28 พฤศจิกายน 2551 02:35 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
ฟ้าเบื้องบนดารดาษหยาดมณี
เรืองรุจีผ่องจรัสประภัสสร
เหมือนสถิตคู่ฟ้าศศิธร
ดารากรล้วนแล้วแต่สิ้นไป
ด้วยดาวล้าลาลับดับมวลสาร
ด้วยเวลายาวนานอสงไขย
ด้วยฝ่าฟันสาระพันเหล่าผองภัย
ด้วยจำใจจากฟ้ายามราตรี
ดังใบไม้ร่วงไปในราวป่า
ดูไร้ค่าควรคู่ความสดศรี
เป็นขยะทับถมพนาลี
ยังพงพีมากมีความอุดม
คือกฎเกณฑ์ธรรมชาติทรงบัญญัติ
หากขืนขัดหลีกหนีมีขื่นขม
ยิ่งอาวรณ์ยิ่งทวีความระทม
ยิ่งโศกตรมยิ่งเพิ่มความอาลัย
ชีวิตคนด้นเดินมานานปี
ย่างวิถีก้าวผ่านกาลสมัย
หวังสร้างชื่อประดับแผ่นดินไทย
จารจำไว้ในใจอนุชน
คือเลือดเนื้อลิขิตลายชีวิต
อนุชิตสถิตบันดาลผล
มีปราชัยวกมาให้ยินยล
มีทุกข์สุขแห่งคนบนโลกา
ธรรมดาสามัญการเกิดตาย
แม้นพร่างพรายย่อมม้วยด้วยสังขาร์
ผู้ยิ่งใหญ่ฤาพ้นมรณา
มากเงินตราชื้อฤาชีวิตตน
ธรรมดาสามัญการลาจาก
ธรรมดาพลัดพรากสักกี่หน
ธรรมดาธรรมดาปุถุชน
ธรรมดาฟ้าบนอนธการ
เมื่อควันไฟพวยพุ่งจากปากปล่อง
วิญญาณล่องลอยไปไหนสถาน
มุ่งเมืองฟ้าอมรมหาวิมาน
ฤานรกานต์ซาตานนำตนไป
ล่องลอยแล้วชีวิตพันธนาการ
ดลดวงมานสถิต ณ ทิศไหน
กลั่นเลือดเนื้อพวยพุ่งในเพลิงไฟ
เหลืออะไรคงไว้ให้จารจำ
ครั้งชีวิตยังคงพงศ์พันธุ์มนุษย์
งามผ่องผุดพุทธพจน์จรดเช้าค่ำ
เกียรติระบิลเล่าขานการกระทำ
เหมือนอยู่ค้ำใต้หล้าประชาชน
แต่หากกิจผิดชอบระบอบอธรรม
ยามลดน้ำตอผุดมาเป็นผล
เสียงก่นด่าสามานย์ทั้งมณฑล
สิ้นอิทธิพลคนสิ้นบารมี
จงสังวรไว้เถิดกัลยาณมิตร
ชีพน้อยนิดเร่งธรรมอย่าหน่ายหนี
หากชีพม้วยด้วยละกายอินทรีย์
คงความดีจารไว้ในแผ่นดิน
อย่าเป็นเพียงธุลีอันไร้ค่า
ที่ใช้โปรยคงคาธาราสินธุ์
จงเป็นดั่งอมฤตที่รดริน
อันหาสิ้นชั่วฟ้าตราบนิรันดร์
22 พฤศจิกายน 2551 00:02 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
ไม้ผลัดใบไร้ร่มมานมนาน
เหมือนผ่านกาลเวลายามฟ้าสาง
ฟ้าหลังฝนมีมืดเคยเลือนราง
ย่อมแสงพร่างสร่างซาพายุจร
เมื่อเริ่มต้นวนว่ายท้ายสิ้นสุด
งามผ่องผุดย่อมแล้วจึงสังหร
แม้นเทียมฟ้าชะล้าใจไม่สังวร
จะอาทรเบื้องต้นก็ตนเอง
ด้วยมีพบเพื่อพรากจากอีกครั้ง
หวังจีรังยังผลเพียงข่มเหง
ฝืนชะตาฟ้าดินคือหวั่นเกรง
ท้ายบทเพลงชีวันนั้นสิ้นลง
ดังใบไม้แรกเริ่มเติมแต่งโลก
ระริกโบกเริงลมสมประสงค์
เขียวขจีตามสายแห่งพันธุ์พงศ์
ท้ายปลิดปลงลงพื้นธรณี
แต่ใบ้ไม้ร่วงไปหาไร้ค่า
พสุธานำมาเป็นวิถี
คือเสริมสร้างความอุดมพนาลี
แต่คนนี้มีอะไรให้แผ่นดิน
20 พฤศจิกายน 2551 23:20 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
เมื่อควันไฟพวยพุ่งจากปากปล่อง
วิญญาณล่องลอยไปไหนสถาน
มุ่งเมืองฟ้าอมรมหาวิมาน
ฤานรกานต์ซาตานนำตนไป
ล่องลอยแล้วชีวิตพันธนาการ
ดลดวงมานสถิต ณ ทิศไหน
กลั่นเลือดเนื้อพวยพุ่งในเพลิงไฟ
เหลืออะไรคงอยู่ให้จารจำ
ครั้งชีวิตยังคงพงศ์พันธุ์มนุษย์
งามผ่องผุดพุทธพจน์จรดเช้าค่ำ
เกียรติระบิลเล่าขานการกระทำ
เหมือนอยู่ค้ำใต้หล้าประชาชน
แต่หากกิจผิดชอบระบอบอธรรม
ยามลดน้ำตอผุดจึงเป็นผล
เสียงก่นด่าสามานย์ทั้งมณฑล
สิ้นอิทธิพลคนสิ้นบารมี
จงสังวรไว้เถิดกัลยาณมิตร
ชีพน้อยนิดเร่งธรรมอย่าหน่ายหนี
หากชีพม้วยด้วยละกายอินทรีย์
คงความดีจารไว้ในแผ่นดิน
4 พฤศจิกายน 2551 00:02 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
๏ พร่างอุษามณีพราวราวสวรรค์
มหัศจรรย์รุ่งแสงอรุณฉาย
เพริศแพร้วพิภพพรรณราย
คลี่ขจายความมืดมนอนธการ
๏ ผ่านวิกฤติชีวิตมาไกลแสน
ความแล้งแค้นขื่นขมมหาศาล
ผ่านรวดร้าวศัลย์จินต์เกินต้านทาน
กว่าจะผ่านกาลราตรีนี้ยาวไกล
๏ มีดาวดวงห้วงหาวพราวเวหน
ชื่นกมลยลยินพิสมัย
เหมือนมณีประดับฟ้าผ่องอำไพ
ชโลมใจผู้ผ่านกาลเวลา
๏ คล้ายสถิตนิจสรวงห้วงสวรรค์
ลับตาพลันร่วงหล่นพ้นเวหา
ดั่งชีวิตวเนจรรอนแรมมา
เหมือนก้าวหน้ากลับว่ายังย่ำเดิน
๏ อโณทัยเวียนมาไม่รู้สิ้น
แว่วแผ่นดินยังก้องสรรเสริญ
สุริเยนทร์นำยานมาเทียบเชิญ
คงไม่เกินหากเราจะก้าวตาม ๚ะ๛
กฤตศิลป์ ชินบุตร