ยายเล่าว่า สมัย ยายเป็นเด็ก กรุงเทพฯเฉก เมืองแมน แสนน่าอยู่ ทั่วนคร ร่มรื่น ดื่นคลองคู ต้นก้ามปู สูงใหญ่ เรียงรายครัน เพื่อนบ้านมี น้ำใจ ไมตรีจิต เยี่ยงญาติมิตร พึ่งพา สมานฉันท์ ปรุงอาหาร กับแกง ก็แบ่งปัน คนยุคนั้น จริงใจ ไร้มารยา ค่าครองชีพ ประจำ ยังต่ำนัก ทองคำหนัก บาทหนึ่ง พึ่งร้อยกว่า ทั้งข้าวสาร เนื้อหมู กุ้งปูปลา ถูกจนน่า พิลึก ยามนึกไป อากาศดี ถนน ไร้มลพิษ รถไม่ติด จอแจ แม้ไปไหน คุณภาพ ชีวิต และจิตใจ ต่างกันไกล ลิบลับ กับเดี๋ยวนี้ ปัจจุบัน ภาพเช่นนั้น ผันแปรแล้ว มิเหลือแวว แนวสันติ-สุขวิถี ความเป็นไทย สืบกัน นับพันปี ถูกแทนที่ ด้วยสังคม อันงมงาย ฟังยายเล่า ครั้งใด ไดข้อคิด เมื่อพินิจ ลึกไป ยิ่งใจหาย คนรุ่นใหม่ เห็นแก่ตัว มั่วอบาย ดูวุ่นวาย ฉุกละหุก ทุกชีวิน น่าเสียดาย เอกลักษณ์ หลักล้ำเลิศ มาเตลิด หันเหียน เจียนสูญสิ้น หวังร่ำรวย ตั้งหน้า แข่งหากิน ความโศภิน สงบ จึงลบเลือน
1 กันยายน 2554 17:37 น. - comment id 1207041
สัจธรรมง่ายง่ายนะยายจ๋า อันโลกาทุกนาทีมีขับเคลื่อน หมุนรอบวงวันวารผ่านปีเดือน รวดเร็วเหมือนโกหกอย่าตกใจ คนออกลูกออกหลานเต็มบ้านช่อง แข่งกันร้องใครดังตั้งเป็นใหญ่ แข่งกันแรงลองกำลังวังชาไป ตามวิสัยสัตว์จะทำธรรมดา เบือกรุงเทพฯมากมายหมายหลีกหนี จากเมืองศรีวิไลไปอยู่ป่า หรือจากไทยไปอยู่อเมริกา ย่อมพบเจอปัญหาผุดมารอ หากหยุดใจเราได้สบายสุด ง่ายกว่าหยุดโลกให้ไม่หมุนต่อ ย้อนโลกย้อนยุคเก่าเท่าไรพอ โลกคงท้อคนจับหมุนกันวุ่นวาย
1 กันยายน 2554 19:00 น. - comment id 1207047
โลกหมุนเวียนเปลี่ยนไปใจคนเปลี่ยน จึงขีดเขียนระบายคล้ายเพ้อเจ้อ คนยุคใหม่สะสวยรวยเลิศเลอ แต่ฟุ้งเฟ้อกันนักจึงตักเตือน คนคิดเป็นคิดได้ย่อมไม่โกรธ สิ่งควรโทษคือวิถีที่แปดเปื้อน เสียดายแต่ขนบถูกลบเลือน ย่อมสะเทือนใจคนแก่ก็แค่นั้น