30 กรกฎาคม 2551 10:37 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
ตอซังกรอบหักแห้ง..............สีทอง
ม่านธุลีละออง.......................จากฟ้า
อ้อมแขนแห่งเขาคล้อง.........ใยรัก มั่นฤา
กระท่อมน้อยเหมือนล้า.........มุ่งหน้าจากจร
วัวควายเล็มหญ้ากรอบ.........จืดฟาง
ตาดุจความเปล่าวาง.............สุดสิ้น
มุ่งความขจีช่าง.....................ไร้ค่า ปวงนา
แห้งญ่าฤาดับดิ้น..................มั่นนั้นความหวัง
สุริยันป่ายฟ้า........................บนหัว
ซึมเหงื่อลามทั่วตัว................ดั่งแสร้ง
ลมหัวกุดขุ่นมัว....................ฟางว่อน
นัยน์ขุ่นสัญญาณแล้ง............อีกแล้วทุกข์ทน
เงียบกริบกระท่อมน้อย........หวีดหวิว
ลมพัดเศษฟางปลิว..............ว่อนฟ้า
ธุลีฝุ่นโอบริ้ว.........................ม่านปก
พัดกลบกลางแดดกล้า..........สุดสิ้นเคลื่อนไหว
วัวควายสงบนิ่งให้................สลด ยิ่งนา
ฟ้าประทานเป็นกฎ..............กว่ากั้น
หมดแล้วทรหด.....................ชนบท
แล้วจึ่งมาด้นดั้น...................สู่ฟ้ามหานคร
28 กรกฎาคม 2551 20:31 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
มืดมิดสนิทแท้......................................งมทาง
ปารถนาแสงพร่าง.................................ส่องหล้า
ไหวไหวภาพมายา.................................หลอนหลอก
หวิวหวีดวายุกล้า...................................เร่งเร้าหวาดกลัว
ทางเดินชันแคบเข้า...............................อันตราย
เท้าเปล่าเพียรย่างกราย.........................โหดร้าย
หินคมอาบเรือนกาย...............................เจ็บลึก
มืดมิดทางละม้าย.....................................ลึกใต้นรกานต์
ทางสายเลือดอุ่นเท้า.............................ทนฝืน
ไม่อาจยั้งทั้งยืน.....................................จึ่งล้ม
ความง่วงครอบวันคืน............................จวนหลับ
ตาปิดค้อมหัวก้ม....................................มอดม้วยทมิฬ
ลำแสงของรุ่งเช้า...................................ปรากฏ
เผยเปลือกตาบังบด...............................อีกครั้ง
ม่านดำรั่วจ่อจด.....................................น้อยนิด
ชีวิตฝืนใจรั้ง.........................................อยู่ยั้งอีกคราว
แม้นมิอาจกู่ร้อง........................................ช่วยเหลือ
แสงพร่างหมายใจเอื้อ...............................ปากถ้ำ
ความหวังต่อเติมเชื้อ.................................โชติช่วง
แม้นร่างกว่าชอกช้ำ..................................ไขว่คว้าปลายทาง
27 กรกฎาคม 2551 18:21 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
ปุยเมฆขาวเคลื่อนคล้อย.......................เวียนวน
เป็นเมฆกลุ่มดั้นด้น.............................จากฟ้า
อบอ้าวรอเม็ดฝน..................................โปรยหล่น
ชุ่มเหงื่อเพลียกายล้า............................เถิดฟ้าโปรยฝน
อึมครึมทึมดับฟ้า..................................หม่นมัว
หมองขุ่นแห่งทิศทั่ว..............................เกิดได้
เหมือนอาเพศหวาดกลัว......................ปกแผ่
แสงสุรีย์สิ้นไร้.....................................เถิดฟ้าโปรยฝน
ลมโหมโถมผ่านแล้ว.............................หวีดหวิว
ปลิดหล่นใบไม้ปลิว..............................ว่อนฟ้า
ไหวไหวนกกาลิ่ว.................................ลูกห่วง
รถวิ่งเร็วกลับช้า..................................เถิดฟ้าโปรยฝน
อัสนีฝ่าเปรี้ยง .....................................ระบำ
โสตจับสดับคำ ......................................ต่อสู้
กัมปนาทก้องสำ-.................................แดงเดช
ช้างประสานงาคู้..................................เถิดฟ้าโปรยฝน
กระหน่ำฝนเถิดฟ้า...............................รอรี
จงอย่าลูกคน-ผี.....................................โหดร้าย
สาปส่งฝุ่นธุลี.........................................เลือนลบ
ฝนตกฟ้าสางได้....................................เถิดฟ้าโปรยฝนฯ
กฤตศิลป์ ชินบุตร
27 กรกฎาคม 2551
27 กรกฎาคม 2551 08:43 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
บทที่ 3
ฉากที่ 1 เมืองที่ได้ชื่อว่าสวรรค์บนโลกมนุษย์ นามกรุงเทพมหานคร
อีกฟากฝั่งสังคมเป็นเมืองใหญ่
เสียงร่ำลือขจรไกลทั่วทิศา
คือเมืองหลวงของเหล่ามวลประชา
ที่ไหลบ่าเพื่อหาชีวิตงาม
บางคนทอดทิ้งแม่เพียงลำพัง
ด้วยวาดหวังสูงใหญ่จะใฝ่ข้าม
บ้างลูกน้อยงอแงระงมตาม
ประกายตาวาบหวามสะท้านทรวง
หากไม่จากตรากตรำทำนาไร่
รังเปลวไฟไหม้ตัวให้ลับล่วง
ใช่ชีวิตอ่อนแองานทั้งปวง
แต่เพื่อดวงหัวใจจึงจากจร
ทั้งไม่รู้อยู่ไปก็ไร้ค่า
สู้จากนาเพียงเสื่อและใบหนอน
เผชิญโชคชะตามหานคร
ดีกว่านอนรอวันมรณา
พระอินทร์จำแลง
เมืองกรุงคงรุ่งเรืองเมืองสวรรค์
พลิกชีวันผู้คนเยี่ยงเมืองฟ้า
ด้วยไอทิพย์น้ำใจในธรา
ผองชาวนาย่อมลืมตาประกายวาว
แม้นไม่อาจอยู่สุขในนาไร่
เพราะผองภัยมากมีในรอยเท้า
ช่างเจ็บปวดความจริงในเรื่องราว
ช่างอาดูรแท้ชาวนาไทย
หวังว่าชีวิตเจ้าคงพูนสุข
ขจัดทุกข์เร้ารุมเส้นทางใหม่
ถึงยามท้อเรามีไม่เป็นไร
เถิดแรงใจอีกดวงจะนำทาง
ชานเมืองใหญ่ปรากฏชายผิวคล้ำ
เสื้อเก่าดำขาดวิ่นยามฟ้าสาง
ย่านการค้ามากมายคนเลือนร่าง
ที่ละร่างที่ละร่างค่อยลับตา
อินทร์จำแลงทรงนั่งเพื่อพักผ่อน
สุริยันร้อนตอนเช้าไคลอาบหน้า
ลมคาวคลุ้งจากคลองโชยกลิ่นมา
ล้ากายาเอนกายไม่รู้ตัว
ยิ่งฟ้าเปิดอาทิตย์ยิ่งแผดกล้า
เสียงอึงอลวาจาฝันสลัว
คือฝันร้ายบาดลึกอันหน้ากลัว
จึงรู้ตัวรู้ตนบนความจริง
เมืองสวรรค์เทียบเท่าเมืองนรก
สกปรกรกตาทุกสรรพสิ่ง
เมืองสวรรค์วาดฝันช่างแอบอิง
พินิจยิ่งโสมมในไกวัล
26 กรกฎาคม 2551 16:10 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
ฉากที่ 4 โรงสียักษ์
กระสอบข้าวถูกขนลงจากรถ
ซึ่งทั้งหมดคือเงินมาแนบหนุน
ตาคำสอนวาดหวังจากนายทุน
ผู้ใจบุญการค้าวานิชไทย
แต่โรงสีท่านหักค่าอัตราชื้น
คำเหมือนฝืนกลืนจินต์พอรับไหว
แม้นมิอาจคาดหวังผลกำไร
ชื้อน้ำใจแค่นี้ก็เพียงพอ
ตาคำสอน
ข้าวโดยหักความชื้นก็ช่างข้าว
เรามันลาวกดขี่ไม่ร้องขอ
อยากจะย่ำเหยียบขยี้อย่ารั้งรอ
ให้มันพอเถิดพ่อผู้เงินมี
ได้เงินมาค่าแรงทั้งชีวิต
แม้น้อยนิดเลี้ยงชีพไม่หน่ายหนี
จับกบเขียดผักปลาเลี้ยงชีวี
ความสุขนี้พอใจชาวภูธร
ยายคำสี
ที่พ่อว่ามันเป็นเรื่องความหลัง
กาลนี้ยังสิ่งใดเล่าพ่อสอน
กบเขียดฤาจะมีเหมือนกาลก่อน
ลำน้ำหนองก็ร้อนแล้งแห้งอีกนาน
ทั้งหนี้สินกู้มาทำนาไร่
ดอกกำไรคืนต่อพ่อสมาน
ต้นดอกออกผลเสียเบ่งบาน
ไม่ช้านานต้องตายวายชีวา
สองชีวิตครุ่นคิดหนทางเดิน
ไม่อาจเพลินเดินไปในภายหน้า
แสงละห้อยคล้อยมองยังท้องนา
ประดุจว่าพรุ่งนี้จะจากกัน
ใบหน้าสองหมองเศร้าเร้าใจคิด
ว่าใครผิดใครถูกฤาสวรรค์
ถึงได้ปล่อยอสูรร้ายมาฟาดฟัน
พร้อมลงทัณฑ์ด้วยทัณฑ์สถานแรง
ทั้งผืนป่านาดินจะสิ้นสุด
ด้วยมนุษย์รุกผลาญราญทุกแห่ง
สัมปทานป่าไม้เริ่มสำแดง
ภัยมาแว้งทำร้ายได้ทุกคน
แปลกที่ว่านายหน้าไม่รู้สึก
ฤาสำนึกในกรรมที่ทำผล
เสวยสุขลอยหน้าเมืองอำพล
ไม่เคยสนทุกข์สุขของผู้ใด
นี้คือชีวิตของกสิกร
ผู้เดือดร้อนในสังคมที่ยากไร้
ด้วยวิญญาณของชื่อชาวนาไทย
เป็นอย่างไรต่อไปพิจารณา