27 พฤศจิกายน 2552 02:50 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
ชีวิตยังเหลืออยู่
ของชายผู้ใจสลาย
รักเขาอย่างเมามาย
จึงสุดท้ายตายเนื้อเป็น
เช้าเคยเชยชิดใกล้
บ่ายชิดใจคล้ายแลเห็น
แรมคืนครึ่งวันเพ็ญ
ยังแลเห็นครึ่งเร้นราง
ทุกข์ท้อยังต่อฝัน
ยังฝ่าฟันในวันว่าง
มืดหนาวและดาวพราง
เพียงเธอข้างยังหยัดยง
ร้องไห้ใครปลอบปลุก
ใครคลายทุกข์สุขประสงค์
หมายมุ่งทระนง
คราวหลับหลงให้หวนคืน
ร้องไห้เมื่อไร้เจ้า
ทวีเศร้าวิโยคฝืน
น้ำตาปร่ายังกลืน
ด้วยหมายฟื้นยังรักมี
ทางสร้างร้างคนร่วม
คงเหมือนรวมทางภูตผี
ลึกร้อนอเวจี
อยู่เช่นนี้กัลปา
เช้าเมาเหล้าประทัง
บ่ายสิ้นหวังแสวงหา
ดึกฝันดวงจันทรา
เด่นสง่านภาบน
ซากศพเพียงหายใจ
ของหนึ่งใครเส้นถนน
แต่...มากนักวิถีคน
ยังดั้นด้นมาพบเจอ...
27 พฤศจิกายน 2552
15 พฤศจิกายน 2552 05:28 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
ถึงเมาเหล้าเช้าเย็นเป็นแล้วสร่าง
แต่รักร้างเมาหนักมิยักหาย
กี่ชาติภพจบสิ้นคงกลิ่นอาย
หวนเมามายร้ายลึกตรึกฝังทรวง
ในโลกันตร์ความมืดและเหน็บหนาว
ดุจค้างคาวร้าวเหลวอับเปลวสรวง
เบญจกาลนานครั้งสว่างปวง
แต่ใจดวงหนึ่งนั้นหาวันมี
ติรัจฉานผ่านภูมิยิ่งรุ่มร้อน
เพียงสืบพันธุ์กินนอนแล้วจากหนี
คือไร้รู้ไร้กลัวความชั่วดี
ยังยอมพลีเพื่อสู้ศัตรูนาง
เปรตวิสัยในครึ่งเทวดา
เฉาปทุมบุปผาเมื่อฟ้าสาง
หน่ายกลิ่นหวนมวลปาริชาตพิลาสวาง
สู่เบื้องล่างทางเปรตเวทนา
อสุรกายเนตรเห็นเร้นกระจิด
ปากน้อยนิดขบคิดปริศนา
แม้นปิดปากปิดหูปิดดวงตา
ฤาปิดรักอุราที่ระทม
ถึงเมาเหล้าเรานี้ยิ่งเมารัก
เพราะอกหักรักปรามห้ามสุขสม
ถึงพันชาติอาจม้วยด้วยระทม
โอ้...เหล้าขมคมรักปาดขั้วใจ
กฤตศิลป์ ชินบุตร
15 พฤศจิกายน 2552
บรรณาศรม
10 พฤศจิกายน 2552 03:30 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
...เพียงรอยเท้าคู่เดียวเที่ยวเทียวย่าง
ปลายเส้นทางอ้างว้างคือจุดหมาย
เท้าย่ำเท้าเงาทับเงาความเมามาย
รอ...ชีพวายบายหน้าชะตากรรม
ดังหินกร้านลานแดดเผาแผดไหม้
ย่อมสิ้นไร้ไม้พรรณเอื้อถลำ
เพียงลมเย้ยเลยผ่านลานระกำ
และเท้าย่ำค่ำวันอันชินชา
คือน้ำเน่าเคล้าฟุ้งคลุ้งคาวกลิ่น
แม้นแผ่นดินสิ้นแท้มิแลหา
รัศมีห้วงหาวพราวนภา
ยังไร้ค่าหามีที่ชวนมอง
เป็นซากศพทบท่าวคาวโลหิต
กำซาบแผลอาบพิษความกลัดหนอง
แร้งสาบสิ้นยินดีที่หมายปอง
หนอนยังพ้องพองขนอยู่อลอึง
เป็นวิญญาณตกอับอาภัพร้าย
มัจจุราชทำลายโดยขังขึง
กัลป์กัปนับทวีที่รำพึง
ยังน้อยหนึ่งซึ่งคนทนร้างใจ
คือยอดเขาลึกชเลที่เหห่าง
เปรียบมืดมิดแสงพร่างต่างวิสัย
สุรัยันจันทราที่คลาไคล
ก็ขับไสไล่ส่งทะนงเดียว
ดังชีวิตฉะนี้ที่พลัดจาก
ปฐมภาคมัชฌิมล่วงยังดวงเหนียว
ท้ายสำเภาเมาคลื่นครื้นครื้นเกลียว
ยากยาเยียวเชี่ยวไหนไร้กำลัง
...เพียงรอยทางอ้างว้างเพียงรอยเดียว
บนถนนสายเปลี่ยวสิ้นความหวัง
เท้าเงาย่ำค่ำหนในวนวัง
รอคนหลังพลั้งพลัดเซซัดตาม...
กฤตศิลป์ ชินบุตร
๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
บรรณาศรม
4 พฤศจิกายน 2552 18:11 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
กล่าวคำลาอาลัยเมื่อไกลจาก
สู่อีกฟากความฝันปรารถนา
แต่ละคนแต่ละฐานปรัชญา
ค่อยลับหายบายหน้าชะตาจร
จากแปลกหน้ามาคุ้นและอุ่นจิต
ผูกชีวิตชิดใกล้ให้สังหรณ์
มั่นสัมพันธน์ปันรักเอื้ออาทร
คำนึงย้อนคำกลอนเศร้าเจ้าจากลา
โอ้เพื่อนเอ๋ยเคยเรียนมุ่งเพียรฝึก
ต่างลุ่มลึกศาสตร์ศิลป์ปิ่นภาษา
โอ้เพื่อนรักหนักไหนได้ฝ่ามา
แต่หนักหนาลาจากนี้ยากเย็น
เพื่อน-ให้รู้สู้งานบันดาลสุข
เพื่อน-ปลอบปลุกลุกยืนทุกขื่นเข็ญ
เพื่อน-แบกรับกับเขลาที่เราป็น
เพื่อน-เก็บเร้นเห็นโทษมิโกรธงอน
นี้คือเพื่อนคือมิตรคือสหาย
คือชีวาตม์ความหมายอุทรหรณ์
คือกำซาบอาบจินต์นิรันดร
และคือกลอนคือพรชโลมจินต์
จากแต่นี้กายีที่จำจาก
ใช่จำพรากจากใจให้หมดสิ้น
กั้นน่านฟ้าผืนน้ำและแผ่นดิน
ใช่กั้นใจโบยบินไปพบพาน
ให้จากลาครานี้สิยึดเหนี่ยว
รักมั่นเกลียวเดียวดายยังเหิมหาญ
ให้จากพรากเพื่อพบประสบการณ์
และเบิกบานเมื่อวันเจ้ามีชัย
เมื่อจากลาน้ำตาอย่าหมายห้าม
และอย่าถามน้ำจิตคิดสงสัย
โดยหลั่งรินคือผ่านทุกซ่านใจ
คืออาลัยคือรักโดยภักดี
เมื่อจากลาน้ำตาจงหลั่งเถิด
ให้รู้เกิดความรักอันสดศรี
แม้นอัสสุไหลล้นชลวารี
ณ วันนี้จะมีเราเข้าประคอง
เมื่อจากลาอย่าร้างเหมือนทางเถือน
สักปีเดือนเคลื่อนคล้อยอย่าสร้อยหมอง
มิตรภาพศรัทธาจงเนืองนอง
ว่าเราคือเพื่อนพ้องตลอดไป
กฤตศิลป์ ชินบุตร
๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
บรรณาศรม