เมื่อมาถึง เวลาหนึ่ง จึงรู้สึก ได้สำนึก ความเป็นไป อย่างไรนั่น ทั้งที่คิด ว่าเราต่าง เป็นเพื่อนกัน ได้มาฝัน ได้บอกเล่า ผ่านบทกลอน เคยมีทั้ง เหล่าพี่น้อง และผองเพื่อน ไม่ลืมเลือน ครูอาจารย์ ที่คอยสอน ทั้งแนะนำ และบอกกล่าว ในบ้านกลอน ไม่ลิดรอน สิทธิ์ของใคร ได้พึงมี ได้โอกาส ฝึกฝีมือ คือศึกษา ใช่ตำรา แต่เป็นคน ในบ้านนี้ เป็นตัวตน ที่คงใช่ ที่ใจมี เป็นคนดี ที่คงใช่ ในบ้านกลอน แต่เมื่อถึง เวลาหนึ่ง จึงรู้แน่ ว่าที่แท้ มีมากมาย ที่หลอกหลอน มิตรที่แท้ ก็มีบ้าง ในบ้านกลอน ที่คลางคลอน ที่เคลือบแฝง ก็คงมี เมื่อเรามี ทัศนคติ ไม่ตรงกัน เธอกับฉัน เป็นศัตรู ไปหรือนี่ ไม่เลือกข้าง ถือเป็นกลาง ยังไม่ดี ให้เฉยสิ ถึงเป็นกลาง ในทางเธอ. พอไม่เลือกเข้าข้างตนเอง ก็โยนให้เป็นฝ่ายตรงกันข้ามทันที พอความคิดเห็นไม่ตรงกัน ก็หาว่าเข้าข้างฝ่ายตรงกันข้าม พอพูดถึงเรื่องฝ่ายตนเองเข้าบ้าง ก็อ้างว่าเชื่อฝ่ายตรงข้าม ถ้ามีใครมีความคิดเห็นไม่ตรงกับฝ่ายของตนเองและบังเอิญเดิน เข้าไปในกลุ่มแล้ว..จะเกิดอะไรขึ้น นี่ขนาดแค่เป็นบทกลอนที่ออกมาโต้ตอบกันในบ้านกลอนเท่านั้น ยังไม่ทันได้เห็นหน้าตา ยังไม่ทันได้รู้จัก ยังไม่ทันได้รู้นิสัยใจคอกัน ยังมีทีท่ากันถึงขนาดนี้ ถ้าหากเจอหน้ากันจะๆแล้ว..จะเป็นยังไง มีใครเคยคิดบ้างไม๊ คิดว่าทั้งสองฝ่ายจะฟังความคิดเห็นของคนอื่นบ้างไหม ในเมื่อเท่าที่อ่านดูก็รู้แล้วว่า ถ้าใครมีความคิดเห็นไม่ตรงกันกับเขา เขาก็จะกำหนดว่าเราเป็นฝ่ายตรงข้ามทันที.. นี่คือเหตุผลของความต้องการให้มีการหยุดการชุมนุมกัน เพราะประชาชนที่สนับสนุนทั้ง 2 ฝ่าย ต่างก็คิดกันแต่แบบนี้ ยิ่งปล่อยให้ยืดเยื้อ เรื่องยิ่งรุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ
4 มิถุนายน 2551 14:15 น. - comment id 857186
ได้ข่าวว่าสาวเจ้าบวชเป็นชี สูญเสียความดีที่น้องได้มา ถูกมารสังคมหลอกขาย รอดตายกลับมา.....อยากไปเยี่ยมไปหา... กลัวเอาน้ำตามาอวดแม่ชี เอาเพลงมาฝากครับ ยังจำกันได้ไหมเอ่ย
4 มิถุนายน 2551 15:26 น. - comment id 857203
คิดไปเอง .อย่าน้อยใจอะไรเลย. การเมืองแบบนี้แหละ คือการต่อสู้เอาเป็นเอาตาย ไม่ใช่เล่น อยู่ที่เราจะเข้าใจธาตุแท้การเทมืองหรือไม่ มนุษยธรรมใช้ไม่ได้กับการเมืองเลย มองการเมืองไทยเดือนตุลาคมและพฤษภาคมที่ผ่านมาเป็นตัวอย่าง ที่ตายเพราะมีจิตใจมนุษยธรรม แต่ไม่เข้าใจธาตแท้การเมือง และนักการเมืองโดยเฉพาะพวกฉวยโอกาสทางการเมือง อันตรายที่สุดเพราะเข้าทุกฝ่าย การเมืองมีความชอบธรรมและไม่ชอบธรรม มีความถูกผิดกำหนดชัด ไม่มีหรอกที่ว่าความเป็นกลางในความถูกต้องชอบธรรมหรือความยุติธรรมที่จะให้อ้างว่าเป็นกลาง มิฉะนั้นเราต้องยืนถ่างขาทั้งสองข้างได้กระนั้นหรือ ....อานั้นท์ ปันยารชุนให้ข้อคิดได้น่าฟังหรือไม่ว่าคนไทยไม่รู้ประเด็นข้อเท็จจริงในปัญหาการเมือ ง สำคัญคือไม่ใช้สติปัญญาพิจารณาปัญหา การเมืองไม่ใช่แค่ปรากฏการณ์ที่เห็นแล้วก็สรุปถูกผิดได้ ควรต้องมองให้เห็นเนื้อแท้ของมัน ยิ่งการเมืองไทยวันนี้ สารพัดวิชามาร ลับลวงพรางมากมาย ...ต้องใจเย็นๆ ศึกษาการเมืองมาตลอดชีวิตยังไม่ทะลุเหมือนอ่านสามก๊กนั่นแล .......
4 มิถุนายน 2551 15:53 น. - comment id 857209
ไม่จริงหรอกค่ะ ประเด็นการเมืองก็ส่วนประเด็นการเมือง แสดงความคิดเห็นกันแล้วก็จบกันไป เป็นการแสดงความคิดเห็นที่เกี่ยวเนื่องกับงานที่นำมาลงเนาะ ถ้าเขียนงานอกหักรักหวานซึ้ง แล้วมาแสดงความคิดเห็นเรื่องการเมืองนี่สิ ผิดที่ผิดทาง.. อาจมีความเห็นต่าง แถมมีแบ่งข้างทางการเมืองอีกด้วย.. ก็แค่เรื่องการเมือง แต่เรื่องงานเขียนงานกลอน รวมถึงมิตรภาพ นั่นเป็นอีกเรื่องนึงทุกคนแยกได้น่า.. ไม่มีใครนำมาปะปนกันหรอกค่ะ เชื่อสิ.. ยิ้มนะคะ.. 58%
4 มิถุนายน 2551 15:55 น. - comment id 857211
น่าน.. น.. จะส่ง เลยเหลือแค่ 58% เลย
4 มิถุนายน 2551 16:44 น. - comment id 857232
ถึงความเห็นแตกต่างกันก็ยังเป็นเพื่อนกันได้นี่นา... เราไม่เชื่อหรอกว่าการเมืองจะทำให้เราขาดจากกัน...คิดว่ามันเป็นคนละเรื่องน่ะ.. เหมือนเราชอบดาราคนนั้น แต่เธอชอบคนนี้ เราก็ยังไปดูหนังโรงเดียวกันได้นี่นา..เพราะเราชอบเนื้อเรื่องมากกว่าใช่ม๊า...
4 มิถุนายน 2551 17:24 น. - comment id 857237
อัลมิตราเขียน .. ขอยืนยันเยี่ยงมิตรว่าคิดกลาง ไม่อำพรางแม้นเฉียดคำเดียดฉันท์ ความเห็นที่เทียบขาวพราวลาวัลย์ ปราศสีสันสองฝ่ายหมายละเลง เพื่อนของอัลมิตราล้อมา .. อย่าพกเพ้อเพี้ยนผิดว่าคิดกลาง อย่าอำพรางตัวตนคนปิดกั้น ไม่มีหรอกสีขาวพราวลาวัลย์ มีแต่สีแสบสันลากบรรเลง หลังจากนั้น ทั้งเพื่อนและอัลมิตราต่างก็หัวเราะกันแทบตาย ต่างคนต่างขำก๊าก .. :)
4 มิถุนายน 2551 18:31 น. - comment id 857247
เป้นเช่นนั้นจริงๆๆคะ บางคนโยนความผิดทั้งที่เราไม่รู้ เราผิดอะไรในบ้านนี้ แต่ก็นั่นแระ จริตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ปล่อยเค้าฝ่าฝัน กับสิ่งที่เค้าคิดไม่ดีต่อไปเองเหอะคะ ไม่เข้าข้างใคร แต่ขออยู่ตรงกลาง นะคะ ปัญญาชนทั้งนั้น ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ อย่าถือสาคะ
4 มิถุนายน 2551 19:33 น. - comment id 857262
"เห็นดีก็เฉย เห็นชั่วก็เฉย นั้นไม่ใช่อุเบกขาในพระพุทธศาสนา อันไม่ใช่สิ่งที่น่าจะควรกระทำและควรยินดีแม้ในโลก" ขอแสดงความคิดเห็นเพื่อชาติมาดังนี้นะ คุณน้ำผึ้งเดือนห้า
4 มิถุนายน 2551 19:50 น. - comment id 857265
(ที่ขยับแล้วขออภัย)
4 มิถุนายน 2551 20:41 น. - comment id 857296
พี่น้ำผึ้งเดือนห้าครับ ถ้าพี่กลางจริงนี่ผมคารวะพี่มากๆจากใจจริงเลยละครับ เดี๋ยวนี้หากลางจริงได้ยากมากๆๆๆๆๆๆเลยล่ะ ผมดีใจมากๆที่มีคน"กลาง"จริงๆ มีแต่กลางแล้วเฉไปทางนั้นบ้าง ทางนี้บ้าง ข้างนั้นบ้าง ข้างนี้บ้าง ผมละเบื่อ คนกลางจริงๆมีเยอะแยะแต่ก็น้อยกว่าคนที่กลางไม่จริงมากนัก
4 มิถุนายน 2551 21:00 น. - comment id 857306
คำพูดของท่านจันทร์ที่พี่ลักษณ์นำมาเม้นให้ก็น่าคิดมากๆเลยนะครับจริงไหมพี่...
4 มิถุนายน 2551 21:29 น. - comment id 857310
กางแขนกางขาได้ปะ มาโดนทำโทษน่ะ แต่ตัวเองไม่ค่อยเป็นกลาง แบบว่ารำตะแคงน่ะ
4 มิถุนายน 2551 21:46 น. - comment id 857313
ถ้าเป็นกลางในเรื่องของคุณ ของเพื่อนคุณ ครอบครัวคุณ ที่ทำงานคุณ ทุกคนเขาก็เป็นกลางกับคุณได้เช่นกัน แต่ภาวะที่บ้านเมืองถึงใกล้ถึงจุดวิกฤต ระบบการปกครองต่างๆของประเทศกำลังล่มสลาย ตั้งแต่เศรษฐกิจ สังคม จริยธรรม การโกงคอรับชั่นแบบอภิมหาโคตร การโยกย้ายข้าราชการน้ำดีที่ไม่เอื้อผลประโยชน์ การแก้กฎหมายทำสมบัติชาติเป็นของตนแล้วนำไปขายต่างชาติ รวมถึงขบวนการล้มล้างระบอบที่คนไทยเทอดทูน รู้จักไหม ใต้ฟ้าเดียวกัน 29 web ที่ICT นิ่งเฉย สิ่งที่พูดทั้งหมดคือโดยย่อ ฉันรู้ว่าเรื่องแบบนี้มันคงเข้าใจยากสำหรับบางคนที่ต้องการเป็นกลาง เพราะคนเหล่านี้ ไม่เคยให้ความสนใจอย่างจริงจัง ฝันว่าการเป็นกลางจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ในสังคมที่ความยุติธรรมกำลังจะมีแค่ในพจนานุกรม มันง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ ประเทศที่ประชาชนไม่คิด ไม่ทำ ปิดหูปิดตาตัวเอง เท่ากับประเทศกำลังถอยหลัง และถ้าคุณเป็นกลางจริง คุณคงไม่นึกโกรธคนที่รักชาติหรอก ..
5 มิถุนายน 2551 14:16 น. - comment id 857535
ใจเย็นจ๊ะ....
6 มิถุนายน 2551 12:01 น. - comment id 857904
ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนจำไว้เถอะจ้า ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดเป็นดีในยุคการเมืองปัญญาอ่อนแบบนี้
6 มิถุนายน 2551 12:13 น. - comment id 857911
อานันท์ ปลุกสังคมไทยอย่าเป็นกลางด้วยการนิ่งเฉย ต้องเลือกยืนข้างความถูกต้อง ข้องใจเวลานี้เป็นรัฐบาลของคนทั้งประเทศหรือไม่ ระบุผู้นำต้องกล้ารับผิด เตือนสังคมกำลังแตกแยก ความอยุติธรรมพุ่งถึงขีดสุด ยืนยันกติกาไม่ใช่การเลือกตั้งเท่านั้น ต้องสามารถโต้แย้งได้ นายอานันท์ ปัญยารชุน ประธานองค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย กล่าวปาฐกถาก่อนการเสวนาทางวิชาการในหัวข้อ ปฎิรูปสังคมและการเมือง ครั้งใหม่ เมื่อ วันที่ 30 สค. 2549 ว่า คงต้องยอมรับว่าสถานการณ์ภายในประเทศขณะนี้เป็นสถานการณ์ที่อ่อนไหว และน่าเป็นห่วงอย่างมาก ปัจจุบันเวทีแห่งการโต้แย้ง สนทนาแลกเปลี่ยนความคิดกันได้กลายเป็นและถูกอ้างว่าเป็นการแบ่งฝ่ายทางการเมืองเสียหมด เป็นยุคที่พูดเรื่องการเมืองไม่ได้หากพูดจะถูกมองว่าเป็นฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ทำให้คนในครอบครัวไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ พี่น้อง หรือเพื่อนฝูงต่างต้องระวังตัวไม่อยากจะขัดแย้งกันเองหรือขัดแย้งกับคนทั่วไป การเสวนาในวันนี้เป็นเรื่องของความเป็นกลางไม่ได้สนับสนุนฝ่ายใด แต่ผมประกาศเลยว่าผมไม่เป็นกลาง ในชีวิตผมไม่เคยเป็นกลาง ไม่เคยเป็นกลางระหว่างความถูกกับความผิด ไม่เคยเป็นกลางระหว่างความดีกับชั่ว ไม่เคยเป็นกลางระหว่างประชาธิปไตยกับความไม่เป็นประชาธิปไตย ระหว่างธรรมกับอธรรม ไม่เคยเป็นกลางระหว่างกติกาตามรัฐธรรมนูญกับกติกาจัดตั้งระหว่างอิสรภาพของสื่อกับการกีดกั้นอิสรภาพ ผมอยู่ฝ่ายหนึ่งเสมอไป และตลอดชีวิตของผมก็หวังว่าฝ่ายที่ผมอยู่จะเป็นฝ่ายที่ถูกต้อง สังคมไทยใช้คำว่าเป็นกลางพร่ำเพรื่อ จะต้องมีจุดยืน และจากข้อเท็จจริงเหตุผลจะต้องนำไปสู่จุดยืนที่เราแน่ใจว่าเป็นจุดยืนระหว่างฝ่ายไม่ใช่บุคคลและต้องเป็นจุดยืนที่ถูกต้องและเหมาะสม นายอานันท์กล่าว