3 มีนาคม 2553 04:25 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
๏ ขอนิยามความรักให้...............................ปรารถนา
ฤาจักคล้ายมายา........................................ว่าสร้าง
ล้วนงามอรุณตา.........................................อบายบัง ทั่วเฮย
ด้วยรักจักสล้าง..........................................รอบข้างพฤกษ์พรรณ๚ะ๛
๏ นิยามหมายให้รัก
หล่อสลักลวดลายศิลป์
ดื่มรสอันชื่นจินต์
ประดังสิ้นรสอื่นปาน
๏ นิยามของหัวใจ
สลักไหวในอ่อนหวาน
เข้มแข็งเป็นปราการ
อันไว้ต้านแรงเคืองคำ
๏ นิยามของเราสอง
ปลอบประคองทุกเช้าค่ำ
ล้มลุกปลุกชี้นำ
ก้าวกระทำผ่านดวงตา
๏ นิยามของคำรัก
ใช่ใจภักดิ์ปรารถนา
คือความกรุณา
ดังธาราอันชุ่มชล
๏ มากนึกนิยามรัก
แต่น้อยนักนิยมผล
ร้ายเล่ห์สิเน่ห์คน
แสวงต้นบ่สนปลาย
๏ ความรักของตนให้
ด้วยดวงใจใช่ชื้อขาย
ใช่ลวงกลอุบาย
ใช่ทำนายว่าจักดี
๏ คำรักคือความรัก
ใช่คำทักแล้วจากหนี
ความรักสถิตมี
ณ แดนนี้แห่งสองเรา
๏ นำรักมาอิงอ้าง
สว่างทางในคืนเหงา
ให้รักช่วยกล่อมเกลา
โลกใบเก่านี้งดงาม๚ะ๛
นิยามรักไม่รู้ว่าคือใด แต่ให้ใจด้วยคือความรักแล
กฤตศิลป์ ชินบุตร
3 มีนาคม 53
2 มีนาคม 2553 04:53 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
อรุณเช้าพราวพริ้งกิ่งไม้พฤกษ์
ปลุกสำนึกลึกศัลย์ฝันถวิล
สู่อ้อมขวัญเช้าวัยแห่งชีวิน
บนผืนดินแผ่นรักสลักลาย
งามแสงสูรย์จำรูญทอก่องามพริ้ง
เกาะเก็จกิ่งนิ่งแน่วแล้วสลาย
แต่งามรักคงมั่นมิปันคลาย
จวบชีพวายคล้ายตะวันอัสดง
อรุณเช้าทุกวันก็นั่นเช้า
อรุณรักยืดยาวเพียงเราประสงค์
สัญญามั่นว่าจะสืบให้รักคง
เถิดโฉมยงมาร่วมเช้าแล้วก้าวไป
ก้าวจะกล้าฝ่าพาลบนลาญโลก
แม้นศัลย์โศกโชกน้ำตาฤๅหวั่นไหว
มือประคองร้องลุกปลุกปลอบใจ
สักวันไหมชัยจะมีที่สองเรา
ปรัตยูษสูดอายของพรายวัน
แล้วรังสรรค์กวีบทแทนทดเหงา
สูดน้ำหมึกลึกร้ายเหมือนมายเมา
ระบายเศร้าเจ้าโฉมยงคงเห็นใจ
ยื่นมือมาจับมือเดินเพริศเพลินสุข
ทวีทุกข์ปลุกปลอบตามวิสัย
กี่ย่างก้าวล้มลุกสู้ต่อไป
จะได้ไหมเจ้าดวงใจของชายจร...
กฤตศิลป์ ชินบุตร
เช้าวัน อรุณแรกแห่งเดือนมีนาคม 2553
2 มีนาคม 2553 04:50 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
กว่าเป็นดินถิ่นเดินให้เพลินสุข
กี่ล้มลุกตายฟื้นคืนหลอกหลอน
และกี่ร่างทับร่างในดินดอน
สืบนาครด้วยเลือดเนื้อวีรชน
เท้าบางเปล่าไยย่างอย่างผู้กล้า
แบ่งดินฟ้าสูงต่ำให้สับสน
ก็มองแท้แค่เห็นมหาชน
เดินย่ำทนบนโคลนแห่งอัตตา
ยิ่งย่ำเดินยิ่งจมระดมลึก
จิตสำนึกผลึกเร้นเกินเฟ้นหา
เพียงสรรพจน์สบถอ้างสร้างมายา
แล้วบูชาค่าคนล้นจอมปลอม
เถิดเราท่านยอมรับกฎใดสร้าง
ใครแอบอ้างระหว่างกลิ่นมาลีหอม
คงไม่นานเมื่อไม้บานจะลาญงอม
ก็ถึงพร้อมย่อมเห็นเป็นตนตัว
...ณ ตอนนี้บ้านเมืองอันเรืองรุ่ง
ระเริงฟุ้งทุ่งไฟไล่ลามทั่ว
ระแวงหวาดกระวาดหวั่นกระสันกลัว
บ้างเมามั่วมัวหลงทะนงลาญ
ก่อนเคยสู้ศัตรูเคียงไหล่บ่า
มาเข่นฆ่าด้วยพร้าร่วมสังหาร
ก่อนเคยรักเพื่อนพ้องน้องสาบาน
เป็นขบถสาธารณ์ต่อกันเอง
เมื่อไหร่หนอพอจะได้ไทยทั้งหลาย
จะต่อเท้าขึ้นป่ายใครข่มเหง
จะเนื้อเลือดเดือดฉานลานละเลง
ก็พื้นเพลงเนื้อร้องทำนองไทย
ฤๅจะเปลี่ยนเพลงชาติทำนองโศก
วิปโยคโพกผ้าขึ้นปราศรัย
เลือกเอาข้างทางกู-สูคนใคร
แต่ทางใจล้วนดำดุษฎี
ก่อไฟสุมรุมเพลิงเร้าแล้วเผาชาติ
ยังสามารถอาจองว่าทรงศรี
ฤๅผืนหนังมัสสาประชาชี
เป็นผืนแผ่นปถวีขึ้นครองคน
... ก่อนสิ้นชาติอาจสิ้นใครไปมากแล้ว
คุณพ่อแก้วแม่ขวัญล้วนสับสน
ไม่มีญาติไม่มีเพื่อนไม่มีตน
ไม่มีพ้นจักผจญเวทนา
ก็เมื่อนั้นเสียงระงมของการไหว้
ด้วยอาลัยบ้านเมืองปรารถนา
สักแต่สายใดเลยจะหวนมา
ดังเวลานาทีที่เคลื่อนพาน
แล้วโหยไห้น้ำตาดังว่าฝน
ฤๅจะทนร้อนเหลวเปลวเพลิงผลาญ
ร้างเลือดเนื้อเอื้อสลักสักปราการ
จึงแหลกลาญถิ่นเวศม์ประเทศทอง
ใช้น้ำโศกโบกลาการฆ่าเข่น
ใช้น้ำเย็นปลอบโยนคนผยอง
ใช้น้ำตาว่าเศร้าเข้าปรองดอง
แต่น้ำคลองให้จะล้างเลือดขื่นคาว
...เหือดน้ำตาลาไหลใช่จะหยุด
ยังรอรุดเร่งเร้าทุกฝีก้าว
แลไฟเพลิงเริงริบกระพริบดาว
สักวันพราวร้าวร้ายกว่าใดเทียม...
กฤตศิลป์ ชินบุตร
2 มีนาคม 2553