15 พฤศจิกายน 2552 05:28 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
ถึงเมาเหล้าเช้าเย็นเป็นแล้วสร่าง
แต่รักร้างเมาหนักมิยักหาย
กี่ชาติภพจบสิ้นคงกลิ่นอาย
หวนเมามายร้ายลึกตรึกฝังทรวง
ในโลกันตร์ความมืดและเหน็บหนาว
ดุจค้างคาวร้าวเหลวอับเปลวสรวง
เบญจกาลนานครั้งสว่างปวง
แต่ใจดวงหนึ่งนั้นหาวันมี
ติรัจฉานผ่านภูมิยิ่งรุ่มร้อน
เพียงสืบพันธุ์กินนอนแล้วจากหนี
คือไร้รู้ไร้กลัวความชั่วดี
ยังยอมพลีเพื่อสู้ศัตรูนาง
เปรตวิสัยในครึ่งเทวดา
เฉาปทุมบุปผาเมื่อฟ้าสาง
หน่ายกลิ่นหวนมวลปาริชาตพิลาสวาง
สู่เบื้องล่างทางเปรตเวทนา
อสุรกายเนตรเห็นเร้นกระจิด
ปากน้อยนิดขบคิดปริศนา
แม้นปิดปากปิดหูปิดดวงตา
ฤาปิดรักอุราที่ระทม
ถึงเมาเหล้าเรานี้ยิ่งเมารัก
เพราะอกหักรักปรามห้ามสุขสม
ถึงพันชาติอาจม้วยด้วยระทม
โอ้...เหล้าขมคมรักปาดขั้วใจ
กฤตศิลป์ ชินบุตร
15 พฤศจิกายน 2552
บรรณาศรม
10 พฤศจิกายน 2552 03:30 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
...เพียงรอยเท้าคู่เดียวเที่ยวเทียวย่าง
ปลายเส้นทางอ้างว้างคือจุดหมาย
เท้าย่ำเท้าเงาทับเงาความเมามาย
รอ...ชีพวายบายหน้าชะตากรรม
ดังหินกร้านลานแดดเผาแผดไหม้
ย่อมสิ้นไร้ไม้พรรณเอื้อถลำ
เพียงลมเย้ยเลยผ่านลานระกำ
และเท้าย่ำค่ำวันอันชินชา
คือน้ำเน่าเคล้าฟุ้งคลุ้งคาวกลิ่น
แม้นแผ่นดินสิ้นแท้มิแลหา
รัศมีห้วงหาวพราวนภา
ยังไร้ค่าหามีที่ชวนมอง
เป็นซากศพทบท่าวคาวโลหิต
กำซาบแผลอาบพิษความกลัดหนอง
แร้งสาบสิ้นยินดีที่หมายปอง
หนอนยังพ้องพองขนอยู่อลอึง
เป็นวิญญาณตกอับอาภัพร้าย
มัจจุราชทำลายโดยขังขึง
กัลป์กัปนับทวีที่รำพึง
ยังน้อยหนึ่งซึ่งคนทนร้างใจ
คือยอดเขาลึกชเลที่เหห่าง
เปรียบมืดมิดแสงพร่างต่างวิสัย
สุรัยันจันทราที่คลาไคล
ก็ขับไสไล่ส่งทะนงเดียว
ดังชีวิตฉะนี้ที่พลัดจาก
ปฐมภาคมัชฌิมล่วงยังดวงเหนียว
ท้ายสำเภาเมาคลื่นครื้นครื้นเกลียว
ยากยาเยียวเชี่ยวไหนไร้กำลัง
...เพียงรอยทางอ้างว้างเพียงรอยเดียว
บนถนนสายเปลี่ยวสิ้นความหวัง
เท้าเงาย่ำค่ำหนในวนวัง
รอคนหลังพลั้งพลัดเซซัดตาม...
กฤตศิลป์ ชินบุตร
๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
บรรณาศรม
4 พฤศจิกายน 2552 18:11 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
กล่าวคำลาอาลัยเมื่อไกลจาก
สู่อีกฟากความฝันปรารถนา
แต่ละคนแต่ละฐานปรัชญา
ค่อยลับหายบายหน้าชะตาจร
จากแปลกหน้ามาคุ้นและอุ่นจิต
ผูกชีวิตชิดใกล้ให้สังหรณ์
มั่นสัมพันธน์ปันรักเอื้ออาทร
คำนึงย้อนคำกลอนเศร้าเจ้าจากลา
โอ้เพื่อนเอ๋ยเคยเรียนมุ่งเพียรฝึก
ต่างลุ่มลึกศาสตร์ศิลป์ปิ่นภาษา
โอ้เพื่อนรักหนักไหนได้ฝ่ามา
แต่หนักหนาลาจากนี้ยากเย็น
เพื่อน-ให้รู้สู้งานบันดาลสุข
เพื่อน-ปลอบปลุกลุกยืนทุกขื่นเข็ญ
เพื่อน-แบกรับกับเขลาที่เราป็น
เพื่อน-เก็บเร้นเห็นโทษมิโกรธงอน
นี้คือเพื่อนคือมิตรคือสหาย
คือชีวาตม์ความหมายอุทรหรณ์
คือกำซาบอาบจินต์นิรันดร
และคือกลอนคือพรชโลมจินต์
จากแต่นี้กายีที่จำจาก
ใช่จำพรากจากใจให้หมดสิ้น
กั้นน่านฟ้าผืนน้ำและแผ่นดิน
ใช่กั้นใจโบยบินไปพบพาน
ให้จากลาครานี้สิยึดเหนี่ยว
รักมั่นเกลียวเดียวดายยังเหิมหาญ
ให้จากพรากเพื่อพบประสบการณ์
และเบิกบานเมื่อวันเจ้ามีชัย
เมื่อจากลาน้ำตาอย่าหมายห้าม
และอย่าถามน้ำจิตคิดสงสัย
โดยหลั่งรินคือผ่านทุกซ่านใจ
คืออาลัยคือรักโดยภักดี
เมื่อจากลาน้ำตาจงหลั่งเถิด
ให้รู้เกิดความรักอันสดศรี
แม้นอัสสุไหลล้นชลวารี
ณ วันนี้จะมีเราเข้าประคอง
เมื่อจากลาอย่าร้างเหมือนทางเถือน
สักปีเดือนเคลื่อนคล้อยอย่าสร้อยหมอง
มิตรภาพศรัทธาจงเนืองนอง
ว่าเราคือเพื่อนพ้องตลอดไป
กฤตศิลป์ ชินบุตร
๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
บรรณาศรม
28 ตุลาคม 2552 08:16 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
ยุคนี้สมัยนี้
ใช่เสรีจะมีได้
ความจริงนั้นไม่ตาย
แต่ชีพวายนั้นคามี
คิดเห็นประเด็นต่าง
ยัดตะรางและเมืองผี
สมยอมจึ่งว่าดี
นี้เสรีประการใด
หมดยุคทาสอำมาตย์
แต่อำนาจมิจากไหน
เคยมีมีต่อไป
กดขี่ไซร้ก็ธำรง
ลวงว่าสละสิ้น
แต่ดวงจินต์ยิ่งใหลหลง
วางปล่อยทระนง
เบื้องหลังคงอำนาจมัน
ไพร่ลืมว่าตนไพร่
ตะกายใฝ่บันไดฝัน
ยกเมฆเสกสุบรรณ
ว่าสวรรค์เสมอเทียม
ไพร่ลืมกำเนิดไพร่
เถลิงใหญ่บ่อายเหนียม
เท้าย่างช่างบ่เจียม
โธ่! คุณเรียมเกรียมสันดาน
มักได้และง่ายขอ
สำคัญพอให้เหิมหาญ
แจ้งลับอัประมาณ
บริวารสนองพลัน
ยศยิ่งอภิฤทธิ์
มหาสิทธิ์พระเดชหรรษ์
กรานกราบกำซาบทัณฑ์
โลมานั้นศิริคุณ
ถือว่าวาจาศักดิ์
ศิริลักษณ์เฉลาหนุน
ห่มครองกองนาบุญ
พาทีดุลย์ตุลาการ
อำมาตย์อำมหิต
วิปริตวิตถาร
สมเสพสมสำราญ
ทั้งหลังอานและพานกรวย
ตัวดีไม่มีใคร
พิสุทธิ์ใสวิไลสวย
ธนทวีรวย
ประชาซวยกันเถิดรา
ประเทศทั้งเขตขันธ์
องค์กรสรรพ์เสมอหน้า
พลิ้วลิ้นก็ปลิ้นฟ้า
ขยิบตาธานินทร์จม
เปลวเทียนเมื่อเปลี่ยนแสง
ก่อนสิ้นแรงสว่างสม
วาบหายสลายลม
เหลือชื่นชมความวางวาย
อำมาตย์ปัจฉิมภาค
เสวยอยากก่อนจากหาย
วาบแสงจำแลงพราย
เพื่อมลายสถาพร
ยิ่งร้ายก็ยิ่งเร่ง
ยิ่งเส็งเคร็งยิ่งสังหรณ์
สายันต์ทินกร
ทิฆัมพรอนธการ
นี้คือสัจธรรม
ศยามดำนำเปลี่ยนผ่าน
ใดเลยจะเคยต้าน
คชสารเมื่อตกมัน
สูงส่งสิ้นส่งสูง
สิ้นพันธุ์ยูงพันธุ์สวรรค์
นกกาเท่าสามัญ
น่านฟ้านั่นบินเสรี
คอยรออย่าท้อหวัง
มีฝันฝั่งอันเฉิดศรี
ฟ้าใหม่อุษามี
สมัยนี้ย่อมแน่นอน
บางความจากสังเวชประเทศศยามหมายเลข ๒
28 ตุลาคม 2552 08:11 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
ยุคไหนสมัยนี้
ประชาชีหลับตาเหลียว
เถื่อนทางวิถีเทียว
ทั้งงูเงี้ยวเขี้ยวขอชุม
มืดมิดปิดอำพราง
โดยแต่งวางอย่างสุขุม
โฆษณาการประชุม
เสรีคุ้มมวลประชา
แต่นี้เป็นยุคใหม่
พิพรรธน์ไกลในโลกหล้า
สิ้นยุคอำมาตยา
เสมอหน้าประชาชน
สิ้นแล้วอภิสิทธิ์
อิทธิฤทธิ์บันดาลผล
เทียมพื้นภูวดล
เท่ามวลคนธรรมดา
จริงหรือที่ถืออ้าง
อำนาจวางปล่อยหัตถา
หรือเพียงพจนา
ลวงประชานึกคิดเอง
โดยเห็นประเด็นต่าง
ลับลวงพรางเข้าข่มเหง
โล่งแจ้งมิหวั่นเกรง
หรือนักเลงอันธพาล
สำคัญว่ายิ่งใหญ่
กระทำได้ไร้สงสาร
อำมาตย์ทุราจาร
เยี่ยงสันดานทุรชน
สูงส่งธำรงยศ
แต่กบฏน้ำใจคน
เหวหุบธราดล
ยังสูงพ้นอำมาตย์เป็น
อำนาจกว่าได้มา
แต่รักษานั้นทุกข์เข็ญ
การใช้ยิ่งยากเย็น
บุญบาปเป็นเจตนา
นักบุญและคุ้นบาป
มโนทราบในอุรา
นักสร้างกรุณา
น้อมวันทาศยามไท
บางความจาก สังเวชประเทศศยาม หมายเลข๒