย่างภายในเดือดพล่าน แต่นางยังเก็บซ่อนอารมณ์มิให้ปลดปล่อยออกมาตอนนี้ ด้วยว่าจะยืดเวลาแห่งความสุขสะท้านครั้งนี้ให้นานเข้าไปอีก และรอบทพรรณนาที่ท่านเจ้าคุณกำลังจะเอื้อนออกมาเป็นเพลงในจังหวะสุดท้าย
จู่จู่ท่านเจ้าคุณก็ก้มหน้าลงจูบตรงหน้าท้องนางหาบ จนตัวนางกระตุกเล็กน้อย นั่นเองที่เหมือนเข็มสะกิดเยื่อบางๆ นางให้แทบจะปะทุออกมาเป็นดอกไม้ไฟอยู่รอมร่อแล้ว พรางโยกขยับรับแรงท่านเจ้าคุณอีกรอบ เล็บของท่านเจ้าคุณกดลงเป็นเนื้ออ่อนๆ ของนาง แต่จุดรวมความรู้สึกของนางนั้น บัดนี้กำจัดอยู่ ณ ตำแหน่งเดียวเท่านั้น
ท่านเจ้าคุณฟังสรรพเสียงรอบๆ บริเวณ วงปี่พาทย์ข้างๆ เรือนเงียบเสียงลงไปนานแล้ว ที่แว่วๆ อยู่ก็เหลือเพียงเสียงครกจากเรือนครัว เสียงตำย้ำถี่เป็นจังหวะที่สม่ำเสมอจนท่านเจ้าคุณกำหนดจังหวะตามเสียงครกนั้น แล้วโน้มตัวขึ้นคุกเข่ายื่นหน้าขาพุ่งออกไป นางหาบเกร็งขาไขว่รัดรอบสะโพกท่านเจ้าคุณ เจ้าคุณเกื้อกระแทกตอกกลับตามเสียง ป๊อกๆ พลันกล่าวกลอนด้วยเสียงกระเส่าขาดห้วง
" เสียงสะบั้นตะบันบี้ยีทแยง เม็ดหอมแดงแซงแทรกจะแตกไหม
ขยับโยกโขกขบตลบไป พลันสงสัยไยหอมแดงตะแคงตัว
จึ่งจ้วงจกยกสากลากกวัด ตะลุมอัดซัดไซ้ไม่โงหัว
อีหอมแดงแรงคึกชักนึกกลัว สะบัดมั่วตัว..แตก..แหลก..เป็นธาร "
ยังไม่ทันจะเอ่ยวรรคสุดท้ายจบดี นางหาบก็โผร่างเข้ากอดท่านเจ้าคุณไว้ ฝังมุมเล็บจิกเข้าที่หลังท่าน กระตุกตัวรับสุธาธารอุ่นจากเจ้าข้าที่หลั่งล้นเข้าสู่ภายใน นางหาบมิกล้าขยับตัวแม้แต่น้อย ได้แต่ก้มหน้าซบแผงอกท่านเจ้าคุณ แลครางหงิงๆ เป็นลูกแมวบนยอดมะขามอยู่เช่นนั้น
ท่านเจ้าคุณค่อยๆ ขยับย่างกายออกมาจากกายนาง บ่าวสาวกระตุกต้อยๆ อีกครั้ง รู้สึกหวิวซ่านไปทั่วกายดั่งว่ากาน้ำกว่าจะเดือดมันก็ร้อนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อต้มเสร็จแล้วก็ใช่ว่าจะจบกัน ความร้อนมันยังคุกรุ่นอยู่ในพวยกาอยู่ดี
ต่างคนต่างลงนอนแผ่บนเตียงด้วยความเหนื่อยล้า ไม่นานนางหาบก็ลุกขึ้นนุ่งผ้า พันผ้าแถบรอบหน้าอกอย่างลวกๆ ส่งยิ้มหวานหน่อยหนึ่งให้เจ้าคุณที่นอนแผ่สองสลึงบนเตียงที จึงสาวเท้าเดินออกจากห้องไป
อ้ายเปลวเพิ่งเอาเล้าไม่ไผ่สานครอบพ่อไก่ชน แลกักไว้ใต้ถุนเรือนใหญ่เพื่อกันมิให้มันเที่ยวไปหาอะไรกินผิดสำแดงแลจะอ้วนไม่สมส่วนเสียเปล่าๆ นางมะเดื่อยืนหลบแดดเข้ามาใต้ชาน อ้ายเปลวหันไปเห็นนางหาบเดินลงมาจากบันไดเรือนเล็กที่ถัดออกไปไม่ห่างนัก
"นั่นประไรนางหาบลงมาแล้ว เจ้าข้าคงเสร็จธุระแล้วกระมัง" อ้ายเปลวพยักหน้าไปทางสาวน้อยรูปร่างอรชรอ้อนแอ่นที่ตะล่อมผ้านุ่งยุ่งๆ เดินอ้อมหลังเรือนมุ่งหน้าสู่โรงฟ้อน
"อ้าว.. แล้วทำไมไม่บอกฉันแต่แรกว่าเจ้าคุณเกื้ออยู่เรือนนั้น" พูดจบนางมะเดื่อก็จ้ำอ้าวไปทางเรือนเล็กอย่างรวดเร็ว
"แม่จะไปไหนนั่น" อ้ายเปลวสะบัดผ้าพันคอขึ้นบ่า แล้ววิ่งตรงไปห้าม "แม่จะขึ้นเรือนเลยหรือเยี่ยงไรกัน"
"ก็ใช่สิ ธุระด่วนจากคุณหญิงกลิ่น จะให้ฉันช้าอยู่ไย" นางมะเดื่อยังเดินต่อไปไม่ลดละ
"แม่เป็นแขกต่างเรือน ไม่เกรงใจเจ้าข้าเจ้าคุณบ้างเลยรึไร" อ้ายเปลววิ่งมาขวางหน้าไว้ทัน ตรงทางขึ้นบันไดพอดี นางมะเดื่อชะงักตัวทันเกือบจะชนคมำกันเสียแล้ว
"ธุระสำคัญ จะมัวชักช้าอยู่ไย" ว่าแล้วจึงพลักร่างบ่าวหนุ่มผู้นั้นลงหงายท้องไป พลันนางมะเดื่อวิ่งขึ้นบันไดเรือนไป ไม่ฟังเหนือฟังใต้
ท่านเจ้าคุณโผล่หน้าออกมาจากห้องร่างเปล่าเปลือยล่อนจ้อน แสงตะวันแยงตาจนต้องเอามือกันแสงเอาไว้
"เอะอะอะไรกันวะ อ้ายเปลว" ท่านเจ้าคุณตะโกนส่ง
"ว้าย.. ตะเถนตกกะไดร่วงบ้าน" นางมะเดื่อตกใจ รีบหันรีหันขวางผินหน้าหนีภาพตรงหน้าพลางหมองก้มอยู่ตรงลานเรือน
เมื่อสายตาชอนแสงสว่าง ท่านเจ้าคุณก็เหลือบตามองมาทางต้นเสียงที่เป็นผู้หญิง เห็นนางมะเดื่อหันมามองอีกรอบ
"เฮ้ย! มึงเป็นใครวะ" เจ้าคุณเกี้อเห็นหน้าแม้เพียงลางพรางแสงของนางมะเดื่อ พลันตกใจรีบถลันเข้าห้องอย่างรวดเร็ว "มึงเป็นใครวะ" เสียงตะโกนออกมาจากข้างในห้อง แลตะโกนด่าบ่าวชายปาวๆ "อ้ายเปลว มึงเอาเปรตที่ไหนมาขึ้นเรือนข้าวะ"
อ้ายเปลวย่องขึ้นบันไดมาพอดี เนื้อตัวท่อนบนเปื้อนโคลนเป็นปื้นเลอะเปลอะไปทั่ว มันทำหน้าเหยเกมาแต่ไกลเพราะรู้ดีว่า เรือนแห่งนี้ใช่คนอื่นจะขึ้นมาได้ง่ายๆ ยังเป็นสตรีเยี่ยงนางมะเดื่อด้วยแล้ว นับว่าเป็นบุญโขของนางโดยแท้ อ้ายเปลวไต่ถึงพื้นเรือนก็กุลีกุจอยอบตัวผ่านเข้าไปในห้องนอนของท่านเจ้าคุณไป
"ขอรับ"
"มึงปล่อยให้ผีที่ไหนขึ้นเรือนกูมาวะ กูตกใจแทบแย่ มึงรีบไล่มันลงไปบัดนี้เลย"
"นางมาจากเรือนคุณหลวงมงคล ขอรับ บอกว่ามีจดหมายจากคุณหญิงกลิ่นมาถึงท่านเจ้าคุณขอรับ"
"แล้วเอ็งไม่รับมาเลยเล่า"
"ผมก็บอกนางแล้ว แต่แม่นางย้ำนักย้ำหนาว่าจะต้องมอบถึงมือท่านเจ้าคุณเองขอรับ"ไไ
"กูไม่รับกับมือมันหรอก เอ็งไปเอามาทีบอกว่าข้าสั่ง"
"แต่นางบอกว่าจะมอบให้ถึงมือท่านนะขอรับ"
"อ้าว..มึงนี่อย่างไรกัน ใครเป็นนายกันแน่วะ ไปเอามาแล้วรีบไล่มันกลับไปโดยเร็วเลย"
"ขอรับ"
สิ้นเสียง นางมะเดื่อก็เห็นอ้ายเปลวคลานออกมาจากห้อง แลลุกขึ้นเดินมาหานาง
"ได้ยินชัดไหม มอบให้ข้าเสียแต่ทีแรกก็สิ้นเรื่อง" อ้ายเปลวเอื้อมมือไปรับซองกระดาษตรงหน้า "ให้แล้วก็จงกลับไปเถิด อย่าให้ท่านเจ้าคุณต้องอารมณ์เสียกว่านี้เลย"
"ประเดี๋ยว! " ท่านเจ้าคุณเดินออกมาจากห้อง นุ่งผ้าปกปิดส่วนสำคัญแลเดินมายืนประจันหน้านางมะเดื่ออยู่ห่างๆ "เอ็งอ่านให้ข้าฟังทีซิอ้ายเปลว เผื่อต้องตอบจดหมายกลับเดี๋ยวนี้เลย"
"ขอรับ" อ้ายเปลวเปิดซองจดหมายที่พับง่ายๆ มาสามทบ เห็นตัวหนังสือเขียนด้วยความบรรจง เป็นกลอนสี่วรรค เขาหันมองนางมะเดื่อหน่อยหนึ่ง เพราะก่อนหน้านี้เพิ่งบอกกับนางไปว่าอ่านหนังสือไม่ออก ทั้งที่มันเองได้รับการสอนมาจากท่านเจ้าคุณเกื้อเอง จนสามารถอ่านออกเขียนได้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นบุญคุณที่ยิ่งใหญ่อีกประการนอกเหนือจากความเป็นนายเป็นบ่าว เมื่ออ่านทวนในใจรอบหนึ่งแล้วจึงเปร่งเสียงอ่านออกมาชัดเจน
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ถึงพ่อเกื้อน้องรัก
ภุมรินบินหาผกากาญจน์ น้ำค้างหวานไหวไหวไม่หันหา
ตะวันเที่ยงเบี่ยงบ่ายละลายลา บุษบาหันเหเกสรไกล
คุณหญิงกลิ่น
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
"แหม่ช่างไพเราะกระไรอย่างนี้นะขอรับ" อ้ายเปลวอ่านจบก็ยิ้มกริ่ม ส่งกระดาษต่อให้ท่านเจ้าคุณ เจ้าคุณเกื้อลอบยิ้มให้กับความนัยที่ซ่อนมาในกลอน พรางเดินถือกระดาษลงเรือนไปด้วย
"ตามข้าไปที่เรือนใหญ่ ประเดี๋ยวข้าจะตอบกลับถึงคุณหญิงกลิ่นเลย"
อ้ายเปลวหันมามองหน้านางมะเดื่อ เห็นน้ำตาของนางไหลเป็นทางยาวประแก้มทั้งสอง นางมะเดื่อปาดน้ำตาเสีย
"แม่ร้องไห้ทำไมรึ"
"พวกท่านไม่ให้เกียรติข้าเลย" นางมะเดื่อก้มหน้าสะอื้นไห้
"ไม่ให้เกียรติเยี่ยงไรเล่า ขนาดแม่ยังไม่ฟังคำฉันเลย ท่านเจ้าคุณไม่เอาเรื่องแม่นางก็มากโขอยู่แล้ว"
"พวกท่านไม่ให้เกียรติข้าเลย"
"เอ๊ะ.. แม่นี่เป็นเยี่ยงไรกัน พูดย้ำอยู่นั่นเอง ข้าชักรำคาญเสียแล้วสิ เช่นนั้นจงรีบลงเรือนตามท่านเจ้าคุณขึ้นเรือนใหญ่ไปบัดนี้เลย แล้วก็รออยู่ที่ชานนะแม่ ไม่ใช่เสนอหน้าไปถึงห้องนอนเจ้าข้าอีกล่ะ"
อ้ายเปลวลุกขึ้นแล้วเดินลงจากเรือนเล็กไป นางมะเดื่อเดินตามลงมาน้ำตาแห้งเหือดไปสิ้น คงเหลือไว้แต่คราบบางๆ จากนั้นจึงล้างเท้าเดินขึ้นเรือนใหญ่ไปทันที เหล่านางครัวทั้งหลายกำลังยกสำรับกับข้าวมาไว้ที่ชานยกกลางลาน อาหารมากมายทยอยนำมาวางรอให้ท่านเจ้าคุณได้สุขเกษรเปรมมัน นางมะเดื่อหมอบอยู่ลานใกล้ประตูทางเข้าออก ได้ยินเสียงท่านเจ้าคุณดังมาแต่ไกล
"เมื่อครู่นี้ใครตำน้ำพริกหรือ" เจ้าคุณเกื้อหันไปถามบ่าวคนหนึ่งที่กำลังวางชามแกงเลียงลง
"ตำน้ำพริกหรือเจ้าคะ บ่าวเองเจ้าค่ะ"
"นางเอียด!" ป้าแก่ที่นั่งอยู่ใกล้ตะคอกใส่สาวใช้ผู้นั้นไป แล้วจึงหันไปพุดกับเจ้าคุณว่า "มีป้าแก่อยู่ทั้งคน ใครตำก็รสเหมือนกันเจ้าค่ะ"
"เออ.. เข้าท่าดีนะ เช่นนั้นเจ้าชื่อเอียดใช่ไหม คืนนี้จัดสำรับกับข้าวในห้องนอนให้ฉันหน่อย หลังยามสองนะ" นางเอียดก้มเหนียมเจียมอาย พลันสงสัยว่าท่านหมายความว่าเช่นไรกัน ป้าแก่มองบ่าวใต้อาณัติตนตาขวาง เมื่อเจ้าคุณเกื้อพูดจบก็เดินไปหานางมะเดื่อแล้วส่งซองกระดาษให้นาง มิได้พูดอะไรเพิ่มท่านก็เดินกลับเข้าเรือนไป
นางมะเดื่อเดินลงบันไดเรือนใหญ่มา จ้วงเท้าย่างสามขุมถึงท่าเทียบเรือ แลก้าวลงเรือไประหว่างทางกลับคลองพิกุล นางก็รำลึกไปตลอดทางว่า "พวกท่านไม่ให้เกียรติข้าเลย"