พ้นราตรีแสงสีศศิธร ตะวันจรย้อนทิวาทาบทาสวรรค์ รังสีแสงแปลงศิลป์กลบเพ็ญจันทร์ ณ อีกวันนกขมิ้นจะแรมรอน ขยับบินพื้นดินขยับห่าง นภากว้างเวิ้งว้างอุทาหรณ์ ฉากชีวิตกำกับเป็นละคร ผู้วนว่ายสีทันดรมหาชล เห็นมากมายไพรีชี้ลวงล่อ เห็นงูเงี้ยวเขี้ยวขอแสวงผล เห็นดำขาวเร้นเงาเมฆาบน เห็นธราดลพ้นวิสัยธรรมดา ยิ่งปีกบินต้านวายุทะลุร่าง ยิ่งสว่างแนวทางเพียรศึกษา ยิ่งปกครึ้มอนธการม่านเมฆา ยิ่งประจักษ์อุราความเป็นไป จึงรู้แจ้งรู้สว่างกระจ่างรู้ ดังเช้าตรู่อุษาวางแสงไข บังอบายเบิกธรรมนำจิตใจ ผู้เวียนว่ายในดินอันอาจม
ประวัติศาสตร์อำนาจผู้ชำนะ ลิขิตละกาลีอัปรีย์แสน นรกานต์บันดาลพิมานแดน อนุชนแห่แหนธรรมดา ด้วยมิรู้เท็จจริงสิ่งไหนแน่ อันเทียมแท้แค่มือเก็บรักษา ร้องเรียงพจน์สุนทรกาญจนา ฝากศรัทธามหาประชาชน ดังผ้าขาวจุดดำมีตำหนิ ย่อมยลผิวะดำกระทำผล ดำกำซาบอาบร่างทั่งสกล ย่อมมณฑลยลนิลสิ้นความดี มองผ้าขาวเข้าใจนำเสนอ จุดดำเจอเพียงเสี้ยวของเศษสี เห็นรสธรรมล้ำกว่ามารไพรี คำกาลีฤามีจำนรรจา
รู้ว่ารักเมื่อพรากจากคนรัก รู้ว่าหนักคนทักบ่าแบกหาม รู้ว่าชอบระบอบนิยมตาม รู้ว่างามทรามชั่วก็ตัวเอง รู้เป็นไทยเมื่อสิ้นแผ่นดินชาติ รู้เอกราชเมื่ออำนาจมันข่มเหง รู้สุนทรีย์เมื่อสิ้นซึ่งบทเพลง รู้หวั่นเกรงเมื่อเลือดละเลงไทย จึงสำนึกผนึกกำลังมั่น จึงผจัญมารยาสาไถย จึงหาญห้าวหวังดาวเพียงรำไร จึงหัวใจไฟฝันอันทวี แล้วบุปผาแย้มบานละลานน้ำค้าง อุษาสางรุ่งรางประกายสี วิรังรองม่านกรองหยาดมณี ฉายรัศมีชี้ชมรมยา
หากโลกนี้ไร้สิ้นถิ่นประเทศ ไร้อำนาจไร้วิเศษไร้เลอค่า ไร้แก่งแย่งไร้แข่งขันไร้มารยา ไร้เชื้อชาติไร้ศาสนาไร้ฆ่าฟัน ไร้เจ้านายไร้ข้าไพร่ไร้กดขี่ ไร้มิคสัญญีไร้กาลีไร้อาสัญ ไร้อีแอบไร้อัปรีย์ไร้ประจัญ ไร้สามานย์ไร้โศกศัลย์ไร้จัญไร มีสองเท้าก้าวเดินไปข้างหน้า มีสองตาเสาะหาชีวิตใหม่ มีสองมือเกาะกุมกำลังใจ มีเสรีฝันใฝ่ให้โบบิน มีคุณค่าว่าคนบนผืนโลก มีสายลมโชยโบกให้โผผิน มีธารใสไหลมาให้ดื่มกิน มีแผ่นดินหยัดยืนทระนง มีสิทธิเทียบชั้นพลเมือง มีปากเสียงเรียกร้องความประสงค์ มีความคิดเสรีอันอาจอง มีเพื่อนพ้องเผ่าพงศ์อุดมการณ์ แม้นไม่มีโลกใบนี้ที่ฝันใฝ่ เพียงฟ้าใหม่วิไลมาประสาน แรกอุษาอรุณกรุ่นดวงมาน ย่อมแหลกลาญอนธการเคยครอบงำ ว่ากันว่าฟ้าหลงฝนโสภณยิ่ง งามเพริศพริ้งมิ่งหล้านภาขำ วิรังรองทองยลสิ้นฝนพรำ สิ้นกาลีสีดำงำนัยนา
ผ่านเมืองมาดอกหญ้าดารดาษ
จิตกรวาดศิลปะอันหวงแหน
ขาวระย้าชูระยับประดับแดน
งามนี้มิได้แค่นคำวจี
ถึงดอกหญ้าริมทางดูไร้ค่า
ไม่อาจเทียบปุบผาอันสดศรี
แต่ก็คือวงศ์วานพันธุ์มาลี
ภาพใบนี้เก็บไว้ไปฝากเธอ
ใช่เทียบค่าว่าเป็นเช่นดอกหญ้า
และกล่าวหาด้วยจิตคิดพลั้งเผลอ
มีสติหาใช่คำละเมอ
แต่คือคำพร่ำเพ้อถึงกานดา
งามดอกไม้คือสวรรค์บันดาลสร้าง
งามสะอางคืองามเทศนา
งามชดช้อยคือกลอยกัลยา
งามดอกหญ้าค่าสูงคือจิตใจ
เมื่อเจ้ากล้าผลิบานกลางสายลม
ย่อมต้องกล้าขื่นขมการเอนไหว
เมื่อเจ้ากร้านมายาและผองภัย
เจ้านั้นไซร้ดอกหญ้าที่ข้าปอง
ค่ามนุษย์วัดได้ที่ใจสูง
ถึงพันธุ์ยูงหมิ่นกาน่าเศร้าหมอง
มากยศศักดิ์ถือตนเหนือคนครอง
ย่อมกลัดหนองด้วยง่ายพ่ายภัยตัว
หมายเหตุ บางส่วนของนิราศสุวรรณภูมิ
Free TextEditor