19 ธันวาคม 2552 23:50 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
๏ เดิน...ทางไกลใฝ่ถึงฝันอันสวยสด
ย่อมปรากฏสิ่งหวังดังประสงค์
เดิน...ทางผ่านลานชีวิตโดยหยัดยง
ย่อมมั่งคงธงนำแห่งวันชัย
๏ มุ่ง...สืบเสาะแสวงค้นจนรู้แจ้ง
ดังรุ่งแรงแสงเช้าอันสดใส
มุ่ง...สานสร้างทางศิษฏ์สืบต่อไป
ดังเช้าใหม่ไล่พ้นอนธการ
๏ สู่...วันหนึ่งวันนี้ของชีวิต
คือบัณฑิตปราชญ์รู้ผู้เหิมหาญ
สู่...มวลพฤกษ์มาลีเริ่มคลี่บาน
คือแต้มแต่งดวงมานมนุษย์ชน
๏ ความ...แช่มชื่นบานเบิกฤกษ์สิริ
ให้ปีติยินดีมีอีกหน
ความ...สว่างพร่างแสงแปลงมืดมน
ให้อำพลทั่วฟ้าเมืองโพยม
๏ สำเร็จ...หวังดังใฝ่ใช่สิ้นสู้
ใครรออยู่กู้ฝ่าพายุโถม
สำเร็จ...แล้วแววรัตน์จรัสโคม
ใครร้าวโรมสิ้นหวังยังนำทาง
๏ ...เดินมุ่งสู่ความสำเร็จ
ประดับเพชรเก็จฟ้าอุษาสาง
จากย่ำรุ่งสู่ฟ้าตะวันวาง
คือหนทางบทพิสูจน์อีกยาวไกล๚ะ๛
16 ธันวาคม 2552 02:42 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
...ดื่มด่ำค่ำคืนหนาวร้าวตรึงจิต
ดื่ม...น้ำพิษเมรัยให้สุขสม
ดื่ม...น้ำตาปร่าฝืนกลืนระทม
ดื่ม...รักขมตรมซาบอาบสรรพางค์
ด่ำ...สุนทรีย์วจีร้อยถ้อยความรัก
ด่ำ...ราตรีหนาวนักอรุณสาง
ด่ำ...ดาวด้อยน้อยแสงอันแรงราง
ด่ำ...โลกร้างว่างเปล่าคืนเมามาย
ค่ำ...ชิงพลบลบฟ้านภารอง
ค่ำ...ทำนองไพรแผ่วยินแว่วหาย
ค่ำ...วิถีชีวิตคนพ้นมลาย
ค่ำ...เดียวดายตายทั้งเป็นเช่นนี้ใจ
คืน...ท้องฟ้ามืดมิดพิสดาร
คืน...ดาวดาษจักรพาลพิศุทธิ์ใส
คืน...คนหม่นทนเศร้าเคล้าเมรัย
คืน...บางใครสุขสมรมณีย์
หนาว...เนื้อเลือดเหือดลดแทบหมดร่าง
หนาว...เวิ้งว้างอาณาเขตเปรตภูตผี
หนาว...อนิยตหมดสิ้นแดนโลกีย์
หนาว...ลวงเล่ห์นารีไม่หวนคืน
ร้าว...ใจหวังพังใจวาดปรารถนา
ร้าว...ดาราดวงเห็นมาเป็นอื่น
ร้าว...น้ำคำคมกรีดมีดบาดกลืน
ร้าว...ขมขื่นคืนศัลย์กัลป์ปา
ตรึง...สัมผัสชัดแจ้งแสดงรัก
ตรึง...ประจักษ์รักขมสิเน่หา
ตรึง...คืนค่ำย่ำรุ่งปรุงสุรา
ตรึง...ยอดหญิงกัลยาจวบวายชนม์
จิต...เข้มแข็งสู้ต่อในวันพรุ่ง
จิต...ผดุงซากศพไว้อีกหน
จิต...รวมเนื้อก่อตัวว่าเป็นคน
จิตเจ้ากรรมจำเจ้าด้นทนต่อไป...
14 ธันวาคม 2552 00:55 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
อำนาจแห่งสันดาน
เผด็จการและฉ้อฉล
ครองสิทธิ์นิรมล
อภิชนธิปไตย
อำนาจทางทหาร
กระทำการเพื่อขึ้นใหญ่
วัฒนธรรมนำไจ
บัญญัติไว้เป็นคอกคน
อำนาจในหัตถา
กำหนดฟ้าบรรลุผล
ดัชนีอิทธิพล
สยบคนนิรันดร์มา
อำนาจจึงยิ่งใหญ่
จะเทียบได้คือเทวา
ชาวดินถิ่นประชา
คือมรรคาย่างเหยียบไป
อำนาจคือชีวิต
ด้วยยึดติดและหลงใหล
แม้นพรากจากวันใด
คือสิ้นใจนรกานต์
อำนาจเป็นฉะนี้
จึงกาลีนั้นเพรียกขาน
ยกเมฆวิชามาร
ละเลงลานประเทศไท
อำนาจคืออำนาจ
คืออำมาตย์อธิปไตย
อีกคืออัคคีภัย
ซึ่งผลาญไหม้มิเว้นวาย
ผลาญสิ้นคือศัตรู
ดำรงอยู่บนเส้นได้
ดื่นศพอันมากมาย
แต่ความหมายเพียงธุลี
ผลาญแน่คือสมบัติ
เจิดจรัสรัศมี
เท่าทบเพิ่มทวี
นามเศรษฐีมหานคร
ผลาญแล้วคือประเทศ
ซึ่งสังเวชอุทาหรณ์
ร้อนร้ายคือไฟฟอน
อนาทรศยามไท
ผลาญนี้อีกหนึ่งผลาญ
โดยสามานย์แสร้งสาไถย
คือสิทธิ์อธิปไตย
ซึ่งคนไทได้ทวงมา
ผลาญชาติจึงวอดวาย
ล่มสลายแห่งศรัทธา
คับแค้นคือประชา
จำนนฟ้าชะตากรรม
ผลาญชาติจึงชาติตาย
สิ้นมลายความเลิศล้ำ
ซากเศษประเทศดำ
คือตอกย้ำความเป็นไป
กฤตศิลป์ ชินบุตร
12 ธันวาคม 2552 15:25 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
มองหม่นค้นอรุณ
รอไออุ่นหนุนอุษา
คืนค่ำย่ำบีฑา
ร้าวอุราข้าบรรลัย
เก็จฟ้ามาสะทก
เห็นหัวอกสะท้านไหว
ทิชากรหลอนแว่วไพร
ดังกรีดใจไร้ปราณี
ลมพายรายล้อมเหน็บ
อุราเจ็บโลกันตร์ผี
ฟ้าบนหล่นมณี
คล้ายนารีเจ้าลับไกล
เหล้าขมฤาตรมเท่า
รอวันเช้าอันสดใส
ร่ำเหล้าเมาเมรัย
สักเท่าไหร่อุทัยรอง
เช้าเถิด...บูรพา
ให้ทิวามาสะนอง
อาทิตย์อุทัยครอง
จันทราจองความโศกตรม
มองเช้าริมหน้าต่าง
อุษาพร่างหวังสุขสม
เช้าไหนยังระทม
ไร้คู่ชมเอทวา
ย่ำรุ่งศุกร์๑๑ธันวาคม ๒๕๕๒
ณ บรรณาศรม