25 ตุลาคม 2551 08:46 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
ต้นคิมหันตฤดู หยาดน้ำค้างพราวระยับล้อแสงระวี ดอกหญ้าตามคันนาโอนไหว ลมแผ่วเบาพัดผ่านยอดข้าวขจี ก่อคลื่นเล็กๆลู่ไหวลูกแล้วลูกเล่าสุดสายตา เสียงจิ้งหรีดร้องคลอสายลมเป็นระยะ บนยอดไม้มีสกุณาเอื้อนเอ่ยพาที น้ำตกแผ่วเบาดุจเสียงกระซิบ แว่วมากับสายลมจากบนเขา กลีบเมฆสีทองจางลง ฟ้าครามประดับปุยเมฆขาวเรืองๆปรากฏ
ต้นข้าว รอเราด้วยสิ เด็กหญิงร้องบอก
ทนอีกนิดนะ ใกล้จะถึงแล้วเด็กชายตอบโดยไม่ยอมลดฝีเท้า
กลางทุ่งมีร่มจามจุรีใหญ่ ชาวนาใช้ปกแดดบังฝน มีแคร่ไม้ไผ่เล็กๆวางอยู่ เวลาว่างเด็กๆมักพากันมานั่งเล่น หากมองจากตรงนี้ไปทางหมู่บ้านจะเห็นทิวเขาโอบท้องทุ่ง อีกฟากเป็นบึงใหญ่ มีนกน้ำนานาชนิดบินขึ้นลง โดยเฉพาะยามเช้าและเวลาพลบค่ำจะมีฝูงนกสีขาวประมาณ 50 สิบตัว จะบินเป็นขบวน แปรสัญลักษณ์ต่างๆ
ยอดหญ้า เธอจะไปจริงๆหรอ ต้นข้าวถาม
ใช่ ย่าจะมารับเดือนหน้า สิ้นเสียงตอบ ความเงียบบังเกิดฉับพลัน เงาไหวๆยามจามจุรีต้องแสง กระทบแววตาดวงใส ก่อเป็นหยาดน้ำตาร่วงพรู
ตั้งแต่จำความได้ เธอก็เป็นยอดหญ้าที่เติบโตในท้องนา มีต้นข้าวเป็นเพื่อน ยามแดดกล้า ฟ้าฝนกระหน่ำ หรือลมผ่าน ทั้งคู่ยังเคียงข้าง เพื่อรอดื่มด่ำน้ำค้างยามรุ่งสาง แต่เดือนหน้า ดอกหญ้าแห่งท้องนาจะแรมรอนไปสถานอันแสนไกล
เด็กชายใจหาย คำตอบที่ได้ฟังสะเทือนใจ แต่น้ำตาจากดวงหน้าเด็กหญิงกระเทือนลึกถึงทรวง มือแผ่วเบาประจงลบรอยน้ำตา พร้อมถ้อยวาจาประโลม
อย่าร้องเลย เราเข้าใจดีว่าดอกหญ้ากลัว แต่ที่โน่นอาจดีกว่าก็ได้
เราไม่อยากไป เราอยากอยู่ที่นี่ เรารักที่นี่ ต้นข้าวเข้าใจไหมสายตาหวาดหวั่นสะท้อนจากดวงตาวาวใส คงอีกไม่นานทุกอย่างที่นี่จักเป็นเพียงความทรงจำ ยามชีวิตใหม่ดำเนิน
ตะวันคล้อยต่ำ สัญญาณให้ทุกชีวิตวางเคียว กระดิ่งวัวควายดังระงม ควันบางๆก่อตัวเป็นทาง ดวงอาทิตย์จางลงในกลุ่มควันนั้น ฤดูกาลเวียนผ่านปีแล้วปีเล่า เหมือนทุกอย่างคงเดิม ท้องทุ่งเขียวขจีก่อนรวงทองปรากฏ ธารน้ำไหลรินยามน้ำหลากและแห้งเขินเมื่อหน้าแล้งมาเยือน นกน้ำนานาชนิดดำรงชีวิตในบึงเช้าค่ำ แต่เด็กชายคราวนั้นโตเป็นหนุ่มกำยำแล้ว
ใต้เงาจามจุรี ยามอาทิตย์จวนอัสดง ต้นข้าวพักเหนื่อยหลังตรากตรำกรำงานแต่เช้ามืด สายตาจ้องมองทุ่งกว้างอันเป็นผลผลิตจากหยาดเหงื่อ สีทองจากรวงข้าวสลับเหลืองจางของตอฟางวาวระยับต้องลูกไฟสีแดงตรงโค้งฟ้า เขาหยิบกระดาษแผ่นยับจากกระเป๋าเสื้อ รอยยิ้มละไมจากดวงหน้าสีเข้มปรากฏ ข้อความประจงเขียนด้วยลายมือสวย เป็นจดหมายที่ดอกหญ้าเขียนถึงเขา
ถึง ต้นข้าว
ก่อนอื่นเราต้องขอโทษที่ตอบจดหมายช้า เพราะช่วงนี้กำลังอ่านหนังสือสอบ มีเวลาว่างจึงรีบตอบจดหมายทันที หวังว่าคงไม่ช้าไปสำหรับคนรอนะ เราเข้าใจว่าช่วงนี้เธอคงยุ่งกับงานในท้องนา ก็เป็นกำลังใจให้ อย่าโหมงานมากเกินไปจะไม่สบายเอา อ้อ เกือบลืมไป อาทิตย์หน้าแม่จะกลับไปเยี่ยมญาติที่หมู่บ้าน เราก็จะไปด้าย เราตื่นเต้นมากทีเดียวที่จะได้กลับ แม้จะไม่นานแต่เราจะตักตวงเอาความทรงจำให้มากที่สุด แล้วพบกันนะ
ปล. แน่นอนว่าเธอต้องบริการเรา แม้นจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม
ดอกหญ้า"
ต้นข้าวเฝ้าอ่านจดหมายฉบับนี้ไม่รู้เบื่อ ความสุขปิ่มล้นใจ นานแล้วที่เขาเฝ้าภาวะนาให้ดอกหญ้าหวนมา มีถ้อยคำมากมายจะเล่า มีเรื่องราวมากมายจะพรรณนา และมีเรื่องสำคัญที่จดหมายมิอาจสื่อได้ วันเวลาล่วงมาปีแล้วปีเล่า เสียงกระซิบของหัวใจเด็กน้อย กลายเป็นเสียงเพรียกหาจากชายหนุ่ม
เช้าวันนั้น รถคันงามวิ่งเข้ามาในหมู่บ้าน ต้นข้าวรู้ดีว่านั้นเป็นรถของน้าจันทร์ ไม่รอช้าเขารีบปั่นจักรยานคู่กายตามไป ภาพหญิงสาวก้าวลงจากรถ เธอสวยกว่าจินตนาการของเขาหลายเท่า ชั่วครู่เสียงหัวใจเขาเรียกร้องให้เข้าไปหา แต่สามัญสำนึกรั้งเขาไว้แน่น พิจารณาตนช่างแตกต่างหลายโยชน์ เทียบดอกฟ้ากับหมาวัดก็ไม่ผิด เขาตัดสินใจหันหลังกลับ
ต้นข้าวใช่ไหม เขาหันตามเสียงเรียก หญิงสาวเดินมาพรางส่งยิ้มละไม
เขายิ้มตอบ ตาประสานชั่วครู่ ความทรงจำพร่าเลือนแจ่มชัด สุขใจราวล่องลอยบนนภากาศอย่างอิสระ ปีกบางขาวสะอาดขยับเบาๆ ปุยเมฆขาวเทียบวิมารมาศเรืองอร่าม นางกำนัลซ้ายขวารายล้อม พัดวี คนธรรพ์บรรเลงสังคีต อัปสรรำร่ายอวดกายอรชร องค์อินทร์เคลิ้มอุรา
โคล้ม! เสียงกรีดร้องดังขึ้น
ต้นข้าวเราตกใจหมดเลย เธอปล่อยจักรยานทำไมเหรอ
จักรยานล้มนอนกับพื้น ล้อหน้าหมุนเบาๆ ขอโทษที มันหลุดมือ เราไม่ได้ตังใจนะต้นข้าวรีบตอบ เกรงว่าดอกหญ้าจะไม่พอใจเอา
ดอกหญ้ายิ้มพร้อมยื่นของฝากให้ด้วยยิ้มละไม
วันเวลาผ่านไป หนุ่มสาวตักตวงความประทับใจมากมายไว้ในกล่องความรู้สึก เสียงธารน้ำรินไหลเซาะโขดหินพลิ้วไหวดุจดนตรีแสนหวาน ผีเสื้อประจงจุมพิตดอกไม้ป่า นกน้ำย่างกรายริมบึง สายลมโชยชายทุ่ง ท้องฟ้าประดับว่าวย้ายโยกลีลา สกุณาขานขับ แต่เหมือนยิ่งตักตวงมากเท่าได กับยิ่งถวิลหาเท่าทวี กล่องความรู้สึกของคนเราคงใส่โลกใบเขื่องได้หลายใบนั้นไม่ผิดนัก ยิ่งวันจากใกล้เข้ามา ดอกหญ้าแทบอยากไปห้ามพระอาทิตย์ เหมือนหนุมานในรามเกียรติ์ที่เคยอ่าน
พรุ่งนี้ดอกหญ้าก็คงกลับไปกรุงเทพแล้วสินะต้นข้าวทำลายความเงียบลง ดอกหญ้ายังเหม่อมองท้องฟ้า ปุยเมฆแปรรูป แรกเป็นราชสีห์ มองอีกทีคล้ายสุนัข อีกก้อนเข้ามาสมทบ ผสานเป็นรูปหัวปรากฏบนท้องฟ้าหน้าฉากฟ้าคราม
ต้นข้าว เราถามอะไรหน่อยสิ เธอมีคนรักหรือยังดอกหญ้าถามทีเล่นทีจริง
หัวใจคนถูกถามพองโต ตลอดเวลาดอกหญ้าไม่เคยพูดเรื่องความรักกับต้นกล้า ทั้งที่เขาอยากพูด แต่วันนี้อีกฝ่ายเปิดทาง
ดอกหญ้าก็น่าจะรู้นะชายหนุ่มตอบหยั่งเชิง
ดอกหญ้าขมวดคิ้ว ฉงนกับคำตอบของต้นข้าว
เราจะรู้ได้ยังไงล่ะ เรามาที่นี่ยังไม่ถึงอาทิตย์ด้วยซ้ำรูปหัวใจบนท้องฟ้าสลายไป
ถ้าอายก็ไม่ต้องบอกก็ได้ แต่งานแต่งอย่าลืมเราก็แล้วกันดอกหญ้าปิดทาง
น้ำคำที่ได้รับ ดุจน้ำเย็นเฉียบราดลงเหล็กเผาไฟสีแดงใส เสียงซ่าพร้อมควันสีขาวขุ่นพวยพุ่งสู่เบื้องสูง หัวใจแห่งรักเพาะบ่มด้วยอุ่นไอความหวัง ความเร่าร้อนและแรงเพรียกหานำพาหัวใจให้สุกงอมเมื่อดอกหญ้าหวนกลับมา แต่เขากลับได้รับน้ำแข็งเป็นกำนัลตลอดเวลาที่อยู่กับเธอ อายเย็นแห่งความสนิทสนมดูดซับแรงถวิลหาให้เฉื่อยชาลงทีละนิด มิตรภาพวัยเยาว์ฉายกระจ่างชัด บดบังนิยามรักแห่งหนุ่มสาวแล้วสิ้น
ต้นข้าวนึกย้อนไปหลายปีก่อน ใต้ร่มจามจุรีนี้ ดอกหญ้าคงตั้งหน้าทำช่อดอกไม้จากดอกหญ้าสีต่างๆ ขณะที่เขาจะบรรเลงเพลงปี่ที่ทำมาจากต้นข้าวขับกล่อม เพลงปี่ของเขาไม่ธรรมดาเลย หากใครได้ยินเสียงจำต้องหลับทุกราย โดยเฉพาะตัวเขาเอง พอตื่นขึ้นมาก็จะเห็นช่อดอกไม้หลายช่อวางอยู่ หนึ่งในนั้นเป็นของเขา แม้ดอกหญ้าจะเหี่ยวแห้งไปตามกาล แต่ความรู้สึกดีๆนั้นหาได้อับเฉาไป ยิ่งนานวันยิ่งเพิ่มทวี
มันก็ต้องอย่างนั้นอยู่แล้ว ว่าแต่เธอก็เหมือนกันล่ะ อย่าลืมบอกเราแล้วกันต้นข้าวพูดด้วยน้ำเสียงแจ่มใส อีกฝ่ายพลอยยิ้มตาม เสียงหัวเราะระคนความสุขจึงปกคลุมท้องทุ่ง
อาทิตย์คล้อยต่ำลง เมฆสีแดงเป็นริ้วเด่นชัด ลมเย็นพัดเบาๆ ดอกหญ้าสีขาวโอนไหว ข้าวใบเรียวสีทองเข้มไหวระริก
เดี๋ยวเราจะไปเด็ดดอกหญ้ามาทำช่อดอกไม้ให้นะ
อย่าเลย ถ้าเราเด็ดดอกหญ้ามา ไม่นานก็จะเหี่ยวแห้งไป สู้ให้ดอกหญ้าได้ชูไสวอย่างอิสระ เพื่อเราจะได้ชื่นชมความงามของดอกหญ้าทุกวัน แสงสุดท้ายแห่งวันสิ้นสุด ดอกหญ้าบนคันนายังไหวระริกเช่นเดียวกับต้นข้าวอร่ามท่ามกลางแสงจันทร์