1 เล่มแทนเหตุการณ์ประวัติศาสตร์
1 เล่มต่อเติมวาดประดิษฐ์สี
1 เล่มแทนลำนำบทกวี
1 เล่มแทนดนตรีกล่อมค่ำคืน
1 เล่มเปิดประตูแห่งรู้สึก
1 เล่มทะลวงลึกวันหวานชื่น
1 เล่มบรรยายสายน้ำคืน
1 เล่มยังหยัดยืนอยู่ทุกวัน
1 เล่มคือตัวแทนคำว่าเพื่อน
1 เล่มเตือนมิตรภาพคราวหลับฝัน
1 เล่มดุจอมฤตพรมชีวัน
1 เล่มนั้นตะวันอันพร่างพราย
1 เล่มเก็บ 1 โลกได้สนิท
1 เล่มอย่างคิดจะชื้อขาย
1 เล่มที่ไม่มี เนเวอร์ดาย
1 เล่มไม่เคยตายจากคำนึง
1 เล่มเต็มไปด้วยภาพรอยยิ้ม
1 เล่มมิได้พิมพ์งบไม่ถึง
1 เล่มแทนพรรณนาคำรำพึง
1 เล่มจึงมากค่ากว่าสิ่งใด
1 เล่มคือบันทึกนิยายเพื่อน
1 เล่มคือข้อเขียนคราววัยใส
1 เล่มกลั่นพจน์รจนาภาษาใจ
1 เล่มแต่ยิ่งใหญ่เท่าฟ้าดิน
1 เล่มมีมิตรภาพและภาพมิตร
1 เล่มที่ลิขิตบนแผ่นหิน
1 เล่มที่สถิตทั่วธานิน
1 เล่มกินความรู้สึกแห่งเวลา
1 เล่มแต่มากมายคำนิยาม
1 เล่มไม่สวยงามแต่มากค่า
1 เล่มอิ่มเอมพจนา
1 เล่มเต็มตื้นอุราเรา...เพื่อนเอย
Free TextEditor
โอนไหวไปตามคลื่น ระริกรื่นแสงระวี โปรยฟ้าราวธุลี ดอกหญ้าสีขาวชมพู ร้องนกดังเจือแจ้ว เริงลมแผ่วมาเป็นหมู่ ตะวันเสมือนรู้ แปลงนภาให้ทาทอง ดอกหญ้า ณ ป่าพง รังสรรค์ดงให้เรืองรอง โปรยหล่นมวลละออง มนต์มาต้องดวงหทัย ดอกหญ้าสีทาทอง ตะวันต้องงามจับใจ ก่อนสิ้นลำแสงไป ก่อนวันใหม่จะเวียนมา ดอกหญ้ายังคงอยู่ รอเช้าตรู่รุ่งอุษา เงามืดมาบังตา ไม่มีแล้วเจ้าดอกหญ้า
กระเพื่อมแห่งวงน้ำ สีเงินงามสวยสดใส สะเทือนพงหญ้าใบ สะท้อนใจผู้เฝ้ามอง จึงน้ำผสมสี กลายมณีสีเงินทอง งามน้ำดลใจปอง งามเรืองรองแห่งเวลา แล้วน้ำก็ดังเมฆ ตะวันเสกทะมึนทา สิ้นแสงสุริยา ผิวธาราก็ทมิฬ ความงามเพียงชั่วครู่ หาคงอยู่จวบภพสิ้น สูงสุดแล้วจมดิน อำนาจสิ้นเงินและทอง ความมืดไม่เคลื่อนไหว แว่วเสียงไกลคือนกร้อง มืดรอสว่างรอง เป็นอย่างนี้มาช้านาน
ผมและเพื่อนๆในชุมนุมแสงเทียนแห่งความหวัง ได้มีโอกาสไปทำบุญเลี้ยงเด็กที่โรงเรียนคนตาบอด(ในจังหวัดขอนแก่น) โดยผมได้มีโอกาสกล่าวบทกลอนสั้นๆว่า หากเดือนดับอับแสงดวงจันทร์ส่อง ตะวันพร้องชิงพลบอสงไขย เทียนเล่มน้อยจักสว่างกลางดวงใจ เพื่อดวงไทไปสู่ชีวิตงาม หลังจากนั้นผมไปนั่งกลับกลุ่มนักเรียนที่กำลังทานข้าวก็ได้รับบทกลอนบทนี้ จุดแสงเทียนแสงธรรมให้ส่องจ้า จุดดวงใจแห่งศรัทธาให้ผ่องใส จุดประกายแห่งฝันให้หัวใจ มอบดอกไม้แห่งรักให้แก่กัน เมื่อไหร่หนาแสงแห่งใจจะปรากฏ มาแทนทดอนธการม่านหม่นนี้ มีหมู่ดาวล้อมเดือนเอื้อนไมตรี ฟ้าจะมีมวลมิตรให้แก่กัน ผมนั่งอ่านกลอนบทนี้แล้วรู้สึกดีใจที่เด็กคนหนึ่งอายุ12 แต่งกลอนได้ดี และที่ดีใจกว่านั้นคือ ถึงน้องจะตาบอด แต่หัวใจกวีน้องกลับสว่างจ้ากว่าดวงตะวัน ผมเลยมอบกลอนให้น้องว่า น้องไม่เห็นแต่เป็นเช่นผู้รู้ น้องไม่ดูแต่รู้ว่าน้องเห็น น้องไม่อยู่เพียงโลกอันเฉียบเย็น แต่น้องเป็นแสงสว่างที่พร่างพราย จงมอบกลอนจากโลกกวีนี้ ในความมืดมากที่มีขยาย จงเป็นดาวเจิดจรัสพรรณราย และเป็นสายอีกธารวรรณกรรม เราจากกันมาแต่มิได้จากตลอดไป เพราะมิตรภาพพึ่งเริ่มต้นขึ้น
จันทร์แรมแสงอ่อนกลางฟ้า ดาราสีแสงเฉิดฉาย ริ้วลมโชยเมฆละลาย พร่างพรายนาฏลีลา ชายหนุ่มนั่งมองเคลื่อนไหว ฝันไกลไปถึงท้องฟ้า พิศเพ่งพื้นหลังดารา เพื่อหาซึ่งความไม่มี ดวงดาวขาวงามจรัส ผูกมัดมายาแสงสี เข้าใจคือแดนสุขาวดี สุขีเป็นนิจนิรันดร์ แต่ดาวหาได้สถิต เป็นนิจบนสรวงสวรรค์ ย่อมมีคราววูบดับพลัน ย่อมวันสิ้นแล้วความดี ข้ามไกลไปกว่าโสฬส ไร้บทไร้กาลเคลื่อนไหว เพียงธรรมดำรงเป็นไป ถวิลดวงใจบัดดล ความมืดนั้นคือความสว่าง สวยพร่างกลายมืดสับสน ตาบอดคือธรรมนำยล หลุดพ้นมายาทั้งปวง หลับตาเพ่งมองจันทร์เจ้า เห็นเงาเพียงว่ายโลกกว้าง ลืมตามาพบจันทร์ดวง ตักตวงแสงดาวตามเคย