16 กรกฎาคม 2549 02:10 น.
กระวีกำภู
ฉลองราชย์ฉลองรัฐกษัตริย์แก้ว
พลุพุ่งแพร้วพราวนภาสมราศี
พ้นหลั่งทักษิโณทกหกสิบปี
เหมือนวารี ธ รดรินแผ่นดินไทย
ขอพระองค์ทรงพระเกษมศานติ์
หลังทรงงานนานนมสมสมัย
ทรงพระชนมายุยิ่งกว่าสิ่งใด
เป็นพระทัยผืนดินทองผองแดนธรรม
11 มิถุนายน 2549 18:29 น.
กระวีกำภู
น้องเอ๋ย น้องเล็ก
เจ้าเป็นเด็ก รุ่นใหม่ วัยศึกษา
อนาคต ของชาติ อาจเยียวยา
เรื่องปัญหา ภาษาไทย ในบ้านเรา
ขอให้เจ้า เข้าใจ ในอกพี่
ฟังทางนี้ จักฉลาด ไม่ขลาดเขลา
จงสืบทอด ภาษาไทย แต่วัยเยาว์
ด้วยตัวเจ้า เหมือนพี่ทำ ประจำเอย
น้องเอ๋ย น้องน้อย
หนึ่งในร้อย พันอย่าง หนทางแก้
คืออย่าทิ้ง สิ่งของ อันถ่องแท้
จงดูแล มรดก ตกทอดเรา
ฝึกพูดฟัง อ่านเขียน เพียรแข็งขัน
แต่งโคลงฉันท์ กาพย์กลอน เป็นพรเกล้า
ใครว่าเชย จงชิชะ กระทืบเท้า
นี่แหละเจ้า ผู้พิทักษ์ รักษ์ไทยเอย
น้องเอ๋ย น้องพี่
คนเรามี สองพร เพื่อสอนศิลป์
เป็นปีกหาง นกกา ไว้หากิน
โดยรู้สิ้น บินลัด ประหยัดแรง
หนึ่งฝันใฝ่ ได้จาก ฟากสวรรค์
สองฝ่าฟัน ด้วยใจ ใฝ่แสวง
พรแสวง พรสวรรค์ นั้นแสดง
บรรเจิดแจ้ง ในคนเรา ไม่เท่าเอย
น้องเอ๋ย น้องรัก
เจ้าอย่ามัก ง่ายดาย หน่ายยากเข็ญ
หากพรั่งพร้อม พรสวรรค์ ในการเป็น
จนโดดเด่น เป็นที่รัก รู้จักดี
และอย่าไพล่ ใช้อย่างพาล ในด้านผิด
จงเขียนคิด ให้ดีงาม ตามวิถี
ไม่จ้วงจาบ หยาบช้า ด้วยพาที
กอปรกับมี จิตวิญญาณ สานต่อเอย
น้องเอ๋ย น้องนุ่ง
เจ้าจงมุ่ง มั่นให้มาก แม้ยากเข็ญ
หากแคลนคลอน พรสวรรค์ อันจำเป็น
จักโดดเด่น เห็นดีได้ ในสักวัน
จงฝึกปรือ มือปาก จนผากแห้ง
พรแสวง จักแปลงเป็น พรสวรรค์
เกิดแก่เกล้า แก่กล้า พร้อมหน้ากัน
อย่าไหวหวั่น คำขาน วิจารณ์เอย
น้องเอ๋ย น้องใหม่
บทกลอนไทย ไม่ยาก แม้อยากเขียน
ให้ซาบซึ้ง ซึมซับ ระดับเซียน
มิเกินเพียร พยายาม ตามพี่มา
เริ่มจากสิ่ง ใกล้ตา ที่น่าสน
เริ่มจากคน ใกล้ตัว อย่ามัวหา
จดบันทึก ทุกทุกข์สุข ทุกเวลา
ฝึกภาษา ขั้นแรกไป ในตัวเอย
น้องเอ๋ย น้องยา
จากนั้นหา เวลาว่าง ที่พลางเหงา
เริ่มรวบรวม เรียงร้อย ถ้อยคำเรา
และเร่งเร้า หัวใจแจ้ง แรงบันดาล
จับสัมผัส คล้องจอง ครรลองกฎ
ทุกบาทบท รู้จำแนก จนแตกฉาน
เมื่อดมดอม หอมประทิ่น ถึงวิญญาณ
อ่านกลอนกานท์ ปานจะกลืน ชื่นอกเอย
น้องเอ๋ย น้องไซร้
แม้นมีคน ส่วนใหญ่ ไม่แลเหลียว
ตีค่าดี ที่ชื่อเสียง เพียงอย่างเดียว
โดยไม่เกี่ยว กับมีดี ที่ฝีมือ
บ้างก็บ้า ภาษาสูง อย่างยูงหงส์
ไม่เถรตรง ให้ถ้วนทั่ว ตัวหนังสือ
คำสามัญ ชั้นนกกา และกิ้งกือ
น่านับถือ ถ้าเจ้าใช้ จริงใจเอย
น้องเอ๋ย น้องน้อง
พี่จะมอง อนาคต อันสดใส
รับอรุณ รุ่งร้อน แห่งกลอนไทย
คนรุ่นใหม่ ใจโบราณ ปานยุคทอง
งานกวี ศรีศิลป์ สิ้นศรีศักดิ์
จักพิทักษ์ จักไม่ทิ้ง ทุกสิ่งของ
บรรพชน บนสวรรค์ ท่านเฝ้ามอง
พี่ชวนน้อง ผองไทย ร่วมใจเอย
24 พฤษภาคม 2549 15:41 น.
กระวีกำภู
เกิดมาเดิน เหินได้ โดยไร้เท้า
และร่ำเล่า เรื่องได้ โดยไร้เสียง
และไห้โหย โดยไม่ มีใครเคียง
เขาให้เพียง เดียงสา อารมณ์ตรม
เกิดมาบิน ผินได้ โดยไร้ปีก
และเปลี่ยวปลีก วิเวกเด่น โดยเข็ญขม
และหายใจ ลอยได้ โดยไร้ลม
โอ้สุขสม จนตรมตาย ได้ทั้งเป็น
ทุกคืนคึก ดึกดื่น เขาหื่นหรรษ์
โลกมีฉัน โดยไม่ มีใครเห็น
นิ่งรุ่มร้อน ซ่อนไว้ ในเยือกเย็น
หมุนโลกเล่น เป็นลูกไก่ ในกำมือ
ฟ้าสร้างสรรค์ ฉันสิ้น ศิลป์ศาสตร์เศียร
เป็นนักเขียน เวียนไหว้ สิงลายสือ
โศกเกษม เกษียนได้ แม้ไร้มือ
นักเขียนคือ นักลิขิต บ่บิดเบือน
มีวิญญาณ แปลกแยก และแผกทิศ
มีชีวิต ที่ไม่ มีใครเหมือน
จักสร้างสิ่ง ยิ่งใหญ่ ให้ย้ำเตือน
ว่าโลกเลื่อน เคลื่อนได้ โดยไร้ 'เธอ'
21 พฤษภาคม 2549 22:07 น.
กระวีกำภู
ข้าวหนึ่งคำ เคี้ยวกิน จนสิ้นหวาน
ไปกี่จาน ท่านชิม จนอิ่มหนำ
หากไม่อิ่ม ลิ้มได้ อีกหลายคำ
ช่างน่าขำ มิลำบาก หรือยากเย็น
ผิดกับตอน ก่อนท่าน ได้หวานปาก
ความลำบาก ท่านไซร้ คงไม่เห็น
กว่าจะถึง หนึ่งคำ มันลำเค็ญ
กว่าจะเป็น หนึ่งเม็ด เข็ดจนตาย
มาร่วมมอง ท้องทุ่ง กันเถิดหนา
เห็นชาวนา ท่านไซร้ ต้องใจหาย
เหนื่อยจริงจริง วิ่งร่อน ไปต้อนควาย
จับหัวท้าย คันไถนา มาเทียบเทียม
ออกดำนา ถึงหน้าดำ ต้องทำได้
ประเดี๋ยวไพล่ ไปเอาเพลา เอาจอบเสียม
ดำให้สิ้น ดินที่เหลือ เพื่อตระเตรียม
ปลูกกล้าเยี่ยม เปี่ยมคุณค่า อาหารดี
พอกล้าเรือง เหลืองเด่น ไม่เป็นเขียว
ก็เอาเคียว มาเกี่ยวข้าว เข้าโรงสี
กลายเป็นข้าว คำนั้น อันเข้าที
ดูเข้าซี กี่ขั้นตอน ก่อนท่านกิน
เพราะฉะนั้น ท่านจะกิน กินให้หมด
เดี๋ยวให้อด เสียให้หนัก ให้ชักดิ้น
คิดประจำ ก่อนคำหนึ่ง จะถึงลิ้น
ลิ้มให้สิ้น กลิ่นโคลน เป็นผลบุญ