19 เมษายน 2554 18:30 น.
กระบี่ใบไม้
พลิ้วลมพรายสายลมหนาวเจ้าพราวพัด
เหมยสะบัดหิมะต้องกิ่งทองฝัน
สาวเจ้าเอยยืนเดียวดายใต้แสงจันทร์
ใครคนนั้นห่างหายไปไม่หวนมา
สันกำแพงหมื่นลี้ที่ก่อสร้าง
ขีดขั้นกลางแบ่งหัวใจให้ขมปร่า
วันแต่งเราหนึ่งเดียวกันกับวันลา
รินจอกเหล้าเคล้าน้ำตาส่งเธอไป
ฉันรอเธออยู่เนิ่นนานผ่านเช้าค่ำ
ยังจดจำเหมยต้นนี้ที่โตใหญ่
ใหญ่กว่าที่ก่อนเธอเดินถึงถิ่นไกล
ฉันยังทอผ้าผืนใหม่ไว้รอเธอ
............................................
ฉันเดินฝ่าหนาวสะท้านกันดารมาก
สายลมกรากแทบขาดใจ...ไข้เสมอ
ไม่อยากให้เธอหนาวสั่นอย่างฉันเจอ
มองแสงจันทร์ฝันละเมอคล้ายเธอมา
ถึงกำแพงหมื่นลี้ที่เธออยู่
คนนับหมื่นไถ่ถามดูไม่รู้ว่า
เธอนั้นอยู่แห่งหนใดไกลสายตา
ต่อให้เร้นถึงขอบฟ้าตั้งหน้าคอย
แว่วคำบอกข่าวออกมาดังฟ้าฟาด
ความตายเธอคล้ายมีดบาดใจดวงน้อย
ริมกำแพงเมืองด้านนั้นฝันหลุดลอย
หินถล่มถมใจคอยซากซบดิน
ฉันร้องไห้หลั่งน้ำตาเป็นสายเลือด
หยดน้ำตาลงแห้งเหือดกับซากหิน
โชคชะตาแห่งฟ้าไยไม่ยลยิน
ไหลหยดเลือดนี้หลั่งรินชะตากรรม
............................................
บ้างความตายของบางคนดั่งขนนก
บ้างบางคนดังหินตกฝังถิ่นถ้ำ
ตายของหญิงสาวนางหนึ่งสร้างทรงจำ
ฟ้าผ่าเปรี้ยงเหวี่ยงหินดำสะทกสะเทือน
เหมยยังออกดอกเย้ยหนาวถึงคราวนี้
ใต้กำแพงนับหมื่นลี้กั้นแดนเถื่อน
ฝังตำนานหยาดน้ำตาก่อนพร่าเลือน
เหมยเจ้าเอยรับแสงเดือน...ก่อนร่วงโรย
ความตายของ นางเมิ่งเจียงหนี่ว์ เพื่อบูชาความรักให้กับ ฟ่านสี่เหลียง สามีนางผู้ถูกเกณฑ์มาสร้างกำแพงหมื่นลี้(กำแพงเมืองจีน)เรื่องนี้ ถูกบอกเล่าสืบต่อมาทุกยุคทุกสมัย กลายเป็นหนึ่งในสี่ของนิยายรักอมตะอันล้ำค่าของจีน เคียงคู่กับ ม่านประเพณี(จู้อิงไถ่กับเหลียงซานป๋อ) ตำนานรักนางพญางูขาว และชายเลี้ยงวัวกับหญิงทอผ้า และจะคงถูกเล่าขานต่อไปอีกนานเท่านาน
15 เมษายน 2554 08:35 น.
กระบี่ใบไม้
การรู้แจ้งเปรียบเหมือนจันทร์บนผิวน้ำ
น้ำไม่ถูกคุกคาม,จันทร์ไม่ถูกสายน้ำไหล
...กลางค่ำคืน...สาดแสงจันทร์...อันอำไพ...
สะท้อนผิวน้ำกว้างใหญ่เพียงนิ้วเดียว
...จันทร์แขวน...ที่แผ่นฟ้า...
ปรากฏอยู่บนยอดหญ้าลู่ใบเขียว
สะท้อนแสงแห่งจันทราได้กลมเกลียว
แค่น้ำค้างเพียงหยดเดียว...ก็ใหญ่พอ
ดัดแปลงจากบทกวีของ เอเฮ โดเก็น (ผู้วางรากฐานแห่ง โซโตเซ็น ในญี่ปุ่น)
15 เมษายน 2554 08:24 น.
กระบี่ใบไม้
กลางค่ำคืนที่เยียบเย็นหลีกเร้นหนาว
เกล็ดหิมะพร่างพราวจากท้องฟ้า
ข้างกองไฟ,คนและดาบ,ไหสุรา
มีสายลมและท้องฟ้าเป็นเพื่อนเมา
เป็นจอมยุทธ์ยิ่งใหญ่ในใต้หล้า
สิ่งที่ตอบแทนข้ามาคือความเหงา
เผาปลายดาบจุ่มสุราอุ่นร้อนเตา
ใต้หล้านี้ขอมีเหล้าเป็นเพื่อนใจ
ดาบเล่มเดียวเคยใช้สร้างทางโลหิต
มาวันนี้ข้าพินิจมองมันใหม่
มองดาบที่เคยไร้ค่าฝ่าควันไฟ
ยามเผาทิ้งดูยิ่งใหญ่...แลงดงาม
11 เมษายน 2554 16:02 น.
กระบี่ใบไม้
เชิญท่านดื่มสุราใสให้หมดจอก
เพราะเมื่อออกจากด่านไปจะไร้สหาย
เชิญท่านดื่มสุราใสให้เมามาย
ที่แห่งนี้ไร้ผู้ขายสหายมิตร
จิบสุราแกล้มเพ็ญจันทร์ร้อยพันจอก
เหล้ากระฉอกหากหัวใจไร้จริต
คืนวันผ่านหมุนเวียนลมเปลี่ยนทิศ
ปล่อยชีวิตที่ห้าวหาญเวียนผ่านไป
กุมกระบี่หลั่งเลือดลมร้อยคมดาบ
มิตรภาพแลน้ำตาไหลบ่าใส
วางกระบี่ที่-คมเหลือเพื่อผู้ใด?-
ใช้กระบี่แห่งหัวใจ...สร้างปัญญา
11 เมษายน 2554 15:43 น.
กระบี่ใบไม้
ชายตาบอดคนหนึ่งออกเดินทาง
ไปเยี่ยมเพื่อนบ้านอยู่ห่างที่ปลายถนน
กลางค่ำคืนไร้แสงจันทร์อันมืดมน
บอกกับเพื่อนฉันขอตน...ต้องจากลา
เพื่อนบอกควรเอาโคมไฟติดไปด้วย
...ตาฉันป่วยถึงถือไปก็ไร้ค่า...
ที่ให้ท่านถือโคมไฟติดมือมา
ไม่ใช่เหตุอันใดหนาป้องกันตัว
แม้นท่านอาจไม่ต้องการแสงไฟนี้
เพื่อส่องทางหว่างวิถีที่มืดสลัว
แต่ในท่ามกลางความมืดที่หมองมัว
น่าหวั่นกลัวผู้มาชนบนหนทาง
ชายตาบอดดุ่มเดินไปในท้องถนน
กุมโคมไฟไว้มั่นจนทุกก้าวย่าง
เสียงดังโครมก่อนล้มกลิ้งร้องครวญคราง
ฉันมีไฟไม่เห็นบ้างเดินมาชน!!!
ผู้เดินชนว่ามีไฟไหนวานบอก
ท่านกระแทกฉันจนออกที่ริมถนน
โคมที่ท่านถือมั่นใจ,ไร้กังวล
ดับเพลิงไฟไร้โภคผล...ไปนานแล้ว