3 สิงหาคม 2551 09:07 น.

ความเรียงเรื่องแม่

กฤตศิลป์ ชินบุตร

แม่คือชีวิตทั้งชีวิตของลูก คำกล่าวนี้มิได้ห่างไกลไปจากความเป็นจริงเลย หากแต่ยังน้อยนิดด้วยช้ำไปเมื่อเทียบกับคุณงามความดีอันยิ่งใหญ่ของท่าน ทั้งนี้เพราะเรามิได้เสพไอทิพย์สุริยันแล้วอุบัติมาจากก้อนหินอย่างภาพยนตร์ไซอิ๋ว แต่เราทุกคนนั้นล้วนเกิดมาจากครรภ์แม่ ซึ่งเป็นครรภ์ที่เปี่ยมไปด้วยความรัก รักนั้นกว่าชีวิตของท่านเสียอีก ที่เราเติบใหญ่มาได้ด้วยใครเลี้ยงดู ใครเจ็บยามเราปวด ใครเคียงข้างยามเราอ้างว้าง ใครให้ทุกอย่างแก่เรา แต่ปฏิเสธที่จะรับ สำหรับผมที่กล่าวมานั้นคือแม่  จึงไม่เกินจริงไปเลยที่จะอ้างว่าชีวิตทั้งชีวิตของลูกๆทุกคนล้วนคือชีวิตแม่


	แม่อดเพื่อลูกอิ่ม แม่กรำแดดแผดร้อนเพื่อให้ลูกได้เรียนหนังสือ แม่ให้ทุกอย่างได้แม้แต่เดือนกับดาวหากลูกต้องการ คำเหล่านั้นมิได้เป็นเพียงวาจาที่สักแต่พูด หากแต่เป็นพจนาที่ผมประจักษ์จากการกระทำของแม่แล้ว กว่าเก้าปีที่ท่านต้องรับภาระในการเลี้ยงดูลูกชายสองคนเพียงลำพัง ทั้งฐานะที่ยากจนอย่างชาวนา แต่แม่ก็ยังตรากตรำทำงานสารพัดเท่าแรงกายของแม่จะสามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงิน ลูกประจักษ์ดีว่าสิ่งที่แม่เพียรทำนั้นหาใช่เพื่อตัวแม่หรอก แต่คือปีกกล้าที่แม่มอบให้ลูกใช้โบยบินในสังคมอย่างภาคภูมิ


	ความเสียสละใดทั้งปวงเท่าแม่ที่มอบได้แม้กระทั่งร่างกายเพื่อรักษาชีวิตลูก ความเมตตาใดเท่ากรุณาที่แม่มีต่อลูก ความห่วงใดฤาเป็นห่วงอันบริสุทธิ์เท่าห่วงใยที่แม่มีให้ลูก ทั้งมวลที่แม่สร้างล้วนเพื่อลูก ชีวิตแม่จึงคล้ายคนเจียระไนเพชร ซึ่งต้องอาศัยความยากลำบากกว่าจะเป็นเพชรอันล้ำค่าที่ผู้คนต่างชื่นชมและหมายปอง ความสุขของแม่ก็คือการที่ลูกเป็นคนดี และเป็นที่รักของทุกคน เฉกเช่นสร้อยแหวนประกายวาวของช่างเจียระไนเพชรที่ทุกคนใฝ่ปองนั้นเอง


	หากกล่าวว่าสิ่งใดสำคัญในชีวิต ลูกคนนี้กล้าพูดอย่างไม่อายใครในหล้านี้ว่า สิ่งนั้นก็คือแม่บังเกิดเกล้า เพราะหากไม่มีแม่ก็ไม่มีลูก แต่ถ้ามีลูกก็ต้องมีแม่ วันนี้ผมจะร่วมถักทอผ้าผวยผืนนั้นให้เป็นผ้าผวยที่งดงามดั่งใจแม่ปรารถนา หากวันหน้าผ้าผวยผืนนั้นจะไร้เงาแม่ แต่มีแน่คือตัวลูกจะถักทอต่อฝันของแม่ต่อไป ...ผ้าผวยผืนนั้นจักห่มกายลูกนิรันดร์				
22 กรกฎาคม 2551 01:06 น.

รอยเท้าควาย

กฤตศิลป์ ชินบุตร

ตาวันคล้อยต่ำ ปรากฏลูกไม้สุกแดงส้มไหวๆปลายยอดไม้สุดสายตา ที่ซึ่งขอบฟ้าบรรจบพสุธา ก่อนความมืดจะผสานเส้นแบ่งขอบฟ้าและผิวดินเป็นหนึ่งเดียวกัน ยินเสียงหรีดหริ่งบรรเลงเพลงรับวันใหม่ของมวลสรรพสัตว์ในท้องทุ่ง ขณะที่ชาวนามุ่งสู่เคหะสถานเพื่อพักผ่อน ก่อนรุ่งสางของมนุษย์จะเวียนมา

	แสงไฟนีออนดวงเล็กกระพริบไหวท่ามกลางความมืดมิดที่ห่อหุ้มอาณาบริเวณนี้ ยามลมพัดโชย ชายเสื้อของเด็กน้อยก็สะบัดปลิวอย่างอิสระ ท้องทุ่งยามค่ำคืนให้มากกว่าความหวาดกลัว ความเหน็บหนาวแห่งทิวากาลช่างซาบซ่านใจ หรีดหริ่งเรไรผสานเสียงเป็นบทเพลงอันไพเราะ  ดุจบรรเลงจากสรวงสวรรค์ ประสาทสัมผัสของเด็กน้อยวางเปล่า เพื่อดูดด่ำกับความสุขที่เขาค้นพบ ราวกับอยู่คนเดียวในโลกกว้างใบนี้  

	เวลาผ่านไปนาทีต่อนาที  แต่เหมือนจักรวาลหยุดโคจร ดารากรไม่เคลื่อนคล้อย มีเพียงเด็กน้อยที่กำลังล่อยลอยในเวิ้งน้ำ ปีนป่านปุยเมฆบางเบา และท่องไปในเอกภพอันลี้ลับเท่าที่จินตนาการของเขาจะเนรมิตขึ้น ชั่วประเดี๋ยวเหมือนบทเพลงของคนธรรพ์ค่อยๆเงียบลงไปพร้อมกับสายลม บรรยากาศแสนสบายแปรเปลี่ยนเป็นความอบอ้าวอย่างหน้าร้อนเดือนเมษา เหงื่อกาฬของเขาผลุดขึ้นอย่างรวดเร็ว เร็วพอๆกับหัวใจที่เต้นเป็นรัวกลองเพล  

	แสงสีส้มปรากฏแทนที่ไฟนีออนตอนหัวค่ำ แสงนั้นค่อยๆเด่นชัดขึ้น เด็กน้อยเพ่งสายตามอง ทุกครั้งที่แสงไฟดวงนั้นดับไป จะปรากฏลูกไฟที่ใหญ่กว่าขึ้นมาแทน เสียงยายผู้ล่วงลับก้องกังวานในโสต
	ท้องนาตอนกลางคืนมันไม่ได้เป็นของเราหรอกนะ ดำ ยายบอกดำขณะที่เขาจะหนีพ่อไปในนาตอนดึกคืนหนึ่ง 
	ท่ามกลางความมืดมิด มีสิ่งที่เรามองไม่เห็นมากมายสถิตอยู่ พวกมันรวมตัวกันเป็นหมู่บ้านและอยู่อย่างสงบตามวิถี ตราบที่ไม่มีใครรบกวนหรือลบหลู่ดูหมิ่นพวกเขา เราก็จะอยู่กันด้วยดี 
	เคยมีคนไปลบหลู่พวกเขาไหมยายดำถามอย่างสนใจ
	ตาของหลานไง
	วันนั้นควายของเพื่อนบ้านหายไป พวกผู้ชายก็ออกตามหากัน ทุกคนแยกย้ายไปตามจุดที่สงสัยว่าควายจะซ่อนอยู่ ตาเดินไปคนเดียวเป็นเวลานาน กระทั่งรู้ตัวว่าตนเองมาถึงดอนทึบกลางทุ่ง ตาลังเลว่าจะเข้าไปดีไหม ระหว่างตัดสินใจนั้น ตาก็เหลือบเห็นแสงรำไรในดอน ตาคาดว่าจะเป็นคณะที่ออกมาตามควายด้วยกันจึงตามเข้าไป ดอนนี้รกมาก พุ่มไม้เล็กๆทึบไปหมด ตาพยายามวิ่งให้ทันพวกเขา แต่ยิ่งตามก็เหมือนกลุ่มแสงนั้นยิ่งห่างออกไป และในที่สุดแสงไฟกลุ่มนั้นก็หายไป    ตาจึงรู้สึกถึงความวังเวงของสถานทีแห่งนี้ในบัดดล เสี้ยววินาทีที่ตาตัดสินใจหันหลังกลับ ก็ปรากฏลูกไฟห้าดวงต่อหน้าต่อตา แทนที่ตาจะโล่งอก กลับทำให้ตาเกือบร้องไห้ เพราะสิ่งที่เห็นนั้นไม่ใช่คน
แล้วเป็นอะไรหรือยาย ดำสนใจยิ่ง

ผีกระสือยายพูดเสียงเรียบๆ แต่ชวนให้ขนในกายดำลุกชัน 
แสงไฟดวงนั้นใกล้เข้ามาทุกขณะ หากเป็นกระสืออย่างที่ยายเล่า เขาจะทำอย่างไรดี ยายเล่าเรื่องตากับผีกระสือยังไม่จบ เลยไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร และเขาไม่มีโอกาสถามยายอีกแล้ว เด็กน้อยพยายามบังคับจิตใจตัวเองมาสนใจในความงามของท้องทุ่ง ดวงดาว หรีดหริ่ง กระสือ สายลม น้ำค้าง กระสือ และกระสือ 
ไม่กี่เมตรข้างหน้า ดวงไฟลอยเวียนวนไปมา แน่แล้วเด็กน้อยคิด เขาโดนดีเข้าแล้ว อึดใจเดียวแสงนั้นจะมาถึง ใจเขาอยากจะวิ่งหนีแต่ขากลับขยับเขยื้อนไม่ได้  ในที่สุดแสงนั้นก็ปรากฏตรงหน้า ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เด็กน้อยจึงวิ่งเข้าหาลำแสงพร้อมกำปั้นสุดแรงเกิด ไม่มีแรงปะทะเหมือนชกอากาศ เขาถลำลงจากคันนา  ดวงแสงนั้นอยู่ข้างหลังเขา เสี้ยวสมองของเด็กน้อยพยายามอย่างหนักที่จะบอกให้เขาวิ่งหนี แต่ช้าไปแล้ว เขาวิ่งไม่ได้เพราะมีมือมารั้งบ่าเขาไว้ 
ดำเป็นอะไรไหม นี่พ่อเองนะ
ทันทีที่เขาได้ยินเสียง เลือดในกายดำก็อุ่นขึ้นอย่างฉับพลัน  เขาอยากเข้าไปกอดพ่อเหลือเกิน มีอะไรมากมายที่จะบอกพ่อ กระนั้นก็มิได้ยินเสียงจากริมฝีปากของดำเลย 
ผมมาเดินเล่นครับดำตอบพ่อหลังถูกยิงคำถาม ซึ่งเป็นคำตอบที่ไม่เข้าท่าเลย พ่อก็ทำเป็นเข้าใจ ประดุจว่าเขาถูกที่สุด
งั้นตอนนี้ก็ได้เวลากลับแล้วใช่ไหมพ่อพูดต่อ
ครับดำจำใจตอบ 


รุ่งขึ้นเสียงไก่ขันระงม ดำดึงผ้าห่มผืนเก่าขึ้นคลุมหัว เท้าจึงโผล่รับแสงยามอรุณแทน อันที่จริงดำอยากจะลุกมาดูพระอาทิตย์รุ่งอรุณ แต่สัญญาณไม่ดีบังเกิดขึ้นในบ้านอีกแล้ว ไม่รู้ว่าแม่เป็นนักโต้วาทีหรืออย่างไร ถึงพูดเก่งชั้นเลิศ เรื่องโน้นที เรื่องนั้นที ดำเคยชอบที่แม่พูดเก่งนะ เพราะมันทำให้ครอบครัวเขามีชีวิตชีวา ถึงบางครั้งคำพูดเหล่านั้นก็เรื่องเดือดร้อนมาสู่ครอบครัวของเขาก็ตาม แต่เวลานี้ในครอบครัวมีนักพูดเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน คือพ่อ หลังจากพ่อกลับมาจากกรุงเทพครั้งล่าสุด พ่อก็เปลี่ยนไป แต่ไหนแต่ไรพ่อเชื่อฟังแม่ทุกอย่าง แม่ว่าอะไรพ่อไม่เคยขัด ทุกวันนี้พ่อต่อคำแม่ได้ทุกคำ และที่ดำกลัวยิ่งก็คือแนวมองของทั้งคู่มักขัดแย้งกันเสมอ เช่นว่าแม่ทำน้ำพริกกะปิ พ่อก็อยากกินน้ำพริกแมงดา พ่ออยากไปสวน แม่ก็ไปนา บัดนั้นมาดำไม่ได้ยินว่าพ่อเรียกแม่ว่าแม่เหมือนก่อน แม่ก็ไม่เอ่ยคำว่าพ่อให้ดำได้ยินอีกเลย สิ่งที่ดำไม่ปรารถนากลับเป็นสิ่งที่ดำต้องได้ยิน แม่กับพ่อปะคารมกันประจำ บางวันก็เริ่มตั้งแต่ไก่โห่จนหรีดหริ่งบรรเลงเพลงกล่อมราตรี


สายแล้ว พ่อกับแม่ออกไปนา ดำลุกออกมากินข้าว แม่จัดเตรียมให้เขาหลายอย่าง นั้นแปลว่ารวมถึงมื้อเที่ยงด้วย ขณะนั่งกินข้าว เขาเพ่งสายตาไปไกลในท้องทุ่ง เขารู้ว่าแม่และพ่อทำงานเพื่อใคร ยามแม่เหนื่อยแม่ยิ้มเมื่อเห็นเขา พ่อล้าพ่อหายยามเขาอยู่ใกล้  เขารู้ว่าพ่อและแม่รักเขา แต่ท่านก็รักการปะคารมด้วย ดำพยายามทำทุกวิถีทางที่จะให้ทั้งคู่กลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ไม่เคยเป็นผล เหมือนกับแก้วที่แตกนั่นเหละ ต่อให้เราใช้กาวที่ดีมีคุณสมบัติเหนียวทนทานมากที่สุดในโลกนี้มาต่อเข้าไว้เหมือนเดิม มันก็ไม่มีทางเหมือนเดิมได้เลย 
บ่ายมากแล้วตาวันคล้อยต่ำในทิศตรงกันข้ามกับทิศที่มันขึ้นมา แดดอ่อนสุริยการ ดำออกไปวิ่งเล่นตามท้องนาเช่นเคย เขาเพลิดเพลินไปกับสิ่งที่ธรรมชาติรังสรรค์มา สองคันนามียอดหญ้าโอนไหว เขาเก็บดอกหญ้าสวยๆเหล่านั้นได้เต็มกำมือ จึงไปนั่งไต้ร่มหว้าใหญ่ เขาแบ่งดอกไม้ออกเป็นสองกอง แล้วเอาเถาวัลย์มัดเข้าด้วยกันเป็นช่อเล็กๆ ดำยกช่อดอกไม้ขึ้นดูอย่างพินิจ มันยังไม่ถูกใจเขาเลย เขาครุ่นคิดสักครู่ จึงลุกไปเด็ดใบหญ้ามาหนึ่งกำ มือน้อยๆบรรจงแซมใบหญ้าลงไปในช่อดอกไม้ ยิ้มละไมแย้มงามแต่งแต้มใบหน้าแสดงว่าเขาพอใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแล้ว 


เงาตะคุ่มไหวๆแน่วทางมา ภาพสลัวในความมืดค่อยๆหายลับไปพร้อมทินกร แสงไฟในหมู่บ้านจึงสว่างขึ้น ในมือน้อยที่กำลังมุ่งสู่แสงไฟนั้นมีช่อดอกไม้ที่ทำจากดอกหญ้าสองช่อ แต่พอมาถึงรั้วบ้าน ดอกไม้ทั้งสองช่อจำต้องลงไปสัมผัสพื้นดินโดยไม่ตั้งใจ เบื้องหน้าคือภาพพ่อตบหน้าแม่ แม้นเสียงปะคารมจะหายไป แต่เสียงสะอื้นของแม่ช่างเสียดแทงถึงขั้วหัวใจเขายิ่งกว่าหลายเท่า ช่อดอกไม้ถูกลมพัดพากระจัดกระจาย สายฝนสาดเทกระทั้งรุ่งเช้า  


แม่ประหลาดใจที่เห็นดำลุกแต่เช้า จึงพยายามเลี่ยงใบหน้าพกช้ำมิให้ดำเห็น ส่วนพ่อนั้นไม่อยู่เสียแล้ว ดำเดินเข้าไปใกล้แม่ก่อนจะเอ่ยถาม
แม่ครับ เจ็บมากไหม
แม่ชะงักแล้วหันมาหาดำ รอยช้ำเด่นชัดบนใบหน้า เขาสงสารแม่เหลือเกิน ไม่รู้ว่าผีห่าซาตานตนไหนสาปแช่งครอบครัวเขา ระยะเวลาอันสั้นถึงทำให้พ่อเปลี่ยนไป จากพ่อคนที่ยอมแม่ทุกอย่าง จากพ่อที่สุภาพไม่มีคำหยาบโลนจากวาจา กลายมาเป็นพ่อที่ดูแข็งกร้าว และรุนแรงเพียงนี้ น้ำตาของแม่ไหลรินอาบแก้มดำเป็นทาง แม่บรรจงวางนิ้วแผ่วเบาไต้ดวงตาของดำ เขาจึงรู้ตัวว่าตนเองกำลังร้องไห้
แม่ไม่เป็นไรหรอกดำ เจ็บแค่นี้เอง ดำน่ะต้องเข้มแข็งรู้ไหม


ไกลออกไป สายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องสองแม่ลูก เส้นเอ็นทุกเส้นในผิวกายกำยำปรากฏชัด เขาวิตกกังวล ทั้งเรื่องเมื่อคืนนี้ และเส้นทางอนาคตที่รอเขาอยู่ ทางสองแพร่งข้างหน้าเขาจะเลือกทางไหน ทางหนึ่งคือลูกเมีย ทางหนึ่งคือเพื่อนพ้อง ซึ่งทั้งสองทางล้วนแล้วแต่สำคัญ จดหมายจากเพื่อนส่งมาถึงเขาเมื่อวานนี้ เพื่อแจ้งกำหนดการเข้ากรุงเทพเหมือนก่อน แต่คราวนี้ถูกเมียห้ามไว้ เธออ้างว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปกรุงเทพ สู้เอาเวลามาทุ่มกับการงานในนาในไร่เพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคงให้กับลูกจะดีกว่า อย่างไรเขาก็ยังยืนการที่จะเข้ากรุงเทพพร้อมกับเพื่อน จึงเกิดปากเสียงขึ้น เขารู้ว่าทำไมเธอห้ามเขา ไม่ใช่เหตุผลที่เธออ้างหรอก เพราะที่จริงแล้วเธอพยายามจะเอาชนะเขาต่างหาก 
คุณห้ามผมไม่ได้หรอก มันเป็นอุดมการณ์ของพวกผม เขาแย้ง
อุดมการณ์อะไรก็ช่าง แต่คุณต้องดูแลฉันกับลูก
ผมรู้หน้าที่ของผมดี คุณไม่ต้องมาบอก มาสอนผม ที่ผมไปก็ไม่ได้ทำอะไรเสียหาย ไปเพื่อพวกเราทุกคน
ไม่เสียหายหรอก ทำเพื่อเราทุกคนด้วย ฉันว่ามันก็เป็นเพียงข้ออ้างละมั่งภรรยาแย้ง
พอเหอะ ยังไงเราก็ไม่มีวันมองตรงกันในเรื่องนี้ และผมจะไป ใครก็ห้ามไม่ได้
ถ้าคุณไป ก็ไม่ต้องกลับมาอีก ฉันจะดูแลลูกเองภรรยาพูดเสียงกร้าว
คุณมันไร้เหตุผลเขาพูดก่อนจะมุ่งสู่หมู่บ้านอย่างหัวเสีย 
ค่ำวันนั้น ภายใต้แสงไฟในบ้าน สองแม่ลูกนั่งกินอาหารอย่างเงียบกริบผิดวิสัยเดิม ดำไม่ชอบบรรยากาศนี้เลย ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เขาเพรียกหา หากแต่รูปการที่เขาวาดมิใช่แบบนี้  ครอบครัวเขาควรอยู่พร้อมหน้า บัดนี้พ่อไม่อยู่แล้ว แต่นี้ไปคงเหลือเพียงความเงียบและความเหงาที่จะดำเนินต่อไปโดยไม่มีที่สิ้นสุด
	พ่อไปแล้วนะลูก ต่อไปนี้ก็เหลือเพียงเราสองคนเท่านั้นนะแม่ทำลายความเงียบลง
	แม่ครับ อย่าห่วงเลยยังไงผมต้องดูแลแม่อยู่แล้ว ดำแสร้งทำเป็นเข้มแข็ง
	แม่ดีใจที่ลูกเข้มแข็ง แต่ตอนนี้ลูกต้องตั้งใจเรียนหนังสือ อาทิตย์หน้าก็จะเปิดเทอมแล้ว
	แต่ผมอยากช่วยแม่ทำงาน
	เอาไว้ลูกโตกว่านี้ก่อนนะ แล้วแม่จะให้ลูกทำ
	ดำได้ยินเสียงสะอื้นของแม่ในคืนนั้น ทำให้เขาเกลียดพ่อเหลือเกิน พ่อเลือกอุดมการณ์ของพ่อ พ่อทิ้งแม่ พ่อทิ้งเขา และเขาก็เกลียดอุดมการณ์ของพ่อ 

	ดำกับแม่มุ่งสู่ท้องนาแต่เช้าตรู่ โดยมีแม่ควายกับลูกแหง่นำหน้า พอถึงดอนที่เลี้ยงควายแม่ก็ผูกเชือกตัวแม่ไว้กับตอไม้ที่ปักไว้ในดินเช่นเคย 
	แม่ครับ ทำไมไม่ผูกลูกควายด้วยล่ะ
	มันไม่หนีจากแม่มันหรอก เพราะมันติดแม่จะตายแม่ตอบ
	ผมจะเฝ้ามันเองนะแม่ดำอาสา
	แม่ควายบดเอื้องเนืองๆ นานครั้งจึงใช้หางปัดแมลงหวีที่ตอมตามเนื้อตามตัว ขณะที่ลูกแหง่ก็วิ่งซุกซน เดี๋ยวไปโน่น เดี๋ยวมานี่ แม่ควายต้องร้องเตือนเป็นระยะๆ เพื่อให้ลูกระแวดระวังภัยต่างๆ ความสดใสของลูกควาย ทำให้จิตใจดำเบิกบานขึ้น หลังจากครอบครัวเขาต้องเผชิญกับเรื่องเลวร้าย ดำจ่อมจมในห้วงความคิด เขารู้ว่าแม่รักเขา และจะปกป้องเขาได้เป็นอย่างดี แต่จะไม่ดีกว่าหรือหากพ่อกลับมาอยู่กับเขาอีก แม่จะได้ไม่ต้องทำงานหนัก ไม่รู้ว่าป่านนี้พ่ออยู่ที่ไหน พ่อจะรู้ไหมหนาว่าเขาคิดถึงพ่อแค่ไหน และเขาปรารถนาที่จะเห็นพ่อกลับมามากเพียงใด 


	เสียงร้องของแม่ควายปลุกเขาจากภวังค์  มันไม่ใช่เสียงปรกติ แต่เป็นเสียงร้องเร็วรัวและรุ่มร้อน แม่ควายพยายามสลัดเชือกที่พันธนาการให้หลุด จึงทำให้บริเวณจมูกที่สนตะพายแดงกร่ำ ดำยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แม่ก็มาถึง และวิ่งไปที่ป่าทึบข้างดอน ดำจะตามเข้าไป แต่แม่บอกให้เขาไปตามลุงกล้ากับเพื่อนสักสามสี่คน เมื่อเขากลับมาก็เห็นพวกผู้ใหญ่มุงดูอะไรในหลุม พอดำเข้าไปแม่ก็บอกว่า อย่าดูเลยลูก และก็จูงมือเขาออกมาพร้อมกับลุงกล้า แม่กับลุงพยายามดึงแม่ควายให้กลับเข้าหมู่บ้าน โดยที่เสียงร้องของแม่ควายยังเป็นระยะๆ และในที่สุดก็แผ่วลงไป ดำจึงเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น
เวลาผ่านไปหลายเดือนแล้ว ท้องทุ่งเป็นสีทองอร่ามรองเรือง แต่ก็ยังไม่มีข่าวคราวของพ่อเลย ไม่มีใครรู้ว่าพ่อไปอยู่ไหน ดำได้แต่ภาวนาว่า ครอบครัวของเขาคงมิได้สูญเสียลูกแหง่ไปจริงๆหรอก

						
20 กรกฎาคม 2551				
16 กรกฎาคม 2551 01:10 น.

รักษ์โลก แล้วโลกจะรักษ์เรา

กฤตศิลป์ ชินบุตร

กว่าเป็นโลกย่อมผ่านกาลเวลา		
สรรพสิ่งเกิดมาด้วยรังสรรค์
แล้ววันนี้โลกเราป่วยลงพลัน			
จะมีใครเหลียวหันมาแลดู


ยามคนป่วยมีหมอเฝ้ารักษา		
แล้วโลกป่วยใครหนาจะรับรู้
ไม่รักษ์โลกภัยร้ายจึงพรั่งพรู			
กวาดศัตรูของโลกให้สิ้นไป


                    ในสภาวการณ์โลกในปัจจุบัน  เราจะเห็นได้ว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต  ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อมที่เสื่อมโทรม สภาพภูมิอากาศที่ผันผวนเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว ฝนฟ้าก็ไม่ตกต้องตามฤดูกาล  ภัยธรรมชาติต่างๆก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น เมื่อภัยเหล่านั้นอุบัติมาย่อมคร่าชีวิตผู้คนเป็นจำนวนมาก และยังทำลายทรัพย์สินบ้านเรือนให้ย่อยยับอย่างไม่ปราณี ทุกคนอาจเข้าใจว่าภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม โคลนถล่ม แผ่นดินไหว ภัยแล้ง ซึนามิและพายุ ล้วนเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่างปกติ โดยหารู้ไม่ว่าสองมือของคุณต่างหากที่สร้างมันขึ้นมา


	ปัญหาหลักที่โลกกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ คือภาวการณ์ที่ปรากฏการณ์เรือนกระจกธรรมชาติถูกรบกวน กล่าวคือในชั้นบรรยากาศโลกเรานี้มีสารเรือนกระจกตามธรรมชาติ ซึ่งทำหน้ารักษาอุณหภูมิภายในโลกมิให้แปรเปลี่ยนอย่างฉับพลัน เมื่อแสงอาทิตย์ผ่านเข้ามาในโลกก็จะสะท้อนกลับสู่บรรยากาศ และมีบางส่วนที่ถูกเก็บไว้ภายในโลกเพื่อรักษาอุณหภูมิของโลกในเวลากลางคืน แต่ขณะนี้ก๊าซเรือนกระจกได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนปริมาณความร้อนที่สะท้อนกลับออกไปจากโลกน้อยลง อุณหภูมิของโลกจึงสูงขึ้น และเกิดเป็นภาวะโลกร้อนอย่างปัจจุบันนี้


	เมื่อโลกร้อนขึ้นอย่างฉับพลันย่อมกระทบต่อสมดุลของระบบต่างๆ เช่นน้ำแข็งขั้วโลกละลาย  ปริมาณน้ำทะเลที่สูงขึ้น อัตราการเกิดภัยธรรมชาติถี่ขึ้นและมีความรุนแรงมากขึ้นอีกด้วย ซึ่งมนุษย์ทุกมุม โลกต่างเป็นผู้รับโทษภัยเหล่านั้นอย่างปฏิเสธไม่ได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น พายุ แผ่นดินไหว      ซึนามิ น้ำท่วม ภัยแล้ง เมื่อภัยพิบัติเกิดขึ้นย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไปทั่วโลก


	การเสียสมดุลของโลกในขณะนี้เทียบได้ว่าโลกกำลังป่วย ระบบต่างๆกำลังรวนจนไม่สามารถทำงานได้อย่างปกติ ด้วยสาเหตุเดียวกันกับการป่วยของคนยามร่างกายอ่อนแอ เชื้อโรคสามารถเข้าไปทำลายระบบต่างๆร่างกายได้  เช่นเดียวกันโลกก็ป่วยด้วยมลภาวะต่างๆที่มนุษย์ผลิตออกมา ทั้งจากโรงงานอุตสาหกรรม 40 เปอร์เซ็นต์  ตึกรามบ้านช่อง 31 เปอร์เซ็นต์  ยวดยานพาหนะ 22 เปอร์เซ็นต์ และการเกษตร 4 เปอร์เซ็นต์  มลพิษเหล่านั้นเป็นเหมือนเชื้อโรคที่แทรกซึมในร่างกาย โลกเราจึงวิกฤตดังเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ และกำลังรอการรักษาเยียวยาเพื่อคืนสมดุลในระบบต่างๆ 


	จึงเป็นหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องร่วมกันรักษาโลกใบนี้ให้หายป่วย ด้วยสองมือน้อยๆของทุกคนที่จะร่วมลดการสร้างมลภาวะต่างๆ ลดการใช้พลังงานอย่างฟุ่มเฟือย และเยียวยาโลกด้วยการปลูกต้นไม้ คงไม่นานโลกโสภณใบเดิมจักกลับมา และสถิตอยู่ตราบเท่าที่เราทุกคนยังรักษ์โลก โลกและเราก็จักเกื้อกูลกัน ภัยร้ายต่างๆที่เผชิญในปัจจุบันย่อมลดน้อยลง หากวันนี้เรารักษ์โลก พรุ่งนี้โลกจักรักษ์เรา ถ้าวันนี้เรารักโลก แสดงว่าวันนี้เรารักตัวเองและเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน 

	 
ร้อยดวงใจน้อยใหญ่ทุกดวงมาน		
รวมผสานพันธกิจพิชิตหมาย
รู้รักษ์ประจักษ์มั่นจวบวางวาย			
เร่งป้องภัยทำร้ายโลกโสภณ 


รักษ์โลกเถอะแล้วโลกจะมอบรักษ์	
ป้องโลกเถอะโลกจักชโลมฝน
รักโลกแล้วแพร้วเพริศในกมล			
โลกรักษ์คนคนรักษ์โลกอกาลิโกฯ

16 กรกฏาคม 2551 เวลา 1.09 น.				
28 มิถุนายน 2551 23:42 น.

นักเขียนขยะ

กฤตศิลป์ ชินบุตร

ในมือของชายคนนั้นมีซองกระดาษสีน้ำตาลเก่าๆ เขาจับซองใบนั้นอย่างมั่นคงราวกับเกรงว่ามันจะดิ้นหลุดไป แสดงว่าของในซองใบนั้นสำคัญกับเขามาก อาจจะเป็นเงิน โฉนดที่ดินหรือของมีค่าอะไรสักอย่าง บางที่ก็อาจเป็นสิ่งเลวร้ายจนเขามิกล้าเปิดเผย ยิ่งการแต่งกายของเขามอซอยังกะโจร เสื้อเก่าๆขาดๆ ไว้หนวดไว้เครารุงรัง จึงสนับสนุนแนวคิดนี้

เขาเดินมาถึงหัวมุมถนนจึงเลี้ยวสู่อาคารหลังเล็ก ซึ่งคร่ำครึเช่นเดียวกับบุรุษมอซอที่กำลังก้าวเท้า เข้าไป ทว่าภายในอาคารกับตกแต่งสวยงามและสดใส ผิดกับสภาพแวดล้อมภายนอกอย่างมาก แรกเลยเขาคิดว่าที่นี่จะยินดีต้อนรับเขาอย่างมิตร ขณะนี้เขาตระหนักแล้วว่าควรจะใช้เวลาอยู่ที่นี่ให้น้อยที่สุด 
ผมมาหา บอกอ ครับ เขาเอ่ยกับพนักงาน
นัดไว้หรือเปล่าค่ะ พนักงานสาวสวยย้อนถาม
เขาลังเล เพื่อครุ่นคิดถึงผลได้ผลเสีย หากเขาจะตอบว่าเขานัดไว้แล้ว เพราะถ้าเขาโกหก อาจทำให้งานของเขาล้มเหลวตั้งแต่ประโยคแรกของการสนทนา แต่ถ้าเขาบอกว่าไม่ได้นัด โอกาสได้เข้าพบ บอกอ คงยากยิ่ง เพราะคนเหล่านี้ล้วนไม่ค่อยใยดีกับนักเขียนโนเนม  และคำตอบที่ได้รับก็อาจเป็นว่า ท่านไม่ว่างนะคะ ติดประชุม หรือธุระสำคัญอะไรสักอย่าง และก็จะบอกให้มาใหม่วันหลัง อันที่จริงก็คือการไล่อย่างสุภาพดีๆนี่เอง กระนั้นการโกหกก็มีแต่จะทำให้เรื่องต่างๆเลวร้ายลง เขาจึงตัดสินใจพูดความจริง อย่างน้อยก็แสดงว่าเขาบริสุทธิ์ใจ
เปล่าครับ แต่ช่วยบอกให้ด้วยนะครับ เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรอีก จึงส่งยิ้มให้ ซึ่งเขาไม่แน่ใจว่า ยิ้มที่ได้รับตอบมานั้นเป็นยิ้มจริงๆหรือเป็นการแสดง
บอกอ คะ มีคนอยากพบท่านค่ะ ลูกจ้างสาวเรียนเจ้านายตามหน้าที่แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากชายร่างใหญ่ เขากำลังจดจ้องกับผลงานชิ้นเอกตั้งแต่เขาตั้งสำนักพิมพ์แห่งนี้  
แล้วทำไมผมต้องเจอเขาด้วยล่ะ เขายังยิ้มเบิกบาน 
อันที่จริงสำนักพิมพ์แห่งนี้เป็นเพียงสำนักพิมพ์เล็กๆ แทบไม่มีใครรู้จักชื่อด้วยซ้ำ หนังสือแทบทุกเล่มที่ทำออกมาล้วนล้มเหลวขาดทุน นานๆทีจึงมีสักเล่มที่พอได้กำไร ให้สำนักพิมพ์อยู่มาได้ กระทั่งวันหนึ่งเป็นวันที่อากาศร้อนอบอ้าว ภายในอาคารจึงร้อนยิ่งนัก (เครื่องปรับอากาศที่นี่ไม่ได้ทำงานมานานเป็นปีตามนโยบายประหยัดเงินของ บอกอ) ราวกับว่ามีดวงอาทิตย์สักล้านดวงรุมล้อมโลกไว้ บอกอ นั่งบนเก้าอี้ตัวเก่ากับภาพความล้มเหลวในการบริหารธุรกิจ จากความหวังจะนำพาสำนักพิมพ์แห่งนี้ไปสู่ความยิ่งใหญ่ สิบปีให้หลังเขาแทบเอาตัวไม่รอด เมื่อความฝันว่าจะยิ่งใหญ่ในแวดวงวรรณกรรมริบหรี่แทบดับลง ทางรอดเดียวของเขาคือมุ่งสู่ชนบทที่จากมา กลับไปทำนาทำไร่ คงไม่หนักหนาอะไรนักสำหรับลูกชาวนาอย่างเขา อย่างไรก็ดีเขาก็ต้องการจะลองอีกสักครั้ง แม้จะเดิมพันด้วยชีวิต เขาจึงรอว่าจะมีใครสักคนก้าวเข้ามาพร้อมกับผลงานดีๆสักชิ้น  ย่างก้าวสู่วันที่หกความคิดของเขาแทบมีค่าเป็นศูนย์ จึงตัดสินใจบอกข่าวร้ายกับพนักงาน แต่พอเขาก้าวออกมาจากห้องทำงาน ประตูทางเข้าก็ถูกเปิดออกพร้อมกับชายวัยกลางคนก้าวเข้ามา จากนั้นไม่นานสำนักพิมพ์แห่งนี้จึงเป็นที่รู้จักพร้อมกับนักเขียนในสังกัดคนใหม่ซึ่งเขายินดีจะผลิตงานให้สำนักพิมพ์แห่งนี้ประจำ อันหมายถึงความมั่นคงและมั่งคั่งของเขา ดังที่เป็นอยู่อย่างปัจจุบันนี้

	แต่เขาขอพบให้ได้นะคะ บอกอจะไม่ให้โอกาสเขาหน่อยเหรอคะพนักงานสาวพูดทีเล่นทีจริง
	ไม่รู้สิ แต่ให้เขามาพบหน่อยก็ได้ บอกอ ตอบอย่างลังเล
	เขาก้าวเข้ามาในห้อง ซึ่งสะอาดและเป็นระเบียบ ข้าวของต่างๆจัดวางอย่างเหมาะเจาะ มากมีด้วยเครื่องตกแต่งเข้าชุดกัน 
	สวัสดีครับ ผมมีงานเขียนจะให้ท่านพิจารณาครับเขาพูดขณะนั่งลงตามคำเชื้อเชิญ
	บอกอรับซองเก่าๆนั้นมาตามมารยาท แต่สายตายังไม่ละจากการสำรวจการแต่งกายของผู้มาเยือน นานพอควรกระทั่งบอกอระลึกได้ว่าชายผู้นี้มาในห้องนี้ทำไม จึงแกะชองใบนั้น ครู่ใหญ่บอกอจึงเอ่ยขึ้น 
	งานของคุณน่าสนใจมากที่เดียวมีความแปลกใหม่และสร้างสรรค์ ใจของเขาเริ่มพองโต เพราะท่าทีของบอกอดูจริงใจอย่างยิ่ง 
	ทางสำนักพิมพ์ของผมเพิ่งจะประสบความสำเร็จในการผลิตผลงานของนักเขียนในสังกัดคนใหม่ คุณรู้ไหมจู่ๆ บอกอ ก็เปลี่ยนเรื่องคุย
	ครับ ผมถึงมาที่นี้ เผื่อท่านจะให้โอกาสเขายิ้ม
ใช่ๆผมพร้อมจะให้โอกาสนักเขียนรุ่นใหม่เสมอบอกอยิ้มอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาไม่แน่ใจนักว่าเป็นยิ้มที่เต็มใจ

จากการสนทนาทำให้เขามีหวังเต็มที่ว่าบอกอจะรับงานของเขา ความหวังความตั้งใจในการสร้างสรรค์งานชิ้นนี้ของเขาดูจะไม่สูญเปล่า ภาพงานชุดแล้วชุดเล่าที่ถูกปฏิเสธย้อนมากวนใจ และวันนี้ก็เป็นวันของเขาแล้ว 	
ตกลงบอกอรับงานผมใช่ไหมครับเขาถามอย่างตรงไปตรงมา
บอกอ ลังเลใจก่อนจะพูดว่า ผมเสียใจที่ต้องปฏิเสธงานของคุณ เพราะสำนักพิมพ์ของผมพึ่งฟื้นตัว ยังไม่แกร่งพอที่จะปั้นนักเขียนหน้าใหม่อย่างคุณ ทำไมคุณไม่ลองสำนักพิมพ์อื่นๆบ้างละ เขาอาจสร้างคุณให้กระฉ่อนวงการก็เป็นได้นะ
รอยยิ้มของเขาจางหายเมื่องานถูกปฏิเสธ 
เป็นเพราะงานของผมต่อต้านรัฐบาลใช่ไหมคุณถึงไม่รับงานนี้

	ทำไมคุณไม่ลองเปลี่ยนแนว ลองเขียนเรื่องสบายๆ เพราะทุกวันนี้ผู้คนมัวแต่ถามหาสาระ จริงจังกับทุกเรื่อง และในที่สุดก็เครียด หนังสือประเภทคลายเครียดจึงตอบโจทย์สังคมยุคนี้บอกอ ยื่นซองใบเก่าคืนให้ก่อนจะพูดว่า เชื่อผมแล้วคุณจะรุ่ง 


	เขาจากมาจากอาคารหลังนั้น โดยไม่รู้สึกเสียใจแต่อย่างไร เพราะเขารับรู้อยู่แล้วว่า โอกาสที่จะมีใครสักคนมาอ่านงานของเขาอย่างจริงจังนั้นแทบไม่มี เขาเดินไปตามถนนมุ่งสู่ย่านแออัดของสังคม ข้างทางมีถังขยะที่ถูกคุ้ยกระจัดกระจาย เขายกซองใบนั้นมามอง ความหวังความตั้งใจของเขาจบสิ้นแล้ว อาชีพบนทางฝันดับลงแล้ว เขาตัดสิ้นใจทิ้งมันลงไปในถังขยะ และเดินจากไป 
เมื่อถึงห้องแถวเก่าๆ เขาจึงสังเกตเห็นว่าชายขอทานตามเขามา ในมือชายขอทานมีซองใบเก่า
	ซองนี้เป็นของคุณใช่ไหม คุณทิ้งมันทำไม ชายขอทานพูดกับเขา
	มันไม่มีประโยชน์หรอก ก็แค่เศษกระดาษเท่านั้น คุณเอาไปเถอะ เขาพูดขณะกำลังเปิดประตูห้อง 
	งานของคุณดีมากเลยคุณรู้ไหม
	เขาหันกลับมามองอย่างสนเท่ห์ ชายขอทานอ่านหนังสือออก ซ้ำยังชมงานของเขาด้วย


	จากการสนทนาสั้นๆคืนนั้น เขาได้กลายมาเป็นนักเขียนผู้โด่งดัง ด้วยผลงานที่เขาทิ้งลงถังขยะไปแล้ว นับเป็นโชคดีของเขาที่คืนนั้นมีนักเขียนคนหนึ่งมาศึกษาชีวิตขอทาน ด้วยการปลอมตัวเป็นขอทาน รุ่งขึ้นนักเขียนคนนั้นจึงนำงานของเขาไปให้ บอกอ ของเขา และสามเดือนให้หลังชื่อของเขาจึงกระฉ่อนวงการ 
	

อาคารเก่าๆหลังเดิมยังคงซอมซ่อเหมือนเดิม ทว่าภายในอาคารกลับไม่เหมือนเดิม ข้าวของต่างๆเคยสวยงามเป็นระเบียบ บัดนี้เหลือเพียงความว่างเปล่า ห้องทำงานของบอกอก็ซอมซ่อไม่ต่างกันนัก เขายังนั่งอยู่ที่เดิมบนเก้าอี้ตัวเดิม แต่เขาแก่ลงไปมาก และสิ่งที่เขาจดจ้องไม่ใช่หนังสือเล่มเดิมอย่างเคย และก็ไม่ใช่หนังสือเล่มอื่นๆของนักเขียนผู้รุ่งโรจน์ในสังกัดของเขา เพราะนักเขียนคนนั้นได้จากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับด้วยอุบัติเหตุ การจากไปของเขาเหมือนกับเป็นการปล่อยความหายนะมาสู่สำนักพิมพ์แห่งนี้อีกครั้งและถาวร


	หนังสือตรงหน้าเขามีบางส่วนที่คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยอ่าน จากประสบการณ์ในแวดวงวรรณกรรมอันยาวนานของเขา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหนังสือเล่มนี้สมบูรณ์ ถ้ามีโอกาสเขาอยากพูดคุยกับคนเขียนสักครั้งเพื่อขอให้เขาเขียนงานให้  นึกได้ว่าปกหลักนั้นจะมีประวัติของนักเขียน จึงพลิกกลับไปอ่าน 
	ข้อความหนึ่งหน้ากระดาษขนาดสิบหกหน้ายก ถือว่าไม่ยาวเลย ยิ่งเป็นถึงบอกอ ความสามารถในการอ่านย่อมเหนือชั้นกว่าใคร ไฉนเล่าเขาถึงจ้องหน้านั้นอยู่เป็นนาน พร้อมกับน้ำตาร่วงหล่นจากดวงตาขุ่นมัว สายตาของเขาจอจ้องข้อความที่ว่า
	นักเขียนคนนี้เคยก้าวไปสู่จุดต่ำสุดของความฝัน เขาฝันว่าจะเป็นส่วนหนึ่งแห่งโลกวรรณกรรม หลายปีทีเดียวที่เขาเฝ้าเขียนงานต่างๆออกมา ทั้งบทกวี เรื่องสั้น และนวนิยาย และก็อีกหลายปีที่เขาตะลอนๆนำเสนอผลงาน แต่คำตอบที่ได้จาก บอกอ ที่เขาเข้าพบเหล่านั้นล้วนให้เขาทิ้งงานเขียนของเขาไป เมื่อทุ่มชีวิตให้กับงานเขียนแล้วเปล่าประโยชน์ การโยนทิ้งขยะจึงเป็นสิ่งพึงกระทำ เส้นทางเดินจบแล้ว ไม่มีทางให้เดินต่อไป กระนั้นสวรรค์ยังส่องแสงสว่างมาให้ เพื่อนำทางไปสู่ปลายทางที่วาดหวัง งานที่เขาทิ้งลงถังขยะกลับไปตกอยู่ในมือ บอกอ  ผู้ที่เห็นคุณค่าและนำเขามาสู่ความยิ่งใหญ่ในวันนี้
	ความชอกช้ำประดังเข้ามาเหมือนเขื่อนแตก ทั้งเสียดายและเจ็บใจตัวเอง หากว่าวันนั้นเขาเปิดใจสักนิด ใช้เวลาสักหน่อยเพื่อพิจารณางานที่เจ้าของหนังสือเล่มนี้นำมาเสนอ ชีวิตในบั้นปลายของเขาคงไม่ต้องลำบากอย่างนี้หรอก เขาตัดใจละสายตาจากหนังสือตรงหน้า และปิดลง กระนั้นลมจากพัดลมยังพลิกหนังสือเปิดให้ออก ตัวหนังสือเล็กๆเขียนว่า 
แด่ บอกอ ทุกคนที่แนะนำให้ผมทิ้งมันลงถังขยะ

9 พฤษภาคม 2551				
28 มิถุนายน 2551 23:39 น.

แมวลายเสือ

กฤตศิลป์ ชินบุตร

ฝนพรำลงมาตั่งแต่เช้า และคงจะเป็นแบบนี้ตลอดทั้งวัน ภาพทุ่งนาดูขุ่นมัวราวกับมองจากดวงตาของคนชรา บรรยากาศเช่นนี้ชวนให้นึกถึงเตียงนอนนุ่มๆ กับผ้าห่มอุ่นๆยิ่งนัก ทว่าคงไม่ใช่กับชาวนา เพราะมรสุมลูกนี้อาจเป็นเพียงโอกาสเดียวในการปักดำ ก่อนฝนจะทิ้งช่วงไปอีกนาน จึงไม่แปลกที่ท้องทุ่งยามนี้ เต็มไปด้วยชาวนาที่ตากฝนทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย บ้างไถบ้างปักดำ เป็นภาพชีวิตที่แสนลำบาก และแตกต่างกับสังคมอันมีจะกินในเมืองศิวิไลซ์ กระนั้นก็ยังเห็นรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และแววตาแห่งความหวังในผลผลิตอันเป็นสิ่งที่พวกเขาปลูกลงไปพร้อมกับต้นกล้าทุกต้น 


ไกลออกไปบนเถียงนาหลังหนึ่งที่แสนจะธรรมดา แต่สิ่งที่อยู่ในกระท่อมเวลานี้กับน่าสนใจยิ่ง ใครหลายคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องปกติหากจะมีคนนั่งหลบฝนบนนั้น การเหม่อลอยของเขาก็มิได้เป็นอาการของคนเสียสติ เพราะเขาเป็นคนปรกติที่ดำรงชีพด้วยการทำนาทำไร่เยี่ยงวิถีบรรพบุรุษ  แต่ถ้าใครสามารถอ่านจิตใจเขาได้ในขณะนี้ จะพบว่าในความเหมือนนั้นมีความแตกต่าง
 ผืนนาเบื้องหน้าว่างเปล่า ไม่มีร่องรอยการดูแล ไม้รกครึ้มไม่มีการตัดแต่ง คันนาขาดแหว่งยังเป็นอยู่อย่างนั้น รอยไถแปรอย่างควรเป็น ณ เพลานี้ก็ไม่ปรากฏ แล้วชายคนนี้คิดอะไรอยู่หนอ ทำไมถึงปล่อยผืนนาให้ว่างเปล่าเช่นนี้ 
 สายตาของเขามองออกไปไกลกว่าท้องทุ่งอันกว้างใหญ่ มุ่งสู่เมืองศิวิไลซ์ในจินตนาการ ภาพความสุข ความสบาย สะท้อนออกมาจากแววตาเป็นประกาย กระนั้นยังมีร่องรอยของความลังเลสับสน อันที่จริงความรู้สึกแบบนี้บังเกิดมาสี่ปีแล้ว แต่ด้วยภาระในการดูแลผู้บังเกิดเกล้าเพื่อแทนคุณยามท่านชรา จนไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ความคิดนั้นจึงหายไปจากความทรงจำ บัดนี้เขาเหลือตัวคนเดียว แม่อันเป็นที่รักจากเขาไปอย่างไม่มีวันกลับ ความคิดจะจากท้องนา ไปสู่เมืองหลวงหวนกลับมารบกวนจิตใจเขาอีกครั้ง และดูเหมือนจะมีพลังมากยิ่งกว่าครั้งไหนๆ สุดท้ายแล้วเขาจะตัดสินใจอย่างไรนั้นก็ไม่สามารถคาดเดาได้ ทว่าสายตาของเขาดูสดใสมีประกายขอความหวัง


ค่ำวันเดียวกันมีคนเห็นเขาจากบ้านไป และก็ไม่มีใครเห็นเขาอีกนับจากวันนั้น คนที่พอรู้คงเป็นเพื่อนรักคนเดียวของเขา
แกจะไปกรุงเทพจริงๆหรือวะน้อยถามบุญอย่างเป็นห่วง
แกก็รู้ดีนี่ว่าฉันคิดเรื่องนี้มานานแค่ไหนบุญเตือนความทรงจำ
และวันนี้ก็เป็นโอกาสดีสำหรับฉัน แกห้ามฉันไม่ได้หรอก และฉันรู้ดีว่าแกจะยินดีและอวยพรให้ฉันโชคดี 
เหมือนถูกมัดมือชกน้อยจึงไม่มีเหตุผลใดจะรั้งบุญไว้ เขาจึงได้แต่ภาวะนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งท้องนา แม่ธรณี แม่โพสพ แม่คงคา เจ้าป่าเจ้าเขาและอีกมายมายเท่าที่เขารู้ มาคุ้มครองปกป้องให้เพื่อรักของเขาอยู่รอดปลอดภัย


ย่างก้าวลงจากรถอันเป็นจุดหมายปลายทางของบุญ เขาได้พบกับผู้คนที่ต่างไปจากท้องนา อย่างสิ้นเชิง ทุกคนล้วนแต่งตัวสะอาดสะอ้าน เปี่ยมด้วยรอยยิ้ม และเป็นมิตร ก้าวแรกในเมืองศิวิไลซ์ ช่างศิวิไลซ์สมชื่อจริงๆเขาคิด  ตลอดทางที่บุญเดินผ่านล้วนเต็มไปด้วยสิ่งสวยงาม เจริญหูเจริญตา ทั้งอาหารการกินเครื่องประดับอาภรณ์ต่างๆก็เหมือนเนรมิตจากสรวงสวรรค์ 
ขนมไปทานนะพ่อหนุ่ม ยายให้จ๊ะ
น้ำสะอาดเย็นๆทานแก้กระหาย พ่อหนุ่ม
เดินทางมาไกล แวะทานอาหารอร่อยๆก่อนสิพ่อหนุ่ม
ช่างวิเศษเหลือเกินบุญคิด เขาจึงทานอาหารที่คนใจดียื่นให้ ซึ่งเป็นอาหารชั้นเลิศ บางอย่างเขาเคยเห็นตามใบปลิวโฆษนา บางอย่างเขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ทั้งปวงล้วนอร่อยเกินคำบรรยาย เมื่อกินอิ่มแล้ว คนใจดียังให้ที่นอนแสนนุ่มสบายแก่เขาอีกด้วย บุญจึงหลับไปอย่างมีความสุขที่สุด
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านเลยไปเท่าใด เวลานี้เป็นเวลาทานอาหารอีกแล้วหรอ ทำไมคนใจดีจึงปลุกเขาเร็วจัง เขายังไม่หิว จึงบอกคนใจดีว่า ขอนอนต่ออีกนิดครับ
แทนเสียงนุ่มนวลของคนใจดี เป็นเสียงดังไม่น่าฟังอีกแล้ว บุญสงสัยจึงลืมตาขึ้น ทว่าเขาไม่ได้อยู่บนที่นอนนุ่มๆอย่างควรเป็น คนใจดีก็ไม่มี ตรงหน้าเขาคือคนรถคันที่พาเขาเข้ากรุงเทพฯ บุญคิดว่าชายใจดีให้มาตาม จึงบอกเขาว่า
บอกคนใจดีด้วยว่าเขาไม่หิว ขอนอนต่อสักพัก
ชายใจดีอะไรคนรถถามงงๆ
	ก็เจ้าของบ้านหลังนี้ไงบุญตอบขณะกำลังหาวคำโตๆ
	บ้านที่ไหนกันละคุณ แหกตาดูหน่อยสิว่านี่มันที่ไหน
	บุญคร้านจะโต้เถียงจึงลุกขึ้น แต่สิ่งที่พบกับไม่เป็นอย่างที่คิด เขายังอยู่บนรถ ทุกสิ่งเมื่อครู่เป็นเพียงความฝัน แต่ไม่เป็นไรหรอกในเมื่อเขามาถึงเมืองศิวิไลซ์แล้ว ชายใจดี กับผู้คนน้ำใจงามคงมีมากมาย เขาคิด
	ย่างก้าวลงจากรถ ผู้คนไม่เหมือนในฝัน ที่นี่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย เสียงโหวกเหวกดังมาจากสารทิศ ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาโดยไม่มีแม้แต่รอยยิ้มให้กัน บางคนดูอิดโรยเหมือนกับไม่มีเรี่ยวแรง บางคนก็นั่งๆนอนๆกับพื้นสกปรก เนื้อตัวก็มอมแมมราวกับว่าไม่ได้อาบน้ำมาแรมเดือน บุญเห็นภาพตรงหน้าแล้วคิดในใจว่า ที่นี่คงไม่ใช่ปลายทางของเขาหรอก รถแค่จอดพักสถานีระหว่างทางเท่านั้นเอง 
	นี่แหละกรุงเทพมหานครอันเลอเลิศของคุณคนรถบอกเขาตามตรงกับรอยยิ้มเยาะสมนาคุณก่อนจากไป
	หลังจากบุญออกมาจากสถานีขนส่ง เมืองจึงน่าอยู่ขึ้น ตึงรามบ้านช่องงามตาสีสันสดใส ร้านค้าอาหารการกินทั้งคาวหวานเรืองรายเป็นทิวแถว  เสื้อผ้าอาภรณ์ในร้านก็สวยงาม
	พ่อหนุ่มเอานี่ไปกินไหมป้าใจดียื่นขนมน่ากินให้เขา 
	ขอบคุณครับ ผมกำลังหิวพอดีเลยบุญรับมาและเดินจากไป พอดีมีมือรั้งเขาไว้ จึงหันกลับมาดู พบว่าเป็นป้าคนเมื่อครู่ 
	มีอะไรหรอครับป้า
	พ่อหนุ่มยังไม่ได้จ่ายเงินป้านะ 
	บุญรู้สึกงงๆจึงถามว่า ป้าไม่ได้ให้หรอกหรือ
	ฟรีอะไรกันพ่อหนุ่ม ของชื้อของขายทั้งนั้น เมืองนี้นะไม่มีอะไรฟรีหรอก แม้แต่น้ำอุ้งมือเดียวยังต้องชื้อเลยป้าเริ่มขึ้นเสียง บุญต้องรีบควักเงินจ่าย เพราะผู้คนเริ่มมามุงดูกันแล้ว


	บุญจากย่านนั้นมาตามแผนที่ เพื่อไปหาลุงแดงอันเป็นจุดหมายปลายทาง แผนที่นี้เขาได้มาครั้งลุงแดงแกกลับไปเยี่ยมบ้านเมื่อสี่ปีที่แล้ว ครั้งนั้นลุงแดงแกแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาแพง ใส่สร้อยทองเส้นใหญ่ และแกมีเงินมากมายพอเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้านได้เป็นเดือน แน่นอนว่าทั้งหมู่บ้านจะต้องอยากรู้ว่าแกไปทำอะไรที่กรุงเทพถึงมีเงินทองมากมาย นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวและเหตุผลว่าทำไมบุญต้องมาที่นี่ เมืองแห่งความศิวิไลซ์ตามคำของลุงแดง 


	ตรอกแคบๆแฉะด้วยน้ำสีดำส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง บุญเดินมาตามแผนที่ได้ประมาณ200เมตร ตรงหน้านั้นมีประตูมหึมากั้นอยู่ ไม่รู้ว่าข้างในนั้นมีอะไร  บุญจึงหยิบชื่อโรงงานที่ลุงแดงให้มาดู ซึ่งก็เป็นชื่อเดียวกัน นั่นหมายความว่าที่นี่คือเมืองศิวิไลซ์แน่นอน เขานั่งรอให้โลกแห่งความฝันเปิดรับเขาอย่างใจจดใจจ่อ   
ครู่ใหญ่ประตูโรงงานเปิดออก ผู้คนมากมายหลั่งไหลออกมาจากประตูนั่น และเขาก็เห็นลุงแดงในกลุ่มชนนั้นด้วย 
ลุงแดงๆ รอด้วยบุญร้องเรียก
ลุงแดงหันมาตามสัญชาตญาณ จึงรู้ว่าเป็นบุญหนุ่มน้อยแห่งบ้านนา อ้าวไปไงมาไงล่ะถึงมาที่นี่ได้ 
ผมก็มาหาลุงนั่นแหละ
งั้นเราไปคุยกันที่ห้องลุงดีกว่า
ครับ 


ห้องลุงแดงเป็นห้องแถวเก่าๆ หลังเล็กๆ ซึ่งยังห่างไกลเมืองอันศิวิไลซ์มาก บุญไม่เข้าใจว่าทำไมสิ่งที่เขาวาดหวัง กับความเป็นจริงช่างห่างไกลกันนัก เป็นไปได้ไหมว่าช่วงเวลาสี่ปีที่ผ่านมา เป็นตัวการทำให้เกิดเป็นเปลี่ยนแปลง เมืองศิวิไลซ์กลายมาเป็นเมืองเสื่อมโทรมได้อย่างไร สารพันคำถามผลุดมาในสมองและคำตอบคงต้องมาจากชายวัยกลางคนปลายๆผู้นี้ 
ลุงแดงยามนี้แก่กว่าวัยมาก ริ้วรอยมากมายเด่นตามร่างกาย สีผมดอกเลาเหนือใบหน้าดำกร้านอันอิดโรย เสื้อผ้าสวมใส่หมองซีด ผิดกลับลุงแดงเมื่อสี่ปีก่อนที่บุญรู้จัก
ลุงรู้ว่าบุญมาที่นี่ทำไม และลุงรู้ว่าบุญคงผิดหวังมากเมื่อไม่เห็นเมืองอันศิวิไลซ์ลุงแดงเริ่มพูดขณะนำน้ำจากตู้เย็นเก่าๆมายื่นให้
บุญเข้าใจไหมว่าทำไมเมืองที่ลุงอยู่นี้จึงแตกต่างจากสิ่งที่ลุงเล่าให้ทุกคนฟังเมื่อสี่ปีก่อน เปล่าหรอกบุญ เวลาเพียงสี่ปีสั้นไปสำหรับการเปลี่ยนแปลงมโหฬารขนาดนี้ ที่นี่นะแย่มานานแล้ว ตั่งแต่ลุงตัดสินใจเข้ามาครั้งบุญยังเด็ก ครั้งนั้นเมืองนี้น่าอยู่มาก อากาศดีเย็นสบาย เมฆไม้รกครึ้ม สงบเงียบ แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่ปีความเจริญเข้ามาครอบงำนครแห่งนี้ ป่าไม้ถูกแทนด้วยตึกสูงใหญ่ โรงงานอุตสาหกรรมผลุดราวกับดอกเห็ด น้ำใสกลับกลายเป็นน้ำดำโสโครกเหม็นเน่า อากาศที่เคยบริสุทธิ์ แปรเปลี่ยนเป็นฝุ่นละอองและสารเคมี จากนั้นเป็นต้นมาเมืองนี้ไม่เคยสวยงามอีกเลย 
แล้วตอนลุงกลับไปเยี่ยมบ้านเมื่อสี่ปี่ที่แล้วล่ะ ลุงยังบอกเลยว่าเมืองที่ลุงมาอยู่งดงามเพียงใด ลุงยังมีเสื้อผ้าสวยงามใส่ มีทองเส้นใหญ่อร่ามคล้องคอ และลุงก็มีเงินมากมายยังกับเศรษฐี
เพียงมายาเท่านั้นแหละหลานชาย สิ่งที่ลุงเล่าครั้งนั้นเป็นเรื่องหลอก เพราะหากใครรู้ว่าลุงมีวิถีชีวิตที่โหดร้ายในเมืองนี้ คนอื่นๆก็คงหัวเราะเยาะลุงกันใหญ่นะสิลุงแดงมองออกไปยังหน้าต่างเล็กๆ กลุ่มเมฆทะมึนกำลังเคลื่อนคล้อย
ลุงกำลังบอกว่านั่นเป็นเพียงการแสดงเท่านั้นนะหรอ แล้วทำไมลุงต้องโกหกก็ไม่รู้ เพราะไม่มีใครสนหรอกว่าสภาพแวดล้อมที่นี่จะเป็นอย่างไร ในเมื่อลุงมีเงินทองมากมาย ลุงก็กลับไปบ้านเราได้อย่างภาคภูมิแล้วนี่
รอยยิ้มปรากฏยิ่งเพิ่มรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าของชายวัยใกล้ชรา ครู่เดียวก็หายไป 
ความจริงแล้วลุงไม่ได้ร่ำรวยอะไรเลยนะ
ยังไง ผมไม่เข้าใจบุญถาม
จริงอยู่ ครั้งนั้นลุงกลับไปพร้อมกับเงินมากมาย แต่ทั้งหมดมิใช่ของลุงเลย เงินนั้นเป็นของนายจ้าง ลุงกู้เขาเพื่อกลับไปดูบ้านเกิดครั้งสุดท้าย เพราะลุงรู้ตัวว่าคงมีชีวิตที่ดีกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ไม่ทำอย่างนี้ ลุงจะกลับไปสู้หน้าใครเขาได้เล่า ก่อนมาลุงคุยไว้เยอะ ถ้าหากบุญไม่เชื่อลุงก็ดูสิ่งนี้
ลุงแดงเดินไปหยิบห่อสีแดงจากตู้ แล้วยื่นให้บุญ เขาแกะออกดู พบว่าในนั้นเป็นสร้อยเส้นใหญ่ เขาจำได้ทันทีว่าเป็นสร้อยที่ลุงแดงใส่ตอนกลับบ้าน ทว่ามันไม่ได้เหลืองอร่าม ตอนนี้สีมันหมอง และมีสนิมจับเขรอะไปหมด
สร้อยปลอมบุญอุทาน 
ใช่แล้วลุงแดงตอบขณะสายฝนกำลังโปรยปราย
บุญนึกถึงท้องนาที่จากมาจับใจ
แล้วทำไมลุงไม่กลับไปอยู่บ้านเราละ
เงินที่ลุงกู้ไง ลุงต้องทำงานใช้หนี้ ทีแรกลุงคิดว่าไม่กี่ปีหรอก แต่ลุงผิด ยิ่งลุงทำงานเก็บเงินใช้หนี้ ก็เหมือนว่าหนี้มันทวีคูณ และในที่สุดลุงก็พ่ายให้กับมัน ทุกวันนี้ลุงจึงเหมือนมีชีวิตอยู่เพื่อหาเงินให้นายจ้างร่ำรวย ส่วนพวกลุงแทบไม่มีอันจะกินอยู่แล้ว
ลุงรู้ว่าบุญจะถามอะไร เคยมีคนหนีไปแล้ว เพียงวันเดียวเท่านั้นที่เขาได้อยู่อย่างเป็นอิสระ จากนั้นเขาเป็นศพในหน้าหนังสือพิมพ์ เรารู้กันว่าเป็นฝีมือนายจ้าง แต่นั้นมาจึงไม่มีใครกล้าคิดเรื่องการจะหลบหนีอีกเลย
ค่ำวันนั้นลุงแดงกับบุญต่างเล่าเรื่องราวชีวิตของกันและกัน อันที่จริงบุญเป็นคนเล่าเรื่องท้องนา หมู่บ้าน ความเป็นอยู่ของคนที่ลุงแดงรู้จักให้ฟังกระทั่งหลับไปพร้อมสายฝน


บุญมารู้สึกตัวอีกทีก็สายของวันใหม่ ลุงแดงไม่อยู่ มีเพียงอาหาร 3-4อย่างที่ลุงแดงจัดไว้ให้ เมื่อเขากินอิ่มจะยกจานไปเก็บ เขาสังเกตเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่พร้อมกับเงิน 1000 บาท 
ลุงรู้ว่าบุญจากบ้านมาทำไม ลุงเสียใจที่เป็นต้นเหตุให้บุญเดินทางมาที่นี่ มาหาดินแดนอันศิวิไลซ์ ซึ่งไม่มีจริงหรอก หากจะมีก็เป็นดินแดนที่บุญจากมานั่นแหละ ลุงจึงอยากให้บุญเดินทางกลับวันนี้ อย่าเสียเวลาตามหาสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงที่นี่เลย ดูอย่างลุงสิ เป็นยังไงบุญก็รู้ และลุงไม่ว่าหรอกหากทุกคนที่บ้านเราจะเรื่องของลุง เพื่อเป็นการลบล้างสิ่งที่ลุงได้กระทำ เพราะลุงคงไม่มีโอกาสได้กลับไปอีกแล้ว  เงิน 1000 บาทนี้คงพอสำหรับค่าเดินทาง จงกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเราอย่างมีความสุข ก่อนที่ที่นี่จะพันธนาการหลานไว้ด้วยตรวนอันเหนียวแน่นเหมือนอย่างลุง โชคดีหลานชาย
กรุงเทพเป็นไงบ้างวะบุญน้อยคงไล่ถาม ชาวบ้านอีกล่ะจะเย้ยหยันยังไง ชื่อเสียงเรื่องเล่าของลุงแดงจะพังทลายลงเพราะเขากระนั้นหรือบุญคิด				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกฤตศิลป์ ชินบุตร
Lovings  กฤตศิลป์ ชินบุตร เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกฤตศิลป์ ชินบุตร
Lovings  กฤตศิลป์ ชินบุตร เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกฤตศิลป์ ชินบุตร
Lovings  กฤตศิลป์ ชินบุตร เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงกฤตศิลป์ ชินบุตร