28 มิถุนายน 2551 23:42 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
ในมือของชายคนนั้นมีซองกระดาษสีน้ำตาลเก่าๆ เขาจับซองใบนั้นอย่างมั่นคงราวกับเกรงว่ามันจะดิ้นหลุดไป แสดงว่าของในซองใบนั้นสำคัญกับเขามาก อาจจะเป็นเงิน โฉนดที่ดินหรือของมีค่าอะไรสักอย่าง บางที่ก็อาจเป็นสิ่งเลวร้ายจนเขามิกล้าเปิดเผย ยิ่งการแต่งกายของเขามอซอยังกะโจร เสื้อเก่าๆขาดๆ ไว้หนวดไว้เครารุงรัง จึงสนับสนุนแนวคิดนี้
เขาเดินมาถึงหัวมุมถนนจึงเลี้ยวสู่อาคารหลังเล็ก ซึ่งคร่ำครึเช่นเดียวกับบุรุษมอซอที่กำลังก้าวเท้า เข้าไป ทว่าภายในอาคารกับตกแต่งสวยงามและสดใส ผิดกับสภาพแวดล้อมภายนอกอย่างมาก แรกเลยเขาคิดว่าที่นี่จะยินดีต้อนรับเขาอย่างมิตร ขณะนี้เขาตระหนักแล้วว่าควรจะใช้เวลาอยู่ที่นี่ให้น้อยที่สุด
ผมมาหา บอกอ ครับ เขาเอ่ยกับพนักงาน
นัดไว้หรือเปล่าค่ะ พนักงานสาวสวยย้อนถาม
เขาลังเล เพื่อครุ่นคิดถึงผลได้ผลเสีย หากเขาจะตอบว่าเขานัดไว้แล้ว เพราะถ้าเขาโกหก อาจทำให้งานของเขาล้มเหลวตั้งแต่ประโยคแรกของการสนทนา แต่ถ้าเขาบอกว่าไม่ได้นัด โอกาสได้เข้าพบ บอกอ คงยากยิ่ง เพราะคนเหล่านี้ล้วนไม่ค่อยใยดีกับนักเขียนโนเนม และคำตอบที่ได้รับก็อาจเป็นว่า ท่านไม่ว่างนะคะ ติดประชุม หรือธุระสำคัญอะไรสักอย่าง และก็จะบอกให้มาใหม่วันหลัง อันที่จริงก็คือการไล่อย่างสุภาพดีๆนี่เอง กระนั้นการโกหกก็มีแต่จะทำให้เรื่องต่างๆเลวร้ายลง เขาจึงตัดสินใจพูดความจริง อย่างน้อยก็แสดงว่าเขาบริสุทธิ์ใจ
เปล่าครับ แต่ช่วยบอกให้ด้วยนะครับ เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรอีก จึงส่งยิ้มให้ ซึ่งเขาไม่แน่ใจว่า ยิ้มที่ได้รับตอบมานั้นเป็นยิ้มจริงๆหรือเป็นการแสดง
บอกอ คะ มีคนอยากพบท่านค่ะ ลูกจ้างสาวเรียนเจ้านายตามหน้าที่แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากชายร่างใหญ่ เขากำลังจดจ้องกับผลงานชิ้นเอกตั้งแต่เขาตั้งสำนักพิมพ์แห่งนี้
แล้วทำไมผมต้องเจอเขาด้วยล่ะ เขายังยิ้มเบิกบาน
อันที่จริงสำนักพิมพ์แห่งนี้เป็นเพียงสำนักพิมพ์เล็กๆ แทบไม่มีใครรู้จักชื่อด้วยซ้ำ หนังสือแทบทุกเล่มที่ทำออกมาล้วนล้มเหลวขาดทุน นานๆทีจึงมีสักเล่มที่พอได้กำไร ให้สำนักพิมพ์อยู่มาได้ กระทั่งวันหนึ่งเป็นวันที่อากาศร้อนอบอ้าว ภายในอาคารจึงร้อนยิ่งนัก (เครื่องปรับอากาศที่นี่ไม่ได้ทำงานมานานเป็นปีตามนโยบายประหยัดเงินของ บอกอ) ราวกับว่ามีดวงอาทิตย์สักล้านดวงรุมล้อมโลกไว้ บอกอ นั่งบนเก้าอี้ตัวเก่ากับภาพความล้มเหลวในการบริหารธุรกิจ จากความหวังจะนำพาสำนักพิมพ์แห่งนี้ไปสู่ความยิ่งใหญ่ สิบปีให้หลังเขาแทบเอาตัวไม่รอด เมื่อความฝันว่าจะยิ่งใหญ่ในแวดวงวรรณกรรมริบหรี่แทบดับลง ทางรอดเดียวของเขาคือมุ่งสู่ชนบทที่จากมา กลับไปทำนาทำไร่ คงไม่หนักหนาอะไรนักสำหรับลูกชาวนาอย่างเขา อย่างไรก็ดีเขาก็ต้องการจะลองอีกสักครั้ง แม้จะเดิมพันด้วยชีวิต เขาจึงรอว่าจะมีใครสักคนก้าวเข้ามาพร้อมกับผลงานดีๆสักชิ้น ย่างก้าวสู่วันที่หกความคิดของเขาแทบมีค่าเป็นศูนย์ จึงตัดสินใจบอกข่าวร้ายกับพนักงาน แต่พอเขาก้าวออกมาจากห้องทำงาน ประตูทางเข้าก็ถูกเปิดออกพร้อมกับชายวัยกลางคนก้าวเข้ามา จากนั้นไม่นานสำนักพิมพ์แห่งนี้จึงเป็นที่รู้จักพร้อมกับนักเขียนในสังกัดคนใหม่ซึ่งเขายินดีจะผลิตงานให้สำนักพิมพ์แห่งนี้ประจำ อันหมายถึงความมั่นคงและมั่งคั่งของเขา ดังที่เป็นอยู่อย่างปัจจุบันนี้
แต่เขาขอพบให้ได้นะคะ บอกอจะไม่ให้โอกาสเขาหน่อยเหรอคะพนักงานสาวพูดทีเล่นทีจริง
ไม่รู้สิ แต่ให้เขามาพบหน่อยก็ได้ บอกอ ตอบอย่างลังเล
เขาก้าวเข้ามาในห้อง ซึ่งสะอาดและเป็นระเบียบ ข้าวของต่างๆจัดวางอย่างเหมาะเจาะ มากมีด้วยเครื่องตกแต่งเข้าชุดกัน
สวัสดีครับ ผมมีงานเขียนจะให้ท่านพิจารณาครับเขาพูดขณะนั่งลงตามคำเชื้อเชิญ
บอกอรับซองเก่าๆนั้นมาตามมารยาท แต่สายตายังไม่ละจากการสำรวจการแต่งกายของผู้มาเยือน นานพอควรกระทั่งบอกอระลึกได้ว่าชายผู้นี้มาในห้องนี้ทำไม จึงแกะชองใบนั้น ครู่ใหญ่บอกอจึงเอ่ยขึ้น
งานของคุณน่าสนใจมากที่เดียวมีความแปลกใหม่และสร้างสรรค์ ใจของเขาเริ่มพองโต เพราะท่าทีของบอกอดูจริงใจอย่างยิ่ง
ทางสำนักพิมพ์ของผมเพิ่งจะประสบความสำเร็จในการผลิตผลงานของนักเขียนในสังกัดคนใหม่ คุณรู้ไหมจู่ๆ บอกอ ก็เปลี่ยนเรื่องคุย
ครับ ผมถึงมาที่นี้ เผื่อท่านจะให้โอกาสเขายิ้ม
ใช่ๆผมพร้อมจะให้โอกาสนักเขียนรุ่นใหม่เสมอบอกอยิ้มอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาไม่แน่ใจนักว่าเป็นยิ้มที่เต็มใจ
จากการสนทนาทำให้เขามีหวังเต็มที่ว่าบอกอจะรับงานของเขา ความหวังความตั้งใจในการสร้างสรรค์งานชิ้นนี้ของเขาดูจะไม่สูญเปล่า ภาพงานชุดแล้วชุดเล่าที่ถูกปฏิเสธย้อนมากวนใจ และวันนี้ก็เป็นวันของเขาแล้ว
ตกลงบอกอรับงานผมใช่ไหมครับเขาถามอย่างตรงไปตรงมา
บอกอ ลังเลใจก่อนจะพูดว่า ผมเสียใจที่ต้องปฏิเสธงานของคุณ เพราะสำนักพิมพ์ของผมพึ่งฟื้นตัว ยังไม่แกร่งพอที่จะปั้นนักเขียนหน้าใหม่อย่างคุณ ทำไมคุณไม่ลองสำนักพิมพ์อื่นๆบ้างละ เขาอาจสร้างคุณให้กระฉ่อนวงการก็เป็นได้นะ
รอยยิ้มของเขาจางหายเมื่องานถูกปฏิเสธ
เป็นเพราะงานของผมต่อต้านรัฐบาลใช่ไหมคุณถึงไม่รับงานนี้
ทำไมคุณไม่ลองเปลี่ยนแนว ลองเขียนเรื่องสบายๆ เพราะทุกวันนี้ผู้คนมัวแต่ถามหาสาระ จริงจังกับทุกเรื่อง และในที่สุดก็เครียด หนังสือประเภทคลายเครียดจึงตอบโจทย์สังคมยุคนี้บอกอ ยื่นซองใบเก่าคืนให้ก่อนจะพูดว่า เชื่อผมแล้วคุณจะรุ่ง
เขาจากมาจากอาคารหลังนั้น โดยไม่รู้สึกเสียใจแต่อย่างไร เพราะเขารับรู้อยู่แล้วว่า โอกาสที่จะมีใครสักคนมาอ่านงานของเขาอย่างจริงจังนั้นแทบไม่มี เขาเดินไปตามถนนมุ่งสู่ย่านแออัดของสังคม ข้างทางมีถังขยะที่ถูกคุ้ยกระจัดกระจาย เขายกซองใบนั้นมามอง ความหวังความตั้งใจของเขาจบสิ้นแล้ว อาชีพบนทางฝันดับลงแล้ว เขาตัดสิ้นใจทิ้งมันลงไปในถังขยะ และเดินจากไป
เมื่อถึงห้องแถวเก่าๆ เขาจึงสังเกตเห็นว่าชายขอทานตามเขามา ในมือชายขอทานมีซองใบเก่า
ซองนี้เป็นของคุณใช่ไหม คุณทิ้งมันทำไม ชายขอทานพูดกับเขา
มันไม่มีประโยชน์หรอก ก็แค่เศษกระดาษเท่านั้น คุณเอาไปเถอะ เขาพูดขณะกำลังเปิดประตูห้อง
งานของคุณดีมากเลยคุณรู้ไหม
เขาหันกลับมามองอย่างสนเท่ห์ ชายขอทานอ่านหนังสือออก ซ้ำยังชมงานของเขาด้วย
จากการสนทนาสั้นๆคืนนั้น เขาได้กลายมาเป็นนักเขียนผู้โด่งดัง ด้วยผลงานที่เขาทิ้งลงถังขยะไปแล้ว นับเป็นโชคดีของเขาที่คืนนั้นมีนักเขียนคนหนึ่งมาศึกษาชีวิตขอทาน ด้วยการปลอมตัวเป็นขอทาน รุ่งขึ้นนักเขียนคนนั้นจึงนำงานของเขาไปให้ บอกอ ของเขา และสามเดือนให้หลังชื่อของเขาจึงกระฉ่อนวงการ
อาคารเก่าๆหลังเดิมยังคงซอมซ่อเหมือนเดิม ทว่าภายในอาคารกลับไม่เหมือนเดิม ข้าวของต่างๆเคยสวยงามเป็นระเบียบ บัดนี้เหลือเพียงความว่างเปล่า ห้องทำงานของบอกอก็ซอมซ่อไม่ต่างกันนัก เขายังนั่งอยู่ที่เดิมบนเก้าอี้ตัวเดิม แต่เขาแก่ลงไปมาก และสิ่งที่เขาจดจ้องไม่ใช่หนังสือเล่มเดิมอย่างเคย และก็ไม่ใช่หนังสือเล่มอื่นๆของนักเขียนผู้รุ่งโรจน์ในสังกัดของเขา เพราะนักเขียนคนนั้นได้จากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับด้วยอุบัติเหตุ การจากไปของเขาเหมือนกับเป็นการปล่อยความหายนะมาสู่สำนักพิมพ์แห่งนี้อีกครั้งและถาวร
หนังสือตรงหน้าเขามีบางส่วนที่คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยอ่าน จากประสบการณ์ในแวดวงวรรณกรรมอันยาวนานของเขา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหนังสือเล่มนี้สมบูรณ์ ถ้ามีโอกาสเขาอยากพูดคุยกับคนเขียนสักครั้งเพื่อขอให้เขาเขียนงานให้ นึกได้ว่าปกหลักนั้นจะมีประวัติของนักเขียน จึงพลิกกลับไปอ่าน
ข้อความหนึ่งหน้ากระดาษขนาดสิบหกหน้ายก ถือว่าไม่ยาวเลย ยิ่งเป็นถึงบอกอ ความสามารถในการอ่านย่อมเหนือชั้นกว่าใคร ไฉนเล่าเขาถึงจ้องหน้านั้นอยู่เป็นนาน พร้อมกับน้ำตาร่วงหล่นจากดวงตาขุ่นมัว สายตาของเขาจอจ้องข้อความที่ว่า
นักเขียนคนนี้เคยก้าวไปสู่จุดต่ำสุดของความฝัน เขาฝันว่าจะเป็นส่วนหนึ่งแห่งโลกวรรณกรรม หลายปีทีเดียวที่เขาเฝ้าเขียนงานต่างๆออกมา ทั้งบทกวี เรื่องสั้น และนวนิยาย และก็อีกหลายปีที่เขาตะลอนๆนำเสนอผลงาน แต่คำตอบที่ได้จาก บอกอ ที่เขาเข้าพบเหล่านั้นล้วนให้เขาทิ้งงานเขียนของเขาไป เมื่อทุ่มชีวิตให้กับงานเขียนแล้วเปล่าประโยชน์ การโยนทิ้งขยะจึงเป็นสิ่งพึงกระทำ เส้นทางเดินจบแล้ว ไม่มีทางให้เดินต่อไป กระนั้นสวรรค์ยังส่องแสงสว่างมาให้ เพื่อนำทางไปสู่ปลายทางที่วาดหวัง งานที่เขาทิ้งลงถังขยะกลับไปตกอยู่ในมือ บอกอ ผู้ที่เห็นคุณค่าและนำเขามาสู่ความยิ่งใหญ่ในวันนี้
ความชอกช้ำประดังเข้ามาเหมือนเขื่อนแตก ทั้งเสียดายและเจ็บใจตัวเอง หากว่าวันนั้นเขาเปิดใจสักนิด ใช้เวลาสักหน่อยเพื่อพิจารณางานที่เจ้าของหนังสือเล่มนี้นำมาเสนอ ชีวิตในบั้นปลายของเขาคงไม่ต้องลำบากอย่างนี้หรอก เขาตัดใจละสายตาจากหนังสือตรงหน้า และปิดลง กระนั้นลมจากพัดลมยังพลิกหนังสือเปิดให้ออก ตัวหนังสือเล็กๆเขียนว่า
แด่ บอกอ ทุกคนที่แนะนำให้ผมทิ้งมันลงถังขยะ
9 พฤษภาคม 2551
28 มิถุนายน 2551 23:39 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
ฝนพรำลงมาตั่งแต่เช้า และคงจะเป็นแบบนี้ตลอดทั้งวัน ภาพทุ่งนาดูขุ่นมัวราวกับมองจากดวงตาของคนชรา บรรยากาศเช่นนี้ชวนให้นึกถึงเตียงนอนนุ่มๆ กับผ้าห่มอุ่นๆยิ่งนัก ทว่าคงไม่ใช่กับชาวนา เพราะมรสุมลูกนี้อาจเป็นเพียงโอกาสเดียวในการปักดำ ก่อนฝนจะทิ้งช่วงไปอีกนาน จึงไม่แปลกที่ท้องทุ่งยามนี้ เต็มไปด้วยชาวนาที่ตากฝนทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย บ้างไถบ้างปักดำ เป็นภาพชีวิตที่แสนลำบาก และแตกต่างกับสังคมอันมีจะกินในเมืองศิวิไลซ์ กระนั้นก็ยังเห็นรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และแววตาแห่งความหวังในผลผลิตอันเป็นสิ่งที่พวกเขาปลูกลงไปพร้อมกับต้นกล้าทุกต้น
ไกลออกไปบนเถียงนาหลังหนึ่งที่แสนจะธรรมดา แต่สิ่งที่อยู่ในกระท่อมเวลานี้กับน่าสนใจยิ่ง ใครหลายคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องปกติหากจะมีคนนั่งหลบฝนบนนั้น การเหม่อลอยของเขาก็มิได้เป็นอาการของคนเสียสติ เพราะเขาเป็นคนปรกติที่ดำรงชีพด้วยการทำนาทำไร่เยี่ยงวิถีบรรพบุรุษ แต่ถ้าใครสามารถอ่านจิตใจเขาได้ในขณะนี้ จะพบว่าในความเหมือนนั้นมีความแตกต่าง
ผืนนาเบื้องหน้าว่างเปล่า ไม่มีร่องรอยการดูแล ไม้รกครึ้มไม่มีการตัดแต่ง คันนาขาดแหว่งยังเป็นอยู่อย่างนั้น รอยไถแปรอย่างควรเป็น ณ เพลานี้ก็ไม่ปรากฏ แล้วชายคนนี้คิดอะไรอยู่หนอ ทำไมถึงปล่อยผืนนาให้ว่างเปล่าเช่นนี้
สายตาของเขามองออกไปไกลกว่าท้องทุ่งอันกว้างใหญ่ มุ่งสู่เมืองศิวิไลซ์ในจินตนาการ ภาพความสุข ความสบาย สะท้อนออกมาจากแววตาเป็นประกาย กระนั้นยังมีร่องรอยของความลังเลสับสน อันที่จริงความรู้สึกแบบนี้บังเกิดมาสี่ปีแล้ว แต่ด้วยภาระในการดูแลผู้บังเกิดเกล้าเพื่อแทนคุณยามท่านชรา จนไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ความคิดนั้นจึงหายไปจากความทรงจำ บัดนี้เขาเหลือตัวคนเดียว แม่อันเป็นที่รักจากเขาไปอย่างไม่มีวันกลับ ความคิดจะจากท้องนา ไปสู่เมืองหลวงหวนกลับมารบกวนจิตใจเขาอีกครั้ง และดูเหมือนจะมีพลังมากยิ่งกว่าครั้งไหนๆ สุดท้ายแล้วเขาจะตัดสินใจอย่างไรนั้นก็ไม่สามารถคาดเดาได้ ทว่าสายตาของเขาดูสดใสมีประกายขอความหวัง
ค่ำวันเดียวกันมีคนเห็นเขาจากบ้านไป และก็ไม่มีใครเห็นเขาอีกนับจากวันนั้น คนที่พอรู้คงเป็นเพื่อนรักคนเดียวของเขา
แกจะไปกรุงเทพจริงๆหรือวะน้อยถามบุญอย่างเป็นห่วง
แกก็รู้ดีนี่ว่าฉันคิดเรื่องนี้มานานแค่ไหนบุญเตือนความทรงจำ
และวันนี้ก็เป็นโอกาสดีสำหรับฉัน แกห้ามฉันไม่ได้หรอก และฉันรู้ดีว่าแกจะยินดีและอวยพรให้ฉันโชคดี
เหมือนถูกมัดมือชกน้อยจึงไม่มีเหตุผลใดจะรั้งบุญไว้ เขาจึงได้แต่ภาวะนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งท้องนา แม่ธรณี แม่โพสพ แม่คงคา เจ้าป่าเจ้าเขาและอีกมายมายเท่าที่เขารู้ มาคุ้มครองปกป้องให้เพื่อรักของเขาอยู่รอดปลอดภัย
ย่างก้าวลงจากรถอันเป็นจุดหมายปลายทางของบุญ เขาได้พบกับผู้คนที่ต่างไปจากท้องนา อย่างสิ้นเชิง ทุกคนล้วนแต่งตัวสะอาดสะอ้าน เปี่ยมด้วยรอยยิ้ม และเป็นมิตร ก้าวแรกในเมืองศิวิไลซ์ ช่างศิวิไลซ์สมชื่อจริงๆเขาคิด ตลอดทางที่บุญเดินผ่านล้วนเต็มไปด้วยสิ่งสวยงาม เจริญหูเจริญตา ทั้งอาหารการกินเครื่องประดับอาภรณ์ต่างๆก็เหมือนเนรมิตจากสรวงสวรรค์
ขนมไปทานนะพ่อหนุ่ม ยายให้จ๊ะ
น้ำสะอาดเย็นๆทานแก้กระหาย พ่อหนุ่ม
เดินทางมาไกล แวะทานอาหารอร่อยๆก่อนสิพ่อหนุ่ม
ช่างวิเศษเหลือเกินบุญคิด เขาจึงทานอาหารที่คนใจดียื่นให้ ซึ่งเป็นอาหารชั้นเลิศ บางอย่างเขาเคยเห็นตามใบปลิวโฆษนา บางอย่างเขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ทั้งปวงล้วนอร่อยเกินคำบรรยาย เมื่อกินอิ่มแล้ว คนใจดียังให้ที่นอนแสนนุ่มสบายแก่เขาอีกด้วย บุญจึงหลับไปอย่างมีความสุขที่สุด
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านเลยไปเท่าใด เวลานี้เป็นเวลาทานอาหารอีกแล้วหรอ ทำไมคนใจดีจึงปลุกเขาเร็วจัง เขายังไม่หิว จึงบอกคนใจดีว่า ขอนอนต่ออีกนิดครับ
แทนเสียงนุ่มนวลของคนใจดี เป็นเสียงดังไม่น่าฟังอีกแล้ว บุญสงสัยจึงลืมตาขึ้น ทว่าเขาไม่ได้อยู่บนที่นอนนุ่มๆอย่างควรเป็น คนใจดีก็ไม่มี ตรงหน้าเขาคือคนรถคันที่พาเขาเข้ากรุงเทพฯ บุญคิดว่าชายใจดีให้มาตาม จึงบอกเขาว่า
บอกคนใจดีด้วยว่าเขาไม่หิว ขอนอนต่อสักพัก
ชายใจดีอะไรคนรถถามงงๆ
ก็เจ้าของบ้านหลังนี้ไงบุญตอบขณะกำลังหาวคำโตๆ
บ้านที่ไหนกันละคุณ แหกตาดูหน่อยสิว่านี่มันที่ไหน
บุญคร้านจะโต้เถียงจึงลุกขึ้น แต่สิ่งที่พบกับไม่เป็นอย่างที่คิด เขายังอยู่บนรถ ทุกสิ่งเมื่อครู่เป็นเพียงความฝัน แต่ไม่เป็นไรหรอกในเมื่อเขามาถึงเมืองศิวิไลซ์แล้ว ชายใจดี กับผู้คนน้ำใจงามคงมีมากมาย เขาคิด
ย่างก้าวลงจากรถ ผู้คนไม่เหมือนในฝัน ที่นี่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย เสียงโหวกเหวกดังมาจากสารทิศ ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาโดยไม่มีแม้แต่รอยยิ้มให้กัน บางคนดูอิดโรยเหมือนกับไม่มีเรี่ยวแรง บางคนก็นั่งๆนอนๆกับพื้นสกปรก เนื้อตัวก็มอมแมมราวกับว่าไม่ได้อาบน้ำมาแรมเดือน บุญเห็นภาพตรงหน้าแล้วคิดในใจว่า ที่นี่คงไม่ใช่ปลายทางของเขาหรอก รถแค่จอดพักสถานีระหว่างทางเท่านั้นเอง
นี่แหละกรุงเทพมหานครอันเลอเลิศของคุณคนรถบอกเขาตามตรงกับรอยยิ้มเยาะสมนาคุณก่อนจากไป
หลังจากบุญออกมาจากสถานีขนส่ง เมืองจึงน่าอยู่ขึ้น ตึงรามบ้านช่องงามตาสีสันสดใส ร้านค้าอาหารการกินทั้งคาวหวานเรืองรายเป็นทิวแถว เสื้อผ้าอาภรณ์ในร้านก็สวยงาม
พ่อหนุ่มเอานี่ไปกินไหมป้าใจดียื่นขนมน่ากินให้เขา
ขอบคุณครับ ผมกำลังหิวพอดีเลยบุญรับมาและเดินจากไป พอดีมีมือรั้งเขาไว้ จึงหันกลับมาดู พบว่าเป็นป้าคนเมื่อครู่
มีอะไรหรอครับป้า
พ่อหนุ่มยังไม่ได้จ่ายเงินป้านะ
บุญรู้สึกงงๆจึงถามว่า ป้าไม่ได้ให้หรอกหรือ
ฟรีอะไรกันพ่อหนุ่ม ของชื้อของขายทั้งนั้น เมืองนี้นะไม่มีอะไรฟรีหรอก แม้แต่น้ำอุ้งมือเดียวยังต้องชื้อเลยป้าเริ่มขึ้นเสียง บุญต้องรีบควักเงินจ่าย เพราะผู้คนเริ่มมามุงดูกันแล้ว
บุญจากย่านนั้นมาตามแผนที่ เพื่อไปหาลุงแดงอันเป็นจุดหมายปลายทาง แผนที่นี้เขาได้มาครั้งลุงแดงแกกลับไปเยี่ยมบ้านเมื่อสี่ปีที่แล้ว ครั้งนั้นลุงแดงแกแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาแพง ใส่สร้อยทองเส้นใหญ่ และแกมีเงินมากมายพอเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้านได้เป็นเดือน แน่นอนว่าทั้งหมู่บ้านจะต้องอยากรู้ว่าแกไปทำอะไรที่กรุงเทพถึงมีเงินทองมากมาย นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวและเหตุผลว่าทำไมบุญต้องมาที่นี่ เมืองแห่งความศิวิไลซ์ตามคำของลุงแดง
ตรอกแคบๆแฉะด้วยน้ำสีดำส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง บุญเดินมาตามแผนที่ได้ประมาณ200เมตร ตรงหน้านั้นมีประตูมหึมากั้นอยู่ ไม่รู้ว่าข้างในนั้นมีอะไร บุญจึงหยิบชื่อโรงงานที่ลุงแดงให้มาดู ซึ่งก็เป็นชื่อเดียวกัน นั่นหมายความว่าที่นี่คือเมืองศิวิไลซ์แน่นอน เขานั่งรอให้โลกแห่งความฝันเปิดรับเขาอย่างใจจดใจจ่อ
ครู่ใหญ่ประตูโรงงานเปิดออก ผู้คนมากมายหลั่งไหลออกมาจากประตูนั่น และเขาก็เห็นลุงแดงในกลุ่มชนนั้นด้วย
ลุงแดงๆ รอด้วยบุญร้องเรียก
ลุงแดงหันมาตามสัญชาตญาณ จึงรู้ว่าเป็นบุญหนุ่มน้อยแห่งบ้านนา อ้าวไปไงมาไงล่ะถึงมาที่นี่ได้
ผมก็มาหาลุงนั่นแหละ
งั้นเราไปคุยกันที่ห้องลุงดีกว่า
ครับ
ห้องลุงแดงเป็นห้องแถวเก่าๆ หลังเล็กๆ ซึ่งยังห่างไกลเมืองอันศิวิไลซ์มาก บุญไม่เข้าใจว่าทำไมสิ่งที่เขาวาดหวัง กับความเป็นจริงช่างห่างไกลกันนัก เป็นไปได้ไหมว่าช่วงเวลาสี่ปีที่ผ่านมา เป็นตัวการทำให้เกิดเป็นเปลี่ยนแปลง เมืองศิวิไลซ์กลายมาเป็นเมืองเสื่อมโทรมได้อย่างไร สารพันคำถามผลุดมาในสมองและคำตอบคงต้องมาจากชายวัยกลางคนปลายๆผู้นี้
ลุงแดงยามนี้แก่กว่าวัยมาก ริ้วรอยมากมายเด่นตามร่างกาย สีผมดอกเลาเหนือใบหน้าดำกร้านอันอิดโรย เสื้อผ้าสวมใส่หมองซีด ผิดกลับลุงแดงเมื่อสี่ปีก่อนที่บุญรู้จัก
ลุงรู้ว่าบุญมาที่นี่ทำไม และลุงรู้ว่าบุญคงผิดหวังมากเมื่อไม่เห็นเมืองอันศิวิไลซ์ลุงแดงเริ่มพูดขณะนำน้ำจากตู้เย็นเก่าๆมายื่นให้
บุญเข้าใจไหมว่าทำไมเมืองที่ลุงอยู่นี้จึงแตกต่างจากสิ่งที่ลุงเล่าให้ทุกคนฟังเมื่อสี่ปีก่อน เปล่าหรอกบุญ เวลาเพียงสี่ปีสั้นไปสำหรับการเปลี่ยนแปลงมโหฬารขนาดนี้ ที่นี่นะแย่มานานแล้ว ตั่งแต่ลุงตัดสินใจเข้ามาครั้งบุญยังเด็ก ครั้งนั้นเมืองนี้น่าอยู่มาก อากาศดีเย็นสบาย เมฆไม้รกครึ้ม สงบเงียบ แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่ปีความเจริญเข้ามาครอบงำนครแห่งนี้ ป่าไม้ถูกแทนด้วยตึกสูงใหญ่ โรงงานอุตสาหกรรมผลุดราวกับดอกเห็ด น้ำใสกลับกลายเป็นน้ำดำโสโครกเหม็นเน่า อากาศที่เคยบริสุทธิ์ แปรเปลี่ยนเป็นฝุ่นละอองและสารเคมี จากนั้นเป็นต้นมาเมืองนี้ไม่เคยสวยงามอีกเลย
แล้วตอนลุงกลับไปเยี่ยมบ้านเมื่อสี่ปี่ที่แล้วล่ะ ลุงยังบอกเลยว่าเมืองที่ลุงมาอยู่งดงามเพียงใด ลุงยังมีเสื้อผ้าสวยงามใส่ มีทองเส้นใหญ่อร่ามคล้องคอ และลุงก็มีเงินมากมายยังกับเศรษฐี
เพียงมายาเท่านั้นแหละหลานชาย สิ่งที่ลุงเล่าครั้งนั้นเป็นเรื่องหลอก เพราะหากใครรู้ว่าลุงมีวิถีชีวิตที่โหดร้ายในเมืองนี้ คนอื่นๆก็คงหัวเราะเยาะลุงกันใหญ่นะสิลุงแดงมองออกไปยังหน้าต่างเล็กๆ กลุ่มเมฆทะมึนกำลังเคลื่อนคล้อย
ลุงกำลังบอกว่านั่นเป็นเพียงการแสดงเท่านั้นนะหรอ แล้วทำไมลุงต้องโกหกก็ไม่รู้ เพราะไม่มีใครสนหรอกว่าสภาพแวดล้อมที่นี่จะเป็นอย่างไร ในเมื่อลุงมีเงินทองมากมาย ลุงก็กลับไปบ้านเราได้อย่างภาคภูมิแล้วนี่
รอยยิ้มปรากฏยิ่งเพิ่มรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าของชายวัยใกล้ชรา ครู่เดียวก็หายไป
ความจริงแล้วลุงไม่ได้ร่ำรวยอะไรเลยนะ
ยังไง ผมไม่เข้าใจบุญถาม
จริงอยู่ ครั้งนั้นลุงกลับไปพร้อมกับเงินมากมาย แต่ทั้งหมดมิใช่ของลุงเลย เงินนั้นเป็นของนายจ้าง ลุงกู้เขาเพื่อกลับไปดูบ้านเกิดครั้งสุดท้าย เพราะลุงรู้ตัวว่าคงมีชีวิตที่ดีกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ไม่ทำอย่างนี้ ลุงจะกลับไปสู้หน้าใครเขาได้เล่า ก่อนมาลุงคุยไว้เยอะ ถ้าหากบุญไม่เชื่อลุงก็ดูสิ่งนี้
ลุงแดงเดินไปหยิบห่อสีแดงจากตู้ แล้วยื่นให้บุญ เขาแกะออกดู พบว่าในนั้นเป็นสร้อยเส้นใหญ่ เขาจำได้ทันทีว่าเป็นสร้อยที่ลุงแดงใส่ตอนกลับบ้าน ทว่ามันไม่ได้เหลืองอร่าม ตอนนี้สีมันหมอง และมีสนิมจับเขรอะไปหมด
สร้อยปลอมบุญอุทาน
ใช่แล้วลุงแดงตอบขณะสายฝนกำลังโปรยปราย
บุญนึกถึงท้องนาที่จากมาจับใจ
แล้วทำไมลุงไม่กลับไปอยู่บ้านเราละ
เงินที่ลุงกู้ไง ลุงต้องทำงานใช้หนี้ ทีแรกลุงคิดว่าไม่กี่ปีหรอก แต่ลุงผิด ยิ่งลุงทำงานเก็บเงินใช้หนี้ ก็เหมือนว่าหนี้มันทวีคูณ และในที่สุดลุงก็พ่ายให้กับมัน ทุกวันนี้ลุงจึงเหมือนมีชีวิตอยู่เพื่อหาเงินให้นายจ้างร่ำรวย ส่วนพวกลุงแทบไม่มีอันจะกินอยู่แล้ว
ลุงรู้ว่าบุญจะถามอะไร เคยมีคนหนีไปแล้ว เพียงวันเดียวเท่านั้นที่เขาได้อยู่อย่างเป็นอิสระ จากนั้นเขาเป็นศพในหน้าหนังสือพิมพ์ เรารู้กันว่าเป็นฝีมือนายจ้าง แต่นั้นมาจึงไม่มีใครกล้าคิดเรื่องการจะหลบหนีอีกเลย
ค่ำวันนั้นลุงแดงกับบุญต่างเล่าเรื่องราวชีวิตของกันและกัน อันที่จริงบุญเป็นคนเล่าเรื่องท้องนา หมู่บ้าน ความเป็นอยู่ของคนที่ลุงแดงรู้จักให้ฟังกระทั่งหลับไปพร้อมสายฝน
บุญมารู้สึกตัวอีกทีก็สายของวันใหม่ ลุงแดงไม่อยู่ มีเพียงอาหาร 3-4อย่างที่ลุงแดงจัดไว้ให้ เมื่อเขากินอิ่มจะยกจานไปเก็บ เขาสังเกตเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่พร้อมกับเงิน 1000 บาท
ลุงรู้ว่าบุญจากบ้านมาทำไม ลุงเสียใจที่เป็นต้นเหตุให้บุญเดินทางมาที่นี่ มาหาดินแดนอันศิวิไลซ์ ซึ่งไม่มีจริงหรอก หากจะมีก็เป็นดินแดนที่บุญจากมานั่นแหละ ลุงจึงอยากให้บุญเดินทางกลับวันนี้ อย่าเสียเวลาตามหาสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงที่นี่เลย ดูอย่างลุงสิ เป็นยังไงบุญก็รู้ และลุงไม่ว่าหรอกหากทุกคนที่บ้านเราจะเรื่องของลุง เพื่อเป็นการลบล้างสิ่งที่ลุงได้กระทำ เพราะลุงคงไม่มีโอกาสได้กลับไปอีกแล้ว เงิน 1000 บาทนี้คงพอสำหรับค่าเดินทาง จงกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเราอย่างมีความสุข ก่อนที่ที่นี่จะพันธนาการหลานไว้ด้วยตรวนอันเหนียวแน่นเหมือนอย่างลุง โชคดีหลานชาย
กรุงเทพเป็นไงบ้างวะบุญน้อยคงไล่ถาม ชาวบ้านอีกล่ะจะเย้ยหยันยังไง ชื่อเสียงเรื่องเล่าของลุงแดงจะพังทลายลงเพราะเขากระนั้นหรือบุญคิด
28 มิถุนายน 2551 23:34 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
ครอบครัวของผมเป็นครอบครัวชนบท แต่ไม่ได้ห่างไกลความเจริญนัก เพราะผมมีโอกาสเข้ามาในเมืองบ่อยๆ จึงได้พบได้เห็นสิ่งต่างๆอย่างคนเมืองเขาเห็นกัน เรามีเทคโนโลยีสมัยใหม่ในบ้านหลายชิ้น นั่นหมายถึงความสะดวกสบายได้เพิ่มเข้ามา แต่เราก็ต้องสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไปตลอดกาล
นึกย้อนไปสมัยก่อน ความเจริญยังมาไม่ถึง เราอยู่กันอย่างเรียบง่ายในบ้านหลังเล็ก ข้างบ้านมีแปลงผัก รั้วบ้านมีไม้เลื้อย หลังบ้านก็มีผลไม้นานาชนิดให้เก็บกิน เพื่อนบ้านก็จุนเจือเกื้อหนุน อาหารการกินแบ่งปันเสมอ หน้านาก็ช่วยกันลงแขก งานบุญงานทานต่างพร้อมเพรียงเรียงหน้า พอกาลเวลาผ่านมาไม่นาน เพื่อนบ้านของผมได้นำเอาตู้สี่เหลี่ยมเข้ามา รู้ภายหลังว่าเป็นโทรทัศน์ จุดเริ่มต้นเรื่องราวที่ผมจะเล่าจึงบังเกิดขึ้น
ทุกครอบครัวที่นี่ล้วนมีฐานะความเป็นอยู่ไม่ต่างกันมากนัก รายได้หลักมาจากการทำนา ทำไร่ อันที่จริงมันก็ไม่ได้เป็นรายได้หรอก เพราะเราทำไว้กิน เหลือกินก็แบ่งปันเพื่อนบ้านยามขาดแคลน หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมไม่ขายเอาเงินมาใช้ คำตอบก็คือ เราไม่รู้ว่าจะนำเงินมาทำอะไร บ้านก็มีแล้ว ข้าวปลาอาหารก็บริบูรณ์ อยากกินเนื้อก็เข้าป่า อยากกินปลาก็ลงหนอง ผักมากมายอยู่ริมรั้ว ชีวิตช่วงนั้นของผมช่างมีความสุขมาก มากเสียจนทำให้ผมเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อนึกถึง
ได้เวลาทานยาแล้วค่ะเสียงของพยาบาลปลุกผมจากห้วงความคิด
ครับผมทานยาอย่างว่าง่าย
ชั่วชีวิตของคนเราในโลกนี้ไม่ได้ยาวนานนักหรอกนะ หากมีโลกหน้าก็คงเหมือนกัน ทว่าเรา(ผม)กับไม่เคยให้ความสำคัญกับมันเลย ยิ่งเวลาที่เรามีสุขก็มัวหลงระเริงจนไม่รู้ว่าเวลาได้ดำเนินไป กระทั่งห้วงแห่งความสุขจางหาย ความระทมเข้ามาแทนที่นั้นแหละ จึงจะเห็นค่าของเวลา และเราก็ไม่สามารถโทษใครได้เลย หากช่วงเวลาแห่งทุกข์ยาวนานในความรู้สึก เพราะอันที่จริงเวลามันก็ยังดำเนินไปตามปกติ
เมื่อเพื่อนบ้านของผมชื้อโทรทัศน์มาใช้ ดูเหมือนทั้งหมู่บ้านจะกล่าวขานเรื่องความร่ำรวยของเขากันยกใหญ่ แต่ไม่มีใครสังเกตว่าข้าวในยุ้งฉางเพื่อนบ้านคนนั้นหายไปกว่าครึ่ง
ชายคนที่ผมกว่าถึงไม่ใช่ใครอื่นหรอก ก็เพื่อนผมเอง ด้วยศักดิ์ศรีของคำว่าเพื่อนจึงนำพาโทรทัศน์เครื่องที่สองสู่บ้านของผม และก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เครื่องเสียงดังกระหึ่มออกจากบ้านของผมด้วย
นายเป็นไงบ้าง เพื่อนคนนั้นถามผมจากเตียงข้างๆ
ค่อยยังชั่วแล้ว นายละ ผมถามตอบตามมารยาท
แย่วะ ฉันคงเดินไม่ได้อีกแล้ว หมอจะตัดมันทิ้ง เพราะกลิ่นมันเริ่มโชยแล้ว
ไม่เป็นไรหรอกประโยคหลังผมเหมือนพูดกับตัวเองว่าเดี๋ยวก็ดีขึ้นเองแหละ
ชีวิตของผมและเพื่อนบ้านกาลต่อมา หลังจากรู้จักประโยชน์ของเงินว่าสามารถแลกสิ่ง
อำนวยความสะดวก ชื้อวิถีชีวิตแสนสบาย การแลกเปลี่ยน การช่วยเหลือกันและกันจึงกลับกลายเป็นการว่าจ้างและค้าขาย จากหมู่บ้านอันสงบในอดีต กาลปัจจุบันไม่ต่างจากสังคมเมืองมากนัก ดีที่ว่าเรายังทักทาย พูดคุย และไปมาหาสู่กันบ้าง ใครเป็นใครเจ็บเรายังถามไถ่และห่วงใย(บางแห่งที่ผมรู้จักเขามักจะรอไปเผาเลย) กระนั้นการแข่งขันก็บังเกิดขึ้น มันมิได้โจ่งแจ้งเหมือนสงครามสมัยก่อนหรอก แต่น่ากลัวเพราะเราไม่รู้ว่าใครเป็นศัตรู ใช่ผมกำลังพูดถึงสงครามเย็นในหมู่บ้าน เป็นสงครามของการสร้างฐานะให้เหนือกว่าคนอื่นโดยมีเทคโนโลยีเป็นเครื่องบ่งชี้ความมั่งคั่ง การดำรงชีพวิถีเดิมเหลือเพียงตำนาน
เมื่อทุกอย่างถูกตีตราด้วยเงิน ทรัพย์อุดมในน้ำ ป่าคืออัญมณีให้ค้นหา ท้องนาเป็นคลังสมบัติ จึงธรรมดาที่สิ่งเหล่านั้นจะเสื่อมโทรม ปลาหมดน้ำ ของหมดป่า ข้าวหมดนา กระนั้นการแก่งแย่งก็ไม่ยุติลง เพราะป่ายังเหลือไม้ ดินในนายังคงอยู่ เรื่องน่าเศร้าจึงอุบัติขึ้น ผมและเพื่อนบ้านลักลอบตัดไม้ส่งนายทุน ขณะที่แม่บ้านก็จ้างคนมาขุดหน้าดินไปขาย เพื่อนำเงินมาใช้ ผลกรรมจึงสนองพวกเราทุกคน
นายดูกลุ้มใจนะเพื่อนของผมถามอย่างเป็นห่วง
มาถึงจุดนี้แล้ว ฉันไม่อยากหลอกตัวเองอีกต่อไปวะผมตอบ
เรื่องอะไร
นายดูสภาพของพวกเราสิ แทบทุกคนล้วนสาหัสปางตายผมพูด ขณะที่ฝ่ายนั้นเงียบไป
เมื่อหน้าดินอันอุดมสมบูรณ์ถูกลอกไปขาย ข้าวที่เคยงามกลับแคระแกรน น้ำในคลองเหือดแห้ง เพราะฝนแล้ง ความยากลำบากบังเกิด ทางเดียวที่ยังพอให้เดินคือการตัดไม้ เหมือนสวรรค์มีตา ฟ้าคงรู้ ฝนจึงพรั่งพรูลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา น้ำท่วมที่นาเหมือนทะเลสีทันดรอันไพศาล ทางการยื่นมือเข้าช่วยในการอพยพ กระนั้นก็ไม่มีใครจากหมู่บ้านไป เพราะจิตใจของเราถูกพันธนาการด้วยตรวนของวัตถุแล้ว
ค่ำคืนมืดสนิทไม่มีดาว ไร้เสียงนกกากู่ร้อง เสียงหรีดหริ่งเรไรเงียบหาย มีเพียงเสียงห่าฝนที่กระหน่ำเหมือนฟ้ารั่ว ทุกชีวิตหลับใหลบนบ้าน พลันเสียงฝนถูกกลบด้วยเสียงดังสนั่นเหมือนของตกกระแทก เสี้ยววินาที่ต่อมาบ้านก็ล่องลอยเหมือนเรือลำน้อยกลางทะเลสีทันดรอันเงียบสงบ ก่อนเกรียวคลื่นจะผลุดขึ้นมาตีกาบเรือให้สั่นคลอน และคลื่นยักษ์ก็โอบกอดเรือไว้ในอ้อมกอดอย่างแนบแน่น บ้านจมอยู่ในทะเลโคลนจากบนเขา ก้อนหิน ซุงไม้ เศษไม้ ต้นไม้ เกลื่อนไปหมด และทุกอย่างก็มืดสนิท
ความสว่างจากไฟนีออนสว่างจ้า ผมรู้สึกตัว จึงรู้ว่ากำลังนอนอยู่ในโรงพยาบาล ภาพต่างๆเวียนวนมาในห้วงคำนึง อดีต อนาคต ปัจจุบัน และปัจจุบัน ผมเป็นคนพิการ ขาข้างซ้ายไม่มีอีกแล้ว เพื่อนผมก็ไม่ต่างกัน
เราเคยแข่งกันแทบจะทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การงาน ครอบครับ ชื่อเสียงและเกียรติยศ กระทั่งวันนี้ยังไม่มีใครเป็นผู้มีชัย นายว่าไหม ผมถามเพื่อน
ใช่ ทุกคนไม่มีวันชนะหรอก ต่อให้ดินรนเพียงใดก็ตาม เราก็ต้องแพ้
แพ้ธรรมชาติเราพูดพร้อมกัน
ชั่วชีวิตของผมมีแต่การต่อสู้ และการแข่งขัน จนบัดนี้ผมไม่เหลืออะไรทั้งสิ้น สิ่งที่ผมขวนขวายเป็นเพียงมายาเท่านั้น ชีวิตสั้นๆจากนี้ผมขออยู่ดูโลกอย่างควรเป็น ใช่ไหมเพื่อนรัก
29 พฤษภาคม 2551 เวลา 00.40 น.
28 มิถุนายน 2551 23:30 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
ท่ามกลางความตระหนกของผู้คนกับวิบัติภัยอันน่ากลัว แผ่นดินไหวกลางมหานครขนาด 7.5 ริกเตอร์ เมืองทั้งเมืองประสบความยากลำบาก ขาดน้ำ ขาดไฟ มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวณมาก ตึกที่ไม่แข็งแรงถล่ม ป้ายโฆษนาขนาดใหญ่ล้มระเนระนาด สถานีวิทยุโทรทัศน์ไม่สามารถออกอากาศได้ตามปกติ ช่องทางที่พอติดต่อกันได้คือทางเคเบิลทีวีที่ประกาศตัวจะช่วยเหลือผู้ประสบภัย หลายสถานีขอบริจาคทรัพย์สิน เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ยารักษาโรค เพื่อช่วยเหลือเพื่อนผู้ประสบภัย โดยขึ้นหมายเลขบัญชีตัวใหญ่ไว้ส่วนล่างของจอภาพ ส่วนที่อยู่ตัวเล็กๆเพื่อบริจาคสิ่งของอยู่ถัดลงไป
แน่นอนว่ากำลังใจจากคนไทยมีให้กันเสมอ แม้ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่มิตร แต่ก็เป็นเพื่อนร่วมชาติ ศาสน์ กษัตริย์เดียวกัน เส้นทางการช่วยเหลือตามเคเบิลทีวีเป็นอีกเส้นทางที่เข้าถึงผู้ประสบภัยอย่างรวดเร็ว และเห็นเป็นรูปธรรม พวกเขาถ่ายทอดสดการเข้าไปจ่ายแจกข้าวปลาอาหาร การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ การเก็บกู้ซากอาคาร และการบูรณะเมือง ผิดกับหน่วยงานราชการที่ล่าช้า และเต็มไปด้วยกฎ ด้วยระเบียบ
ชั่วโมงต่อไป เอาอะไรออกอากาศดีครับ เลขาถาม ผอ.สถานี
ภาพผู้ประสบภัยที่ได้รับการช่วยเหลือจากเราผอ.ตอบ
เมื่อวานก็ออกไปแล้วนี่ครับ
ไม่เป็นไรหรอก วันนี้เราทำเป็นการประมวลภาพ และ สุดท้ายก็ขอรับบริจาคจากผู้ชมเหมือนเดิม
เหตุการณ์แสนเวทนาถูกฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีหรือคนไทยจะนิ่งเฉย ต่างก็ช่วยกันบริจาคข้าวปลาอาหาร แต่ด้วยเส้นทางขนส่งยากลำบากกันดาร อาหารที่ส่งมาจากทางไกลจึงเน่าเสียเป็นส่วนใหญ่ การแก้ปัญหาที่นักข่าวของเคเบิลทีวีแนะนำ คือให้บริจาคเป็นเงินแทน แล้วพวกเขาจะจัดการชื้ออาหารและน้ำดื่มเอง วิธีการนี้จะช่วยให้ผู้ประสบภัยได้ทานอาหารที่สะอาดและปลอดภัย
ผ่านไปหนึ่งเดือน มหานครแห่งนี้กลับสู่ภาวะปกติ วิถีชีวิตของผู้คนดำเนินไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กรรมกรยังทำงานหนัก ลูกจ้างยังถูกนายจ้างด่าทอ และผู้คนยังทักทายกันด้วยคำหยาบต่างๆนานา ลูกๆไม่มีโอกาสเห็นหน้าพ่อและแม่จนกว่าวันหยุดจะมาถึง และความรักความห่วงใยในครอบครัวแปรเปลี่ยนเป็นเทคโนโลยี ทว่าหนึ่งเดือนผ่านมามีสิ่งหนึ่งที่ผู้คนรับรู้ว่ามันเกิดขึ้นและดำรงอยู่ มิใช่เหตุแผ่นดินไหวหรอก แต่มันคือภาพน้ำใจที่คนไทยมีให้กันต่างหาก
มีคำกล่าวไว้ว่า อุปสรรค์สร้างคนให้เป็นคนแกร่ง ปัญหาสร้างคนให้มีปัญญา วิกฤตสร้างคนให้เป็นคนกล้า วิบัติภัยครั้งนี้ก็ได้สร้างวีระบุรุษให้เกิดขึ้นมาเช่นเดียวกัน เขาคนนั้นไม่ใช่ใครอื่นไกล หากแต่เป็นคนที่ทุกคนรู้จักกันดี เขาคลุกคลีอยู่กับพี่น้องผู้เดือดร้อนยามประสบภัยเรื่อยมากระทั่งบัดนี้ เมืองกลับสู่ภาวะปรกติแล้ว เขาก็ยังจัดกิจกรรมเพื่อปลุกปลอบขวัญกำลังใจให้ผู้ประสบภัย การช่วยเหลือผู้อื่นอย่างเต็มใจเป็นสิ่งประเสริฐ และยิ่งกว่านั้นก็คือคุณ สนธยา ผู้เสียสละทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือคนอื่นเขาจึงควรได้รับเกียรตินี้ และเวลานี้ท่านอยู่กับเราในห้องส่งแล้ว แน่นอนว่าเราจะรู้จักท่านอย่างลึกซึ้ง อะไรเป็นสาเหตุให้ท่านอุทิศตนเพื่อช่วยสังคมช่วงหน้ามีคำตอบแน่นอนครับพิธีกรรายการ คนจริงพูดเกริ่น
ชีวิตของผมเติบโตมาท่ามกลางความยากลำบาก ทั้งในครอบครัวเอง และสังคม ในครอบครัวนั้น ผมต้องบอกว่ายากจนมาก บางมื้ออด บางมื้อหิว นานที่จึงจะรู้ว่าความอิ่มเป็นยังไง คุณสนธยา เริ่มเล่าเรื่องในวัยเด็ก
แสดงว่าคุณไม่ชอบชีวิตในวัยเด็กเลยใช่ไหมครับ
เปล่าเลย ผมกับรู้สึกเป็นสุขเมื่อคิดถึงมัน และผมยินดีหากสามารถย้อนเวลากลับไปได้
คุณต้องการมีชีวิตแบบนั้นจริงๆหรือพิธีกรถามเขา
ผมไม่ได้บอกว่าผมชอบชีวิตแบบนั้น แต่ชีวิตแบบนั้นทำให้ผมเป็นแบบนี้ ผมมีวันนี้ได้เพราะวันนั้น อันที่จริงก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอกนะ ยังมีอีกเรื่องที่ผมจำได้ขึ้นใจ มันเป็นความทรงจำอันขมขื่นในวัยเด็ก คือผมไม่มีเพื่อนเลยเขาเงียบไป เหมือนจมดิ่งในความทรงจำสุดลึก
เพราะอะไรครับ
ผมไม่รู้ ยิ่งผมพยายามเข้าไปสนิทกับพวกเขา คุณรู้ไหมว่าผมได้อะไรกลับมาเขาเงียบอย่างจงใจเพื่อให้คนฟังสนใจ
ผมถูกเขารังแกสารพัด
นั่นเป็นสาเหตุให้คุณเก็บตัวเงียบ และไม่ยอมมีเพื่อนอีกเลยใช่ไหมครับพิธีกรพยายามเชื่อมโยงเรื่อง
ไม่ใช่เลยครับ มันกับทำให้ผมพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้พวกเขาจะยอมรับผม
คุณไม่รู้สึกโกรธหรอพิธีกรถามขณะเหลือบดูเวลา
โกรธสิ ผมโกรธตัวเองมากที่ไม่สามารถทำให้พวกเขายอมรับผมเป็นเพื่อนได้เขาตอบ
นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมคุณถึงอุทิศตนเพื่อคนอื่นใช่ไหมครับ
เขาพยักหน้า
ท่านผู้ชมครับนี่เป็นเพียงบางเสี้ยวของชีวิตจริงจากชายผู้เป็นตำนานช่วงหน้าเรามารู้จักเขากันต่อครับ
หลังจากแผ่นดินไหวได้สองวัน คุณสนธยาได้เข้ามาแก้ไขรายละเอียดในการเบิกถอน จากบัญชีที่เขาเปิดขึ้นเพื่อรับบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางเคเบิลทีวีที่เขาเป็นเจ้าของโดยให้ทางธนาคารโอนยอดเงินจากบัญชีที่เปิดไว้แล้วนั้นไปยังอีกบัญชี เขาให้เหตุผลด้านความสะดวกและความรวดเร็วในการเบิกจ่ายเพื่อความช่วยเหลือจะไปสู่ผู้เดือดร้อน ทางธนาคารเห็นว่าในภาวะเช่นนี้ควรอำนวยความสะดวกทุกอย่างเพื่อให้แก่เขา เพราะผู้ได้ประโยชน์ก็คือประชาชนเอง
กลับเข้ามาสู่รายการของเราอีกครั้งนะครับ เมื่อสักครู่นี้คุณสนธยาได้บอกว่าท่านพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้เพื่อนๆยอมรับ เรื่องราวเป็นยังไงต่อหรือครับ
เมื่อผมถูกเพื่อนๆปฏิเสธหลายต่อหลายครั้ง ผมก็เลยมานั่งพิจารณาตัวเองว่าผมผิดปรกติอะไรบ้าง อันที่จริงผมรู้อยู่แล้วว่าทำไมเพื่อนๆไม่ยอมรับผม
อะไรครับ
ความจนไงล่ะ ครอบครัวผมจน ผมเป็นลูกคนจน คงไม่มีใครอยากให้ลูกๆคบกับผมหรอก ก็ผมถูกตราหน้าว่าไร้อนาคตเหมือนพ่อแม่ของผมแล้วนี่เขาพูดขณะที่นัยน์ตาพร่ามัวด้วยน้ำตาแห่งความน้อยเนื้อต่ำใจกับเหตุการณ์ในอดีต
พิธีกรรู้สึกว่าความทรงจำในตอนนี้ทำให้คุณสนธยาเจ็บปวด จึงเปลี่ยนเรื่องสนทนา
นี่คงเป็นแรงจูงใจที่นำพาคุณมาสู่ความสำเร็จในวันนี้ใช่ไหมครับ
ถูกที่เดียวล่ะเขาตอบ
เรื่องราวในวันเด็กอันขมขื่น ได้หล่อหลอมให้ชายผู้นี้เป็นบุคคลที่ใครๆต่างเคารพและยกย่อง ช่วงหน้าเราจะได้รู้แล้วว่าทำไมเขาจึงอุทิศเพื่อช่วยสังคมพิธีกรพักรายการเพื่อให้คุณสนธยาได้ผ่อนคลายความตึงเครียด
ผมพยายามทำทุกวิธีทางเพื่อให้คนอื่นยอมรับผมให้ได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม หนทางที่ดูเหมือนจะส่องสว่างบนทางมืดมิดของผมก็คือ เงินตรา ผมจึ้งดิ้นรนทนทุกข์เพื่อให้ได้มา และสร้างฐานะที่ดีกว่า แต่ทางฝันกับความจริงช่างแตกต่าง ผมล้มบ่อยครั้ง เจ็บตัวเจ็บใจมาก็มาก บางช่วงเวลาผมเหมือนยอมแพ้ ปล่อยชีวิตล่องลอยกลางมหาชเลสีทันดรอันไพศาล ไม่มีเข็มทิศ ไม่มีเครื่องยนต์หรือใบเรือให้พึ่งพิง เพียงกระแสน้ำสาดซัดตามแต่อารมณ์ กระนั้นผมก็ยังฝืนชะตา ดิ้นทั้งที่รู้ว่าแพ้ ความบากบั่นความมุ่งมั่นเหล่านั้นจึงสำเร็จในที่สุด เรือที่ไร้จุดหมายเข้าสู่จุดหมายในที่สุด
ฝั่งที่ว่าก็คือการก่อตั้งสถานีเคเบิลทีวีใช่ไหมครับ
ครับ เขาตอบ
คำถามสุดท้ายสำหรับวันนี้ ทำไมคุณสนธยาจึงยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือสังคม และท่านได้อะไรตอบแทนบ้างไหม
ผมว่ามันชัดเจนในตัวมันอยู่แล้ว การทำงานเพื่อสังคม ก็คือเพื่อสังคมโดยแท้จริง มิใช่ทำเพื่อตนเอง กระทั่งเกียรติยศต่างๆก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมหวังเลย การเสียสละต่างหากที่ต้องมี เพราะเราต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมง และแน่นอนที่สุดคืออุดมการณ์เพื่อมวลชน ยอมตายเพื่อผดุงความถูกต้อง ซึ่งทุกคนควรจะมีด้วยกัน เพื่อให้สังคมของเราร่มเย็นตลอดไป
หลังจากที่คุณสนธยาไปออกรายการ คนจริง ชื่อเสียงของยิ่งขจายขจร เขาเป็นยิ่งกว่าดารา คำพูดของเขาศักดิ์สิทธิ์กว่าพระ เขาไปที่ไหนก็มีแต่คนไหว้ทายทัก นี่แหละหนาคือผลของการทำดี ดังวจนะพุทธองค์ที่กล่าวไว้ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
อีกด้านหนึ่งของดวงจันทร์ที่เราเห็น เป็นด้านมืดอับแสงสาดส่อง เราไม่เคยรู้เลยว่าตรงนั้นมีอะไรซ่อนอยู่ เพราะเมื่อโลกเคลื่อนไปตามวงโคจร ดวงจันทร์ก็หมุนตามโลกไป เหมือนจงใจปิดบังด้านหลังอันมืดมิด (เมื่อมองจากโลก)
การช่วยเหลือผู้ประสบภัยผ่านพ้นไป ยอดคงเหลือในบัญชีผู้บริจาคที่คุณสนธยาแสดงต่อสาธารณะคือ ห้าแสนบาทจากยอดบริจาคสิบกว่าล้าน แน่นอนว่าเงินจำนวนนั้นถูกบริจาคเป็นการกุศลต่อไป แต่ใครเล่าจะรู้ว่าบัญชีผู้บริจาคถูกแบ่งเป็นสองบัญชี และบัญชีที่ถูกแบ่งนั้นยังไม่มีการเคลื่อนไหวไดๆ ยอดเงินสิบกว่าล้านยังบริบูรณ์
วันเวลาผ่านไป มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น ทั้งเรื่องดีเรื่องร้าย ความทรงจำเกี่ยวกับอุบัติภัยของธรณีหายไปสิ้น แต่ใครบางคนจะไม่มีวันลืมวันเวลาที่ล่วงเลย คุณสนธยาก้าวเข้ามาในธนาคาร แต่ครั้งนี้เขามิได้มาด้วยภาระของสังคมอย่างเคย แต่มาถอนเงินในบัญชี อันที่จริงก็เป็นเรื่องธรรมดาหรอกนะสำหรับการถอนเงิน แต่ใครหารู้ไม่ว่าเงินส่วนที่เขาแบ่งจากบัญชีบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยยังคงบริบูรณ์ เพราะเขามิได้นำเงินส่วนนี้ไปใช้เลย แต่เรื่องราวไม่คาดฝันก็บังเกิด เงินในบัญชีกว่าสิบล้านหายไป
ผมจะบอกประชาชนว่าธนาคารแห่งนี้ไม่มีความปลอดภัยอีกต่อไป เมื่อคุณตอบผมไม่ได้ว่าเงินของผมหายไปไหน ซ้ำยังปฏิเสธความรับผิดชอบอีกคุณสนธยาพูดอย่างเกรี้ยวกราดต่อหน้าผู้จัดการธนาคาร เมื่อเขาได้รับคำตอบที่ไม่ชวนฟัง
ใจเย็นสิคุณ ผมว่าคุณไม่กล้าทำหรอกผู้จัดการพูดอย่างเหมือนมีนัย
ทำไมผมจะไม่กล้า ก็ในเมื่อผมเป็นผู้เสียหาย เป็นผู้ถูกกระทำ
ผู้ถูกกระทำหรือ ไม่ใช่คุณหรอกมั่ง
คุณพูดเรื่องอะไร เงินของผมหายไปนะ ผมก็ต้องเป็นผู้เสียหายสิเขาพูด
คุณกล้าพูดว่าเป็นเงินของคุณอย่างนั้นหรือผู้จัดการธนาคารพูดอย่างผู้มีชัย
31 พฤษภาคม 2551