2 มีนาคม 2553 04:50 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
กว่าเป็นดินถิ่นเดินให้เพลินสุข
กี่ล้มลุกตายฟื้นคืนหลอกหลอน
และกี่ร่างทับร่างในดินดอน
สืบนาครด้วยเลือดเนื้อวีรชน
เท้าบางเปล่าไยย่างอย่างผู้กล้า
แบ่งดินฟ้าสูงต่ำให้สับสน
ก็มองแท้แค่เห็นมหาชน
เดินย่ำทนบนโคลนแห่งอัตตา
ยิ่งย่ำเดินยิ่งจมระดมลึก
จิตสำนึกผลึกเร้นเกินเฟ้นหา
เพียงสรรพจน์สบถอ้างสร้างมายา
แล้วบูชาค่าคนล้นจอมปลอม
เถิดเราท่านยอมรับกฎใดสร้าง
ใครแอบอ้างระหว่างกลิ่นมาลีหอม
คงไม่นานเมื่อไม้บานจะลาญงอม
ก็ถึงพร้อมย่อมเห็นเป็นตนตัว
...ณ ตอนนี้บ้านเมืองอันเรืองรุ่ง
ระเริงฟุ้งทุ่งไฟไล่ลามทั่ว
ระแวงหวาดกระวาดหวั่นกระสันกลัว
บ้างเมามั่วมัวหลงทะนงลาญ
ก่อนเคยสู้ศัตรูเคียงไหล่บ่า
มาเข่นฆ่าด้วยพร้าร่วมสังหาร
ก่อนเคยรักเพื่อนพ้องน้องสาบาน
เป็นขบถสาธารณ์ต่อกันเอง
เมื่อไหร่หนอพอจะได้ไทยทั้งหลาย
จะต่อเท้าขึ้นป่ายใครข่มเหง
จะเนื้อเลือดเดือดฉานลานละเลง
ก็พื้นเพลงเนื้อร้องทำนองไทย
ฤๅจะเปลี่ยนเพลงชาติทำนองโศก
วิปโยคโพกผ้าขึ้นปราศรัย
เลือกเอาข้างทางกู-สูคนใคร
แต่ทางใจล้วนดำดุษฎี
ก่อไฟสุมรุมเพลิงเร้าแล้วเผาชาติ
ยังสามารถอาจองว่าทรงศรี
ฤๅผืนหนังมัสสาประชาชี
เป็นผืนแผ่นปถวีขึ้นครองคน
... ก่อนสิ้นชาติอาจสิ้นใครไปมากแล้ว
คุณพ่อแก้วแม่ขวัญล้วนสับสน
ไม่มีญาติไม่มีเพื่อนไม่มีตน
ไม่มีพ้นจักผจญเวทนา
ก็เมื่อนั้นเสียงระงมของการไหว้
ด้วยอาลัยบ้านเมืองปรารถนา
สักแต่สายใดเลยจะหวนมา
ดังเวลานาทีที่เคลื่อนพาน
แล้วโหยไห้น้ำตาดังว่าฝน
ฤๅจะทนร้อนเหลวเปลวเพลิงผลาญ
ร้างเลือดเนื้อเอื้อสลักสักปราการ
จึงแหลกลาญถิ่นเวศม์ประเทศทอง
ใช้น้ำโศกโบกลาการฆ่าเข่น
ใช้น้ำเย็นปลอบโยนคนผยอง
ใช้น้ำตาว่าเศร้าเข้าปรองดอง
แต่น้ำคลองให้จะล้างเลือดขื่นคาว
...เหือดน้ำตาลาไหลใช่จะหยุด
ยังรอรุดเร่งเร้าทุกฝีก้าว
แลไฟเพลิงเริงริบกระพริบดาว
สักวันพราวร้าวร้ายกว่าใดเทียม...
กฤตศิลป์ ชินบุตร
2 มีนาคม 2553
24 กุมภาพันธ์ 2553 07:44 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
เธอรู้ไหม...
คนอยู่ไกลจ้องมองบนท้องฟ้า
ในระหว่างช่องว่างของจันทรา
เพื่อค้นหาแสงกระพริบระยิบยวง
เธอรู้ไหม...
ว่าหริ่งหรีดกรีดไห้เพราะไพรหวง
เสียงสะท้อนย้อนสะทกตรึงอกทรวง
คล้ายแก้วดวงร่วงหล่นจนแหลกลาญ
เธอรู้ไหม...
ที่ลมไหวใช้ว่าฟ้าจักขาน
ฟังสิ...เสียงกระซิบจากดวงมาน
ฝากลมผ่านว่ารักทุกนาที
เธอรู้ไหม... เธอรู้ไหม...รู้ไหม
ว่าฟ้าไกลยังเห็นรัศมี
และลึกคำล้ำรสกว่าบทกวี
คือล้ำถ้อยนารีสาธยาย
..................................................
ขอได้ไหมให้รู้ห้วงใจเจ้า
แม้นน้อยหนึ่งเศษดาวยามเลือนหาย
หวังได้ไหมหวังแสงอันแรงพราว
เพื่อนำก้าวหนทางปุถุชน
ทางข้างหน้าดูไกลเธอว่าไหม
โน่นกว่าชัยจักมีกี่แดดฝน
ทางข้างหน้า...ช่างเถอะแค่ท้าทน
แต่ข้างตนด้นเดินจักมีใคร
ขอมือเถอะ...จับมือกันร่วมฟันฝ่า
ประสานตาว่าสู้ศัตรูไหว
ล้มเราลุกปลุกกันฟื้นยืนต่อไป
มีหัวใจปรารถนาเป็นอาภรณ์
รอ...มือเธอ
จักรอเก้อหรือไรให้สังหรณ์
ฝากคำถามศรัทธาในบทกลอน
ก่อนหลับนอนฝันถึงเจ้า ดาวพระจันทร์
23 กุมภาพันธ์ 2553 06:11 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
๑
...เอื้อมมือมนุษย์ไกลเกินจินตนาการ
แต่เอื้อมหวงดวงมานฤๅจักไหว
ร้อยดวงดาวพราวโชติแสนโกฏิไกล
แต่ร้อยใจเราคล้องมิพร้องพราย
๒
ราตรีกาลลานสรวงร่วงหยาดฟ้า
คล้ายดวงตาใครคนหล่นรินสาย
อณูเก็จเพชรรัตน์จรัส...วาย
ก็ดุจคล้ายคอยหวังอันว่างมี
มองคงคาสวรรค์อันบรรจบ
เชื่อมฟากภพมรรคาพร่ารังสี
แต่ทางรักทางฝันชั้นกวี
มืดริบหรี่ที่จักเอื้อมเชื่อมใจครอง
คืนหนาวร้ายพายพัดเหน็บเจ็บและปวด
ดุจคมลวดหนามบาดขยาดผยอง
ทว่า...กล้าฝ่าจะข้ามโดยลำพอง
เพียงหวังปองน้องนั้นบนจันทร์พราว
๓
อุษาโยค...หมายตะวันจะปันแสง
อนธการลาญแรงเปลี่ยนแปลงหาว
อรุณรักสักหมายให้ยืดยาว
กว่าตะวันจันทร์ดาวกัลปา
อรุณวันนั้นหวังการตั้งตน
ปุถุชนสืบสายปรารถนา
อรุณใดไอหนุนอุ่นอุรา
เคียงกานดาว่าอุ่นแม้นโลกันตร์
๔
จันทราแจ่มเรืองงามอมรสร้าง
อนงค์พร่างรัศมีรุจีสรรค์
เราจึงเพียงกระต่ายคิดหมายจันทร์
ทุกชั่วกัลป์ด้วยเวลาวินาที
เมื่อมุ่งหมายคล้ายมนต์มาดลจิต
ขออุทิศชีวิตน้อยด้อยภาษี
จักล้มลุกปลุกปลอบจรลี
บนทางซึ่งเพียงมีเราเอกา...
ฝากหัวใจ ฝากบทกวีนี้แด่เธอ...
กฤตศิลป์ ชินบุตร
13 กุมภาพันธ์ 2553 12:46 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
ถ้าจะดีในหมู่ผู้แสแสร้ง
จำฝืนแรงตัวตนเข้าค้นหา
ขอเป็นเลวชั่วชาติภาวนา
ยังสมค่าว่ามีความเป็นคน
หากจะดีด้วยวาทมธุรพจน์
โดยขบถหัวจิตคิดเอาผล
ขอเป็นเลวคำสัตย์และท้าทน
ยังเห็นตนมากค่าถ้อยสุนทร
หวังจะดีด้วยปั้นหน้าสง่าโฉม
ซ่อนทรุดโทรมอัปลักษณ์ที่หลอกหลอน
ขอเป็นเลวด้วยมังสาแลอาภรณ์
ดังผ้าผ่อนห่อนหุ้มเนื้อสุวรรณ
ถ้าจะเด่นด้วยถีบสหายขึ้น
เสียงสะอื้นคล้ายกล่อมมาสวรรค์
ขอยอมด้อยค่าไร้ในโลกันตร์
ยังสุขสันต์มิตรภาพกำซาบทวี
หากจะเด่นด้วยท้อต่อสำนึก
ให้น้ำลึกศึกใกล้เอาใจหนี
ขอยอมด้อยด้วยชีพดุษฎี
แม้นเป็นผีชื่อก็ก้องลำพองจินต์
หวังจะเด่นเป็นชื่อลือกระฉ่อน
ด้วยเล่ห์หลอนกลลวงความกังฉิน
ขอยอมด้อยด้วยซื่อต่อฟ้าดิน
จักไร้กินแต่เกียรติพ้องก้องกำจาย
ถ้าจะเป็นที่รักยอดสตรี
ด้วยกายีมุ่งเอาเป็นเป้าหมาย
ขอยอมซึ่งร้างคู่ชีวาวาย
ยังเหมือนได้ครองรักสัตการ
หากจะเป็นยอดรักคนทั้งโลก
ด้วยอุปโลกน์ยศลาภมหาศาล
ขอยอมซึ่งคนเร่พิสดาร
จรขอทานให้สมเพชเวทน์อารมณ์
หวังจะเป็นความรักอันยิ่งใหญ่
ด้วยมารยาสาไถยให้สุขสม
ขอยอมซึ่งความรักอันระทม
เพื่อชื่นชมจริงใจไร้เล่ห์ลวง
ถ้าหากหวังจงเถิดหากจะหวัง
ให้งามปลั่งดุจจิตนิมิตสรวง
เมื่อมีหวังคงมิใช่ยถาดวง
หนทางปวงล้วนลิขิตจากจิตตน
13/02/2553
10 กุมภาพันธ์ 2553 12:24 น.
กฤตศิลป์ ชินบุตร
อันมนุษย์ใดเลยจะบูรณ์พร้อม
รอยเท้าย่อมลึกตื้นการเคลื่อนไหว
ทั้งจมดิ่งสิ้นท้อก้าวต่อไป
ทั้งโหยไห้ไหว้หวาดชะตาลวง
รู้เดินยากอยากจะบินก็สิ้นปีก
เรี่ยวแรงหลีกหลบภัยยิ่งใหญ่หลวง
น้อมชะตาคารวะร้ายทั้งปวง
ให้ศัลย์ทรวงปวงโศกโลกโลกีย์
ใช้ปากกาเขียนคำบรรยายทุกข์
เพื่อปลอบปลุกสุขซ่อนก่อนจากหนี
ใช้หัวใจกลั่นพจน์รสกวี
ใช้เลือดสีเต็มฉานจารระบาย
ด้วยมนุษย์คือโหดกว่าโฉดรู้
ใดศัตรูหรือมิตรคำขยาย
ต่างเห็นทรัพย์เห็นประโยชน์แลเรือนกาย
จักเห็นใจสาธยายเมื่อวายวาง
ชโลมชีพด้วยกวีอัตคัด
ชโลมชีพด้วยรัตน์อุษาสาง
ชโลมชีพดังสำเภาไร้ใบกาง
ชโลมชีพเพียงนางทักวาจา
ด้วยเท้าถีบชีวิตก็ยังหวัง
ด้วยเท้าถีบพลังก็คงกล้า
ด้วยเท้าถีบมีพอต่อเวลา
ด้วยเท้าถีบคือท้าชะตาจร
และปากกาจะเขียนกวีบท
และปากกาแทนทดดวงจิตหลอน
และปากกาจะส่องชี้เอื้ออาทร
และปากกาสะท้อนความเป็นคน
ชโลมชีพด้วยเท้าถีบและปากกา
ปณิธานสัจจาต่อฟ้าหน
ต่อนี้ไปให้อุทิศชีวิตตน
เป็นเลือดข้นปนกวีชี้แผ่นดิน
กฤตศิลป์ ชินบุตร