31 มกราคม 2553 23:34 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
ในวัยเด็กวันฝนตกของฉันสวยงาม สดใสร่าเริง ช่างเป็นธรรมชาติมอบให้เหมือนความฝัน แต่ตอนนี้ฉันเริ่มมองเห็นเด็กหลายคนในวันฝนตกคือวันที่ชีวิตเขาอาจหม่นมัว
ในยามเย็นวันหนึ่งฝนตกโหมกระหน่ำผู้คนอัดเบียดเสียดกันหนาแน่นใต้ป้ายหลังคารอรถเมล์ ฉันเบียดตัวอยู่ในนั้นเป็นเวลานานสองนาน รถมากมายหลายสีสันวิ่งกันมากมายบนท้องถนน มีเด็กผู้ชายแทรกตัวเข้ามาภายใต้ป้ายรถเมล์ที่ฉันยืนอยู่ เขาตัวเล็กผ่ายผอมมอมแมม เสื้อผ้าเก่าๆที่สวมใส่เปียกโชก มีถุงพลาสติกครอบหัวเอาไว้ เด็กชายคนนั้นนั่งลงโคนเสา เริ่มมีน้ำตาไหลรินแข่งกับสายฝนพร้อมเสียงสะอื้นเบาร้องคลอเคลียแข่งกับสายฝนแล้วผล็อยหลับไปในที่สุด
ฝนตกทุกครั้งฉันคิดถึงวัยเด็กผ่านเข้ามาในความทรงจำเสมอฉันมักแอบแม่ไปเล่นน้ำฝนข้างนอก ทั้งที่รู้ว่าโดนดุแน่แต่นั่นแหละอย่างว่าเด็กยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ ฉันเป็นน้องสาวคนเล็กพี่ชายทุกคนย่อมตามใจ พวกเราพี่น้องมักชวนกันวิ่งฝ่าสายฝนใครเปียกน้อยที่สุดจะเป็นผู้ชนะแน่นอนฉันเป็นผู้ชนะทุกครั้งจะด้วยไม่ว่าเหตุผลใดก็ตาม
ถ้าฝนเริ่มซาเม็ด เราพี่น้องจะเขย่งตัวเด็ดใบไม้แล้ววิ่งไปในแอ่งน้ำใหญ่
ที่มีน้ำขังมากพอให้เรือใบไม้ของเราเล่นได้ เรือของฉันสวยกว่าใครเพราะชบาสีอมพูอมแดงที่นำมาประดับเรือ เรือใบไม้ของเราจะชนกันโคลงเคลง พร้อมเสียงหัวเราะของเราพี่น้องเป็นระยะและฉันจะนอนหลับฝันดีในคืนฝนตกทุกครั้ง
ฉันเหลียวมองเด็กชายคนนั้น ฟ้าร้องดังเปรี้ยง เขาสะดุ้งตื่น สองมือกอดกระชอบร่างกายหนาวสั่น ทำให้ฉันคิดถึงวันฝนตกกับความทรงจำของฉันอีกด้านช่างเหมือนเด็กชายคนนี้ช่างเป็นภาพซ้อนทับมาในมโนภาพและความรู้สึกเสียงฝนตก ฟ้าร้องดังเปรี้ยงมีเสียงฟ้าผ่าตามมา ภาพตรงหน้าคือชายคนที่ฉันรักนอนสิ้นลมท่ามกลางสายฝน ร่างกายฉันหนาวสั่นเหมือนเด็กชายตอนนี้เพียงแต่ว่าใจฉันแตกสลาย หยาดน้ำตารินไหลเป็นทางพร้อมสายฝน เสียงสะอื้น
ของฉันแข่งกับเสียงฟ้าร้อง
ฉันเริ่มคิด ความทรงจำของเด็กๆเกี่ยวกับฝนเป็นอย่างไรกัน บางคนอาจมี
บ้าน มีพ่อแม่รออยู่ บางคนอาจกำพร้า บางคนอาจเร่ร่อน ไม่มีใครสามรถให้คำตอบฉันได้
เหมือนชีวิตของเด็กชายที่ฉันมองดูด้วยความเวทนา เหมือนกับคนอีกหลายคนที่ได้แต่มองดูโดยไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรเขาได้
หลังฝนตกชโลมโลกความทรงจำหลังม่านฝนคงมีทั้งเรื่องที่น่าจดจำแสนหวานและความเจ็บปวดจนอยากจะลืมเลือน
31 มกราคม 2553 20:52 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
เช้าวันนี้เจ้าเด็กชายวัยน่ารัก ช่างคุยช่างพูด จะเป็นแขกประจำแทบทุกเสาร์อาทิตย์ เหมือนเพื่อนเราลืมว่าตัวเองมีลูก หรืออาจคิดว่าเป็นลูกเราเองตื่นขึ้นมามาด้วยความสดใส ไม่มีวี่แววงอแงที่ร้องหาแม่หลงเหลือแต่น้อย มองออกไปนอกบ้าน เห็นท้องมืดครึม ผิดปกติ จึงด้วยด้วยความอยากรู้
คุณครูกระต่ายฮับ คับ ฝนจะตกหรือคับ ทำไมมืดจัง
ไม่ใช่หรอกค่ะลูก หมอกมันลงหนา อากาศมันหนาว อธิบายเพื่อให้เจ้าตัวน้อยคลายความสงสัย
คุณครูกระต่ายเคยบอกนู๊ ไม่ให้พูดใครหรือเรียกอะไรว่ามันไงฮับ เพราะว่า มัน เพราะว่า เป็นคำไม่สุภาพ นู๊ จำได้
นู๊ เคยพูดบอก คุณครู กระต่าย ว่า บอลลูน มันด่า นู๊ คุณครู กระต่าย ยังไม่ให้นู๊ เรียกบอลลูน ว่า มัน คุณครูกระต่าย บอกว่า หมอกมันลงหนาป๊อพูดไม่สุภาพเลยฮับ
ว๊า อย่างงัยจะพูด หมอกคุณหนาได้ป่าว คะลูก
อย่างก็เรียกว่า คุณเทศสิคับ
คุณเทศ คืออะไรคะ
ก็มันเทศ งัยคับ คุณครูกระต่าย
ต่อไปนี้นู๊ต้องเรียก คุณเทศ คุณลูกชิ้น คุณแกว ถูกหรือป่าวครับ
ครูกระต่าย....งงงงงงอีกแล้วสิ
หว๊า..ทำหน้าอย่างนี้อีกแหละ
????????????????????????????????????????????????????????????????
29 มกราคม 2553 13:09 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
สมัยเด็กๆตามพ่อเข้าวัด ไปสถานที่ศักดิ์สิทธิ์บ่อยครั้งชอบองค์เจ้าแม่กวนอิมและพระพิฆเนศมาก
แต่ตอนนั้นไม่เข้าใจ ว่า สิ่งนี้คืออะไร รู้แต่ว่าชอบ เหมือนคุ้นเคย และรู้สึก อบอุ่น เย็นสบายมีความสุข เมื่อได้มององค์ท่านทุกครั้ง แต่บางทีก็ซุกซนในอารมณ์
พอเติบโต เริ่มทำงานก็บูชาท่านมาบูชาที่หิ้งพระที่บ้าน สวดบูชาท่านทุกวันพระ หน้าจอโน๊ตบุ๊คตัวเองก็ป็นรูปพระพิฆเนศ ทุกสถานที่ๆที่ไปหรือไปนั่งทำงานจะมีรูปพระพิฆเนศ ในที่นั้นเสมอ
ไปอินเดีย ก็เหมือนคนลองของอยากรู้ นั่งปฎิบัติธรรมใต้ต้นโพธิ์ในพุทธคยา ก็อธิษฐานจิตว่า ถ้าท่านศักดิ์สิทธิ์จริงขอให้มองเห็นท่าน และขอให้ใบโพธิ์ตกลงมาที่ตัก ไม่ต้องไปเดินวนคอยเก็บที่หล่นรอบๆ สิ้นคำอนิษฐาน ใบโพธิ์ปลิวตกลงมาที่บนมือ พอลืมตา เห็นรูปหรือนิมิตเองไม่ทราบได้รูปก้อนเมฆเป็นพระพิฆเนศ ลอยอยู่เหนือต้นโพธิ์
และอีกสถานที่หนึ่งที่อยากไปคือแม่น้ำเนรัญชรา
สิ่งสำคัญที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้เลยคือ แม่น้ำเนรัญชรา แม่น้ำเนรัญชรา ชาวบ้านแถบนั้นเรียกว่า "ลิลาจัน" มาจากคำสันสกฤตว่า "ไนยรัญจนะ" แปลว่า แม่น้ำที่มีสีใสสะอาด แต่จริงแล้วเนรัญชรามีแต่ทรายเต็มไปหมด ไม่มีน้ำสักหยดเดียว ก็อนิษฐานอีกว่า อยากเห็นแม่น้ำเนรัญชราที่เต็มฝั่ง เพราะกลางคืนฝนตกทั้งคืน
พอรุ่งเช้าไปวัดเนรัญชราววาส ตะลึงกับภาพที่เห็น
เจอกับพระที่วัดเนรัญชราวาส ท่านก็ใจดีมาทัก โยมโชคดีที่ได้เห็นแม่น้ำเนรัญชรา หน้าหนาว ภาพแบบนี้ไม่เห็นมา หลายปีแล้ว ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกตามสบายนะโยม
ปฎิบัติธรรมบูชาองค์พระพิฆเนศ มาหลายปีมีสิ่งดีเริ่มเข้ามาในชีวิต
ในส่วนที่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลมาสามปี จนตัวเองต้องยอมรับผิดเพราะ หลักฐานว่าด้วยเอกสาร แต่สิ่งสำคัญเราต้องไม่ทำผิด และทำแต่ความดี ก็บูชาพระพิฆเนศ และสวดมนตร์ขอพรเจ้าแม่กวนอิมและขอพรพระพิฆเนศ ให้คุมครอง ขึ้นศาลมาสามปีไม่เคยมีรูปท่านที่บัลลังค์ไหน แต่วันที่จะถูกตัดสินคำคุกหรือรอลงอาญา ปรากฏว่า มีรูปท่านตั้งอยู่หน้าบัลลังค์สอง
อยู่ดีๆคนที่ทำผิดและโยนความผิดให้เรา กลับเดินทางมาให้การเอง และยอมรับผิดเอง
แต่อะไรไม่สำคัญเท่า ความดี ความถูกต้อง การให้อภัย คำพูดจาที่ไม่ว่าร้ายใคร ในสิ่งที่เราปฎิบัติมาตลอด กลับมาคุ้มครองเราเอง ศาลตัดสินว่าทำผิดโดยไม่เจตนา และรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ให้จำคุกหนึ่งปีหกเดือน รอลงอาญาสองปี ให้สิ้นสุดทั้งคดีเพ่งและอาญา
สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ความดีคุ้มครองได้จริง อาจจะช้าและต้องรอคอยแต่คุ้มค่า ทำให้เราได้ทำอย่างที่เราอยากทำ อย่าไปยึดติด กับบุคคล และทรัพย์สินทร์ ถ้าสิ่งนั้นนำความทุกข์มาให้เรา พอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ พอเพียงสำหรับการใช้ชีวิต ยึดมั่นในความดี
การสวดมนต์ขอพรจากทวยเทพ
หากจะให้ได้ผลดีตามที่ปรารถนา ให้หมั่นทำความดีประกอบด้วยเสมอ
การทำบุญ ทำทาน เอื้อเฟื้อต่อมนุษย์และสรรพสัตว์
ย่อมทำให้คำขอผ่านการพิจารณาจากองค์เทพได้รวดเร็วขึ้น
อยากได้องค์ท่านมาให้ห้อยคอสวมไว้ มีเพื่อนท่านหนึ่งว่าจะส่งมาให้ รออยู่ตั้งแต่ปีใหม่จนทุกวันนนี้ มั่นใจ ว่าต้องได้สักวัน
"ผู้ใดต้องการความสำเร็จ ให้บูชาพระพิฆเณศ...
...ผู้ใดต้องการพ้นจากความขัดข้องทั้งปวง ให้บูชาพระพิฆเณศ"
(วาทะแห่งพระศิวะมหาเทพ)
ขออำนาจแห่งพระพิฆเนศวร
โปรดดลบันดาลให้ท่านทั้งหลาย
ล้วนประสบแต่ความสำเร็จในทุกๆประการด้วยเทอญ
29 มกราคม 2553 09:38 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
ศึกษาต่อที่ประเทศอินเดีย
*********************
นับแต่อดีตกาลนานนับพันปีที่แล้ว ประเทศอินเดียเคยเป็นศูนย์กลางสำหรับการเรียนรู้ ซึ่งนักปราชญ์ในสมัยนั้นจะใช้วิธีถ่ายทอดความรู้ต่อกันโดยผ่านทางคัมภีร์ที่มีอยู่หลากหลาย อาทิเช่น ปรัชญา, ศาสนา, การรักษาโรค, วรรณกรรม, ละครและศิลปะ, โหราศาสตร์, คณิตศาสตร์และสังคมวิทยา งานเหล่านี้ก็ถูกสอนและถูกเขียนขึ้นภายใต้อิทธิพลของพระพุทธศาสนา การศึกษาและค้นคว้าเริ่มขยายออกไปอย่างกว้างขว้างโดยเฉพาะแก่ผู้สนใจค้นคว้า และสถาบันที่มีมาตรฐานและมีชื่อเสียงก็ได้เกิดจากสถานที่อันนักค้นคว้าในสมัยนั้นเองพำนักอยู่ (ในสมัยนั้นมีแต่วัดและสถานทีอันเกี่ยวข้องกับศาสนา) จะเห็นได้จากมหาวิทยาลัยแห่งแรกของโลกก็คือมหาวิทยาลัยนาลันทา และวิกรมศิลา แม้กระทั่งตักกสิลา (ปัจจุบันอยู่ในปากีสถาน) ก็เป็นสำนักที่เกิดขึ้นในสมัยนั้น พูดถึงนาลันทามหาวิทยาลัย ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงพุทธศักราชที่ 5 ถึง 13 ตามบันทึกของพระถังซัมจั๋ง (ตามหลักฐานที่ค้นพบ กล่าวได้ว่าท่านมีตัวตนจริง ๆ และท่านเคยไปเรียนที่นั่น เมื่อประมาณ พ.ศ 700) ท่านเล่าว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้มีคณาจารย์และนักเรียนนับหมื่น ๆ และยังมีนักศึกษาจากชาติต่าง ๆ เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น ศรีลังกา จีน และชาติอื่น ๆ ก็มีเป็นจำนวนมาก
ล่วงเลยมาถึงศตวรรษที่ 11 ชาวมุสลิมเริ่มมีบทบาทอย่างมากโดยพากันก่อสร้างโรงเรียนประถมและมัธยมศึกษาเรียกว่า "Madrassahs" หรือวิทยาลัย ในขณะเดียวกันนั้นเองชาวมุสลิมยังเริ่มสร้างมหาวิทยาลัย เช่น ที่เมืองเดลี (ปัจจุบันยังเหลืออาคารหลงเหลือให้เห็นเป็นจำนวนมาก) ลัคเนาและ อัลละหะบัด และพากันใช้ภาษาอาหรับเป็นส่วนกลางในการสอน ระหว่างระยะเวลายุคกลางนี้เอง ความเปลี่ยนแปลงเริ่มเกิดขึ้น โดยเกิดการผสมผสานกันระหว่างศิลปวัฒนธรรมอินเดียและศิลปวัฒนธรรมอิสลามในเกือบทุก ๆ เรื่องของสายความรู้อาทิเช่น เทววิทยาศาสนา, ปรัชญา, วิจิตรศิลป์, สถาปัตยกรรม, คณิตศาสตร์, การแพทย์และดาราศาสตร์
สถาบันการศึกษาแบบตะวันตก (สมัยใหม่) เริ่มมีขึ้นพร้อมกับการเข้ามาของชาวอังกฤษ โดยการนำเข้ามาพร้อมกับการเผยแพร่ของเหล่ามิชชันนารี ในปี 1817 ก่อตั้งวิทยาลัยชาวฮินดูในกรุงกัลกัตตา ปี 1834 ก่อตั้งสถาบัน Elphinstone ในเมืองท่าของอินเดีย (บอมเบย์) ปี 1857 ก่อตั้งมหาวิทยาลัยขึ้น 3 แห่งที่กรุงกัลกัตตา, Madras และ Bombay
ตั้งแต่นั้นมา การศึกษาทางด้านตะวันตกก็พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับการเกิดขึ้นของมหาวิทยาลัยเป็นจำนวนมากถึง 291 แห่ง และสถาบันต่าง ๆ นับพันก็เกิดขึ้นและขึ้นตรงต่อมหาวิทยาลัยเหล่านี้ วิทยาลัยวิศวกรรม 428 แห่ง และสถาบันเกี่ยวกับเทคโนโลยีมากกว่า 100 แห่ง วิทยาลัยการแพทย์ และสถาบันที่เกี่ยวกับความชำนาญการจำนวนมากก็เกิดขึ้น สถาบันเหล่านี้ช่วยให้ประชาชนและนักเรียนประสบความสำเร็จ จนเป็นที่ดึงดูดความสนใจของผู้ใคร่ศึกษาจากนานาชาติ
ในปัจจุบันนี้ มหาวิทยาลัยในอินเดียและสถาบันการศึกษาระดับสูง เริ่มเบนความสนใจไปในเรื่องของวิทยาศาสตร์ ทั้งวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ วิชาฟิสิกส์ประยุกต์และวิชาเคมี คณิตศาสตร์ และในด้านเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยและสถาบันชั้นสูงกำลังทำหน้าที่ที่จะเปลี่ยนรูปประเทศให้ทันสมัย โดยมุ่งให้เป็นรัฐอุตสาหกรรม หรือรัฐที่ก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี่
ระบบการเรียน
ในประเทศอินเดีย ระบบการศึกษาชั้นสูงของมหาวิทยาลัยและสถาบันที่ศึกษาเจาะจงเฉพาะด้านเป็นศูนย์กลางสำหรับการเรียนรู้ในระดับสูง การศึกษาและหลักการของสถาบันเหล่านี้ครอบคลุมไปถึงเนื้อหาของวิศวกรรม-คอมพิวเตอร์-การค้นคว้าอวกาศ และก็มีมหาวิทยาลัยเป็นจำนวนมากที่พยายามจะสร้างโครงข่ายและรับสมาชิกที่เป็นสถาบันใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันให้เข้ามาอยู่ในสังกัด โดยทั่วไปวิทยาลัยที่เกิดขึ้นใหม่ๆ และสังกัดอยู่กับมหาวิทยาลัยใหญ่ ๆ นั้นจะนิยมสอนวิชาในระดับปริญญาตรีซึ่งจะเป็นพื้นฐานนำไปสู่การศึกษาระดับที่สูงกว่าระดับปริญญาตรีนั่นเอง แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีบางวิทยาลัยอีกชนิดหนึ่งที่เปิดสอนในทุกระดับชั้นซึ่งมหาวิทยาลัยเหล่านี้จะไม่มีวิทยาลัยที่ขึ้นต่อตัวเอง
มหาวิทยาลัยและสถาบันอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งเปิดสอนวิชาชีพและวิชาเทคนิคต่างๆ ซึ่งเปิดสอนเช่นเดียวกับสถาบันที่กล่าวมาข้างต้น เช่น IIT AIIMS IFRI IIM เป็นต้น สถาบันเหล่านี้เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงมากทั้งในอินเดียและเอเชีย ลักษณะเฉพาะของการศึกษาที่อินเดีย คือการเปลี่ยนแปลงได้ยืดหยุ่นง่ายแต่มีคุณภาพ และคุณภาพของการศึกษาชั้นสูงนี้เองได้ดึงดูดนักเรียนระหว่างประเทศมาที่มหาวิทยาลัยในอินเดีย
หลักสูตรและปริญญา
1.หลักสูตรระดับปริญญาตรี
โดยทั่วไป จะเรียนกัน 3 ปี หลังจากนั้น มหาวิทยาลัยจะมอบปริญญาให้ ซึ่งมีหลายสาขา อาทิเช่น สายศิลปะ วิทยาศาสตร์ พาณิชย์ อื่น ๆ อย่างไรก็ตาม หลักสูตรระดับปริญญาตรีที่เป็นสาขาเกี่ยวกับความชำนาญและเชี่ยวชาญ เช่น วิศวกรรม แพทย์ศาสตร์ ทันตกรรมและเภสัชศาสตร์ เหล่านี้จะต้องศึกษากันถึง 4 ปี ถึง 5 ปีครึ่ง
2.หลักสูตรปริญญาโท
วิชาในสายศิลปะ,วิทยาศาสตร์และแพทย์ศาสตร์นั้นจะเรียนกัน 2 ปี ก็จะถือว่าจบปริญญาโท ในบางสาขา เช่น ในด้านการศึกษา นักศึกษาที่จบมาจากสาขาอื่นๆนี้ สามารถจะศึกษาต่อได้ในสาขานี้(โดยปกติต้องเรียนต่อสาขาที่จบมา) บางมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาบางแห่งจะเปิดสอนหลักสูตรประกาศนียบัตรและหลักสูตรระยะสั้น ในสาขาต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยี่ วิศวกรรม แม้กระทั่งคอมพิวเตอร์ก็ตาม แต่หลักสูตรจะขึ้นอยู่กับการดำเนินการแต่ละมหาวิทยาลัยที่จะกำหนดระยะเวลาการศึกษา เช่น 3 หรือ 6 เดือน
3.หลักสูตรปริญญาเอก
โดยปกติจะเวลาเรียน3ถึง 5 ปี การศึกษาในระดับปริญญาเอกนี้ไม่ต้องเข้าชั้นเรียน มีบางมหาวิทยาลัยต้องเรียน M. Phill เช่น มหาวิทยาลัยเดลี เพื่อเป็นการเตรียมเขียนวิทยานิพนธ์
การเขียนวิทยานิพนธ์นั้นจำเป็นต้องไปพบที่อาจารย์ที่ปรึกษา หรือต้องไปเซ็นซื่อที่คณะ หรืออาจจะทำการตกลงกับอาจารย์ ว่าขอกลับมาเขียนงานที่เมืองไทยก็ได้
สถาบันระดับมหาวิทยาลัย
ในปัจจุบัน ประเทศอินเดียมีสถาบันระดับมหาวิทยาลัยจำนวน 291 แห่ง (เป็นมหาวิทยาลัยเล็ก ๆ เปิดสอนเป็นบางคณะจำนวน 70 แห่ง) ในจำนวนนี้ 17 แห่งเป็นมหาวิทยาลัยรัฐอยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงทรัพยากรณ์มนุษย์ (Ministry of Human Resource Department) 162 แห่งเป็นมหาวิทยาลัยท้องถิ่น (รวมทั้งสถาบันศึกษาเฉพาะด้าน 34 แห่ง) และอื่น ๆ เป็นสถาบันอาชีวศึกษาและเทคนิค มหาวิทยาลัยที่เกี่ยวกับเกษตรกรรม (รวมทั้งการป่าไม้, โรงรีดนม, การประมง, และสัตวแพทย์) 40 แห่ง เกี่ยวกับแพทยศาสตร์ 18 แห่ง เกี่ยวกับวิศวกรรมและเทคโนโลยี 33 แห่ง และเกี่ยวกับ IT (Information Technology) 3 แห่ง และยังมีวิทยาลัย 12,342 แห่ง ซึ่งในจำนวนนี้เป็นวิทยาลัยสำหรับสตรี 1,525 แห่ง
คุณสมบัติผู้สมัคร
สำหรับหลักเกณฑ์ในการรับสมัครเข้าในระดับปริญญาตรีนั้น นักศึกษาต้องจบการศึกษาหรือเทียบเท่า ม.6 หรือต้องเรียนในโรงเรียน 12 ปี และต้องผ่าน 5 วิชาหลัก พร้อมทั้งได้เกรดเฉลี่ย 60-70% แต่สำหรับผู้ต้องการเข้าศึกษาต่อสาขาวิทยาศาสตร์ต้องมีคะแนน 75-80% ขึ้นไป และต้องผ่านสายวิทยาศาสตร์มาเท่า แต่ในสาขาเหล่านี้ก็มีจำกัดสำหรับนักเรียนทั่วไป แต่นักศึกษาต่างชาติก็มีโอกาส โดยอาจจะเข้าเรียนในฐานะโควตาตามหลักเกณฑ์ที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนดก็ได้ การเข้าศึกษาในสายวิทยาศาสตร์และในด้านบริหาร หรือ MBA นักศึกษาต้องได้รับการรับรองเข้าเรียนต่อจากกระทรวงทรัพยากรมนุษย์ของอินเดียก่อน แม้กระทั่งบางแห่งนักศึกษาต้องแสดงใบผลการสอบภาษาอังกฤษด้วย
หลักฐานการศึกษา
เอกสารที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในการยื่นสมัครเรียน มีดังต่อไปนี้
ในระดับปริญญาตรี
1.เอกสารแสดงผลการเรียน(Transcripts)ของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6หรือใบเทียบ ม.6 (สำหรับผู้ที่ใช้วุฒิ ป.ธ.5/6 ขอเทียบวุฒิจากสำนักงานพระศาสนาแห่งชาติ)
2.เอกสารใบส่งตัวนักศึกษา(Migration Certificate)จากสถาบันต้นสังกัด
3.เอกสารหนังสือเดินทาง(Passport)หน้าที่มีรูป พร้อมเอกสารตรวจลงตราสำหรับการศึกษา(Student Visa)อย่างละ1 ชุด
4.รูปถ่ายขนาด2 นิ้ว จำนวน1 โหล
ในระดับปริญญาโท
1.เอกสารแสดงผลการเรียน(Transcripts)ของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6หรือใบเทียบ ม.6(สำหรับผู้ที่ใช้วุฒิ ป.ธ.5/6 ขอเทียบวุฒิจากสำนักพระศาสนาแห่งชาติ)
2.เอกสารแสดงผลการเรียน(Transcripts)และใบปริญญาบัตรระดับปริญญาตรี
3.เอกสารใบส่งตัวนักศึกษา(Migration Certificate)จากสถาบันต้นสังกัด
4.เอกสารหนังสือเดินทาง(Passport)หน้าที่มีรูป พร้อมเอกสารตรวจลงตราสำหรับการศึกษา(Student Visa)อย่างละ1 ชุด
5.รูปถ่ายขนาด2 นิ้ว จำนวน1 โหล
สำหรับผู้จบเปรียญธรรม 9 ประโยค(ป.ธ.9) สามารถสมัครเรียนได้
ในระดับปริญญาเอก
1.เอกสารแสดงผลการเรียน(Transcripts)ของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6หรือใบเทียบ ม.6(สำหรับผู้ที่ใช้วุฒิ ป.ธ.5/6 ขอเทียบวุฒิจากสำนักพระศาสนาแห่งชาติ)
2.เอกสารแสดงผลการเรียน(Transcripts)และใบปริญญาบัตรระดับปริญญาตรี
3. เอกสารใบส่งตัวนักศึกษา(Migration Certificate)จากสถาบันต้นสังกัดและใบปริญญาบัตรปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยต้นสังกัด
4.เอกสารหนังสือเดินทาง(Passport)หน้าที่มีรูป พร้อมเอกสารตรวจลงตราสำหรับการศึกษา(Student Visa)อย่างละ1 ชุด
5.รูปถ่ายขนาด2 นิ้ว จำนวน1 โหล
6.บทคัดย่อหัวข้อวิทยานิพนธ์(Synopsis of Ph.D. Thesis)
หมายเหตุ:
-เอกสารการสมัครเรียนแต่ละมหาวิทยาลัยอาจต้องการแตกต่างกันบ้าง
-สำหรับผู้ขอสมัครเรียนในระดับปริญญาตรีนั้นอายุต้องไม่เกิน 22 ปี
-เอกสารทุกฉบับต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษ
-ในวันเดินทางไปศึกษา ต้องนำเอกสารตัวจริง(Original Document)ทุกฉบับติดตัวไปด้วย
-ในกรณีที่ยังไม่ได้Student Visa ขอให้ทำหนังสือเดินทาง(Passport)ให้เรียบร้อยก่อน หลังจากได้ยื่นใบสมัครแล้วและทางมหาวิทยาลัยรับรองว่า ผู้สมัครมีคุณสมบัติที่จะเรียนตามคณะนั้นๆได้เขาจึงออกหนังสือให้(Eligibility Certificate)เพื่อยื่นขอ Student Visa ที่สถานทูตอินเดีย แต่มีบางมหาวิทยาลัยสามารถออก Student Visaได้เลย ส่วนTourist Visaจะไม่ไดรับการพิจารณาออกAdmissionให้เข้าเรียนโดยเด็ดขาด
-เอกสารแสดงผลการเรียน(Transcripts)ของชั้น ม. 6ที่แปลเป็นภาษาอังกฤษต้องระบุด้วยว่าเป็นเกรด 12 สามารถทำได้ที่กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ
วันเปิด-ปิดภาคการเรียน
การเปิด-ปิดภาคการศึกษาก็มีลักษณะเช่นเดียวกับประเทศไทยโดยจะเริ่มเปิดประมาณต้นเดือน
กรกฎาคม และสิ้นสุดการเรียนช่วงกลางเดือนพฤษภาคม แต่ในระหว่างภาคการศึกษานั้นมีวันหยุดดังนี้
-Autumn Vacation .........1st October to 15th October
-Winter Vacation ....... 24th December to 7th January
-Summer Vacation .........1st May to 15th July
สภาพความเป็นอยู่ของนักเรียนไทย
ชีวิตความเป็นอยู่ของนักเรียนไทยในประเทศอินเดียมีวิถีชีวิตไม่แตกต่างกับนักศึกษาของไทยมากนัก คือเน้นเรื่องการศึกษา และการใช้ชีวิตในวัยเรียน แต่ในเรื่องของวัฒนธรรม และสภาพแวดล้อม ตลอดจนอาหารจะแตกต่างอย่างมาก เช่น คนที่นั่นจะไม่นิยมใส่กระโปรงสั้น จะนิยมทานมังสวิรัติและอื่นๆอีกมากมาย แต่สภาพแวดล้อมตามมหาวิทยาลัย ยังคงความเป็นธรรมชาติ เช่น จะมีสัตว์ชนิดต่าง ๆ อาทิเช่น กระรอก นกเหยี่ยว อยู่ภายในบริเวณของมหาวิทยาลัยเป็นจำนวนมาก ส่วนในเรื่องของอาหาร นักเรียนไทยจะมีทางเลือกอยู่ คือปรุงอาหารด้วยตัวเอง เช่นพักตามบ้านเช่า และรับประทานอาหารเหมือนนักศึกษาอินเดีย เช่นนักศึกษาที่อยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัย ที่พักของนักศึกษาในประเทศอินเดียแบ่งเป็นสามประเภท คือ
1.หอพักของสถานศึกษา โดยส่วนมากทุกมหาวิทยาลัยในอินเดียจะมีหอพักประจำ แยกเป็นหอพักหญิง หอพักชาย แต่ในบางครั้งการสมัครเข้าหอพักจะมีความยากลำบากเพราะมีห้องจำนวนจำกัด เช่น มหาวิทยาลัยเดลี
2.การพักอาศัยกับครอบครัวชาวอินเดียไม่ค่อยได้รับความนิยม แต่การศึกษาในด้านภาษาอังกฤษพิเศษจะนิยมพักกับครอบครัวชาวอินเดีย เพราะประหยัดและปลอดภัยกว่าการพักอยู่โดยลำพังในบ้านเช่าด้วยตนเอง
3.การพักตามบ้านเช่าจะมีทั่วไปตามบริเวณรอบมหาวิทยาลัย ถึงแม้ค่าใช้จ่ายจะมากกว่าการพักหอพัก แต่ก็มีข้อดีคือ มีอิสระในการใช้ชีวิต และมีสภาพที่ดีกว่า
เกณฑ์การเลือกสถาบัน (ข้อแนะนำบางประการ)
การตัดสินใจไปศึกษาต่อต่างประเทศเป็นเรื่องที่สำคัญ ดังนั้นเราจึงควรพิจารณาให้รอบคอบทั้งเรื่องหลักสูตร คุณวุฒิ ระยะเวลาในการเรียน และงบประมาณ ซึ่งในประเทศอินเดียนั้นสถาบันต่าง ๆ ในด้านวิชาการแล้ว ไม่ค่อยจะแตกต่างกันเท่าไร แต่ในด้านสิ่งก่อสร้างอาจจะมีความแตกต่างกันบ้าง สิ่งที่เราควรพิจารณาลำดับต้น ๆ คือจุดประสงค์หลักในด้านอาชีพว่าหลังจากเราได้ตัดสินใจเลือกหลักสูตรที่จะเรียนได้แล้วนั้น หลักสูตรการเรียนควรจะสอดคล้องกับอาชีพในอนาคตของเราหรือไม่ โดยสิ่งที่เราเลือกนั้นควรอยู่บนพื้นฐานของความชอบและรักในสิ่งที่เราได้เรียนมากกว่าการทำตามอย่างคนอื่น เมื่อเราเลือกหลักสูตรได้แล้วควรดูที่คุณวุฒิในการเข้าศึกษาต่อของแต่ละสถาบัน ว่าคุณวุฒิของเราตรงตามกับความต้องการของทางสถาบันหรือไม่ และระยะเวลาของแต่ละหลักสูตรว่าใช้เวลาในการเรียนมากน้อยแค่ไหน เพื่อสามารถนำไปคำนวณงบประมาณ ในการเรียนได้
อีกอย่างคือเมืองที่จะไปเรียนในประเทศอินเดียนั้น มีอากาศที่แตกต่างกัน เพราะเป็นประเทศที่ใหญ่ อากาศจึงแตกต่างกันไป เช่นทางภาคใต้จะมีฝนตกเพราะติดทะเล ทางภาคเหนือเมื่อถึงฤดูหนาวบางแห่งจะมีหิมะตก
การเรียนที่เมืองใหญ่ ๆ ค่าครองชีพก็จะสูงตามเมืองไปด้วย เช่น บอมเบย์ เดลี หรือ ปูเน่ เป็นต้น การเรียนเมืองเล็กๆ ค่าครองชีพจะถูกกว่า เช่น พาราณสี อาครา เป็นต้น
ฉะนั้นการตัดสินใจเลือกสถาบัน ควรจะเลือกให้ดี ตามความเหมาะสมของความเป็นจริงของเรา ทั้งด้านความรู้ ค่าใช้จ่าย และสภาพของเรานั้นเอง..
27 มกราคม 2553 00:29 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
สุภาษิตแขกว่า ไฟไม่เป่าจะไม่ลุก คนไม่ถูกดูถูก จะไม่มีความอดทน เพื่อเป็นการเตรียมตัวก่อนออกเดินทาง ผู้เขียนขอเปิดประตูสู่อินเดียให้ท่านผู้อ่านได้เห็นวิสัยทัศน์อันกว้างไกลว่า
อินเดีย คือแดนดินถิ่นพระเจ้า
อินเดีย มีหลายเผ่าหลายศาสนา
อินเดีย มีแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ชื่อคงคา
อินเดีย แดนภูผาหิมาลัย
อินเดีย เมืองที่สุดของที่สุด
อินเดีย เป็นเมืองพุทธอันยิ่งใหญ่
อินเดีย มีสาวสวยกว่าประเทศใด
อินเดีย แล้งน้ำใจมากขอทาน
อินเดีย เมืองที่สุดของปัญหา
อินเดีย เป็นบ่อเกิดปัญญามหาศาล
อินเดีย เป็นบ่อเกิดศรัทธาทาน
อินเดีย คือสุสานเป็นตำนานอู่อารยธรรม.
อินเดีย เป็นประเทศที่กว้างใหญ่มากประเทศหนึ่งในทวีปเอเชีย อยู่ทางทิศพายัพของประเทศไทย ในสมัยพุทธกาลอินเดียและประเทศเนปาล รวมเป็นประเทศเดียวกัน เรียกว่า ชมพูทวีป ประเทศเนปาลแยกตัว หลังจากกษัตริย์ราชวงศ์สุดท้ายคือราชวงศ์มัลละเริ่มอ่อนแอลงในคริสต์ศตวรรษที่ 15
อินเดีย เป็นประเทศที่คนไทยเรารู้จักคุ้นเคยกันมาตั้งแต่โบราณกาล เพราะเป็นดินแดนก่อกำเนิดแห่งพระพุทธศาสนา ที่เรียกว่า ดินแดนแห่งพุทธภูมิ คือสถานที่กำเนิดเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้า ศาสดาเอกของโลก
เนื่องจากอินเดียเป็นดินแดนก่อกำเนิดพระพุทธศาสนา จึงมีสังเวชนียสถานและสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนาอยู่เป็นจำนวนมาก ที่พุทธศาสนิกชนทั่วโลกเดินทางไปเยี่ยมชมและแสวงบุญ โดยเฉพาะพุทธศาสนิกชนชาวไทย ศรีลังกา พม่า ธิเบต เขมร ลาว เกาหลี ใต้หวัน ญี่ปุ่น จีน เป็นต้นได้เดินทางไปอินเดียมากขึ้นทุกปี นับตั้งแต่ปี 2500 อันเป็นปีที่มีการฉลอง 25พุทธศตวรรษ เป็นต้นมาก และยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากปัจจุบันการเดินทางสะดวกมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เนื่องจากชาวพุทธมีความเชื่อว่า ถ้ามีโอกาสเดินทางไปนมัสการไหว้พระในดินแดนของพระพุทธเจ้าสักครั้งหนึ่งในชีวิต จะถือว่าเป็นผู้มีบุญมาก เมื่อสิ้นชีวิตไปจะห่างไกลจากอบายภูมิ(คือไม่ตกนรกนั่นเอง)
บางท่านเมื่อไปถึงแล้วก็เกิดความประทับใจ โดยเฉพาะที่ไปกลุ่มทัวร์จะมีพระวิทยากรที่มีความชำนาญและรู้เรื่องอินเดียเป็นอย่างดี ได้บรรยายชี้แจ้งถึงเนื้อหาสาระต่างๆเกี่ยวกับพุทธประวัติและเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศอินเดียตลอดการเดินทาง เมื่อไปแล้วเกิดความประทับใจ เกิดความสังเวชและเสื่อมใสในพระพุทธศาสนามากขึ้น จึงมาบอกเล่าและชักชวนญาติมิตรให้เดินทางไปด้วย บางท่านเดินไปนับสิบครั้งชนิดที่ไม่รู้จักเบื่อ ด้วยแรงศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา เพราะเพิ่มความเชื่อมั่นของตนขึ้น เมื่อได้ไปพบเห็นสังเวชนียสถานและพุทธสถานต่างๆ ที่แม้จะเหลือเพียงซากสลักหักพังและเศษอิฐเศษปูนเท่านั้นก็ตาม ทั้งในประเทศอินเดียและเนปาล นอกจากพระพุทธศาสนาแล้วอินเดียยังมีสิ่งต่างๆมากมาย ที่น่าอัศจรรย์ อาถรรพ์ลึกลับชนิดที่ว่าไม่มีที่โลก แต่ท่านสามารถพบเห็นได้ที่ประเทศอินเดียแห่งนี้ ตลอดจนวัฒนธรรมบางอย่างและความเป็นอยู่ของคนที่ประเทศอื่นไม่มี ท่านจะได้พบ ณ ดินแดนแห่งนี้ ท่านจะได้พบสิ่งที่แปลกแต่จริงมากมาย บางสิ่งบางอย่างเมื่อท่านพบเห็นแล้วต้องร้องอุทาน อย่างนี้ก็มีด้วยหรือว่ะ อินเดียมีทั้งของดีและไม่ดีให้ท่านสัมผัสอย่างครบถ้วน
ข้อเสีย ของชาวอินเดียก็คือ ทำอะไรช้าไปหมด ไม่คำนึงถึงค่าของเวลา สกปรก พูดมากเกินความจำเป็น และเป็นคนชอบขอทุกอย่าง จากคนอื่นเหมือนคำโบราณได้กล่าวไว้ว่า
คนแขก เป็นเพื่อนดี เมื่อเขาได้
เมื่อไม่ให้ เขาไม่เห็น เราเป็นเพื่อน
ไร้สัจจะ ไร้น้ำใจ ให้บิดเบือน
แขกเปรียบเหมือน งูพิษ คิดเถิดเรา
การเดินทางในประเทศอินเดียนั้น มีทั้งทางเครื่องบิน ทางรถยนต์และทางรถไฟ โดยเฉพาะรถไฟ ประเทศอินเดียเป็นประเทศมีการเดินทางด้วยรถไฟมากที่สุดในโลกและมีความวุ่นวายที่สุดในโลก จะเดินทางด้วยราคาแพงหรือถูก ทุกคนจะพบสภาพเดียวกันหมดคือ ความสับสนวุ่นวาย แต่การเดินทางด้วยรถยนต์ระยะทางการเดินทางไม่ไกล เพียง200-300กิโลเมตร ถ้าเป็นเมืองไทยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง แต่ที่อินเดียอาจใช้เวลาเดินทางถึง 6-7 ชั่วโมง ท่านอาจถามว่าทำไมหรือ เพราะว่าทางการห้ามขับรถเร็ว ท่านสามารถเห็นได้จากท้ายรถ รถทุกคันจะติดป้ายไว้ว่า ห้ามวิ่งเกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่มีการเคารพกฎหมายจราจรแต่อย่างใด ใครอย่างจะจอดอยากจะเลี้ยว ก็เชิญตามสบาย ตำรวจจราจรไม่เกี่ยว ตำรวจจะยื่นดูเฉยๆ เท่านั้น นอกจากนี้บนท้องถนนยังเต็มไปด้วยเทพเจ้าของชาวฮินดู เทพเจ้าของเขาก็คือ วัว นั่นเอง ท่านจะเดิน จะนอน จะหยุดหากินได้อย่างอิสระ นอกจากนั้นตามท้องถนนจะมีเสียงอึกทึกด้วยเสียงแตร เพราะท้ายรถทุกคันจะมีการเขียนไว้ว่า Horn Pleaseแปลเป็นภาษาไทยว่า โปรดบีบแตร ใครขับรถแล้วไม่บีบแตรถือว่าเสียมารยาท ดังนั้นทำให้ผู้เดินทางต้องทนนั่งทรมานในรถและทนฟังเสียงแตรไปตลอดเส้นทาง ผู้เขียนขอแนะนำว่าขณะที่นั่งรถอยู่นั้น ท่านไม่ควรนอนหลับ(คงไม่หลับไม่ลงเพราะรถจะกระแทกท่านเหมือนกับนั่งเกวียน จนท่านหลับตาไม่ลงตลอดเส้นทาง) มีอะไรให้ท่านดูระหว่างทางอย่างมากมาย
สิ่งหนึ่งที่ท่านจะได้พบเห็นตลอดเวลาของการเดินทางในประเทศอินเดีย คือชาวบ้านในชนบทไม่นิยมทำส้วมไว้ที่ในบ้านหรือนอกบ้าน เวลาจะถ่ายหนักหรือถ่ายเบา ทุกคนจะจับจองสถานที่ได้อย่างเสรี ก็คือปล่อยทุกข์ข้างถนนนั้นแหละ (ควรรู้ไว้ว่าขณะที่กำลังทำธุรกิจนั้นอยู่ข้างถนนนั้น ไม่ได้หันหลังมาที่ถนน เขาหันหน้าสู้กับยวดยานที่กำลังวิ่งอยู่บนท้องถนน) ท่านอาจถามว่าแล้วเขาไม่อายหรือ คำตอบง่ายๆก็คือ หลับตาแล้วไม่เห็นใครเลย บางครั้งจะมีการจับกลุ่มทำภารกิจ จนเป็นที่มาของคำว่า ขี้คุย เพราะว่าคนอินเดียทำเช่นนั้นจริงๆ การที่เขาไม่ทำส้วมก็มีประโยชน์ต่อสัตว์และพืช หลังจากที่มนุษย์ถ่ายทุกข์เสร็จก็จะมีพนักงานสี่ขามาตามเก็บ หมู จะมาคอยกินอาหารอันโอชะของมัน บางหมู่บ้านประชากรหมูมากต้องแย่งชิงอาหาร ดังนั้นเวลาคนไปนั่งถ่ายทุกข์ต้องเตรียมไม้ไว้คอยตีหมูที่จะมาแย่งอาหารจากก้น ดังนั้นผู้เขียนขอแนะนำว่าถ้าไม่จำเป็นก็อย่ารับประทานอาหารที่ทำมาจากเนื้อหมู ตามปั๊มน้ำมันมีส้วมเหมือนกันแต่สกปรกมาก เนื่องจากคนอินเดียเมื่อถ่ายอุจจาระเสร็จแล้วไม่นิยมลาดน้ำ ดังนั้นส้วมสาธารณะจึงมีกลิ่นเหม็นและสกปรกมาก แล้วเรา ถ้าเกิดอยากจะถ่ายทุกข์บ้าง จะทำอย่างไร ก็ต้องใช้วิธีเดียวกับคนอินเดียนั่นแหละ ดังนั้นผู้หญิงควรจะนุ่งผ้าถุงหรือกระโปรงจะดีกว่า เพื่อสะดวกต่อการเก็บดอกไม้