8 ตุลาคม 2552 21:09 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
ผลึกในเงาน้ำตา
ฤดูฝนผ่านพ้นไป ละอองไอความชุ่มชื้นยังเกาะผืนดินเจือจาง กลิ่นหอมอ่อนๆของผืนดินยามหลังฝนโปรยปรายยังล่องลอยอยู่ในความรู้สึกไม่หายไปไหน
ผ่านพ้นฤดูฝน สายลมหนาวเริ่มพัดผ่านมาเยือน สายหมอกเริ่มปกคลุม ล่องลอยอ้อยอิ่ง สายลมเหมือนแส้ที่โบยมากระทบผิวกายบาด กรีดวิญญาณ แสงแดดถูกสายหมอกห่อหุ้มจนเร้นหาย จากภูเขาสูงชัน ทั่วทั้งขุนเขาอ้างว้าง หนาวเหน็บ ใบไม้ร่วงหล่นปลิวตกหล่นบนผืนดิน ยามสายลมสายลมกรรโชกพัดราวพายุที่แสนโหดร้ายไร้ความปรานีต่อสิ่งใดในโลกนี้
หยดน้ำตาที่คลอเคล้าในหน่วยตาทั้งสอง ยังคง เคล้าคลอดวงตาคู่งาม อดกลั้นฝืนไว้ มิให้รินไหล นิ้วมือเรียวบางถูกหยิบยกมาปิดปากสีชมพูอ่อนๆเรื่อๆโดยธรรมชาติที่ปราศจากการแต้มแต่งจากเครื่องสำอางค์ ใดๆ ไหล่ที่ขาวเนียนตัดกับเสื้อสีดำ ที่คว้านคอลึก เผยผิวเนื้อนวล เนียนขาวราวไยไหม ไหวกระเพื่อมโยกไปมาจนตัวโยน ตาม แรงสะอื้นที่กั้น ไว้ในอก ทนกล้ำกลืนให้ หายลงไปในลำคอ อย่างยากเย็น เพื่อไม่อยากให้ใครรับรู้ ไม่อยากแสดงความพ่ายแพ้และอ่อนแอ กับเรื่องราวบาดแผลที่ฝังลึกเเป็นรอยแผลเป็น ในใจ กับเรื่องราว แรงลมมรสุม เข้ามา ในชีวิตให้ ซวนเซ อ่อนล้าทั้งกายและใจ
ด้วยภาระหน้าที่ ที่ต้องรับผิดชอบ ต้องหยิบยื่นสิ่งเลวร้ายที่พบเจอ ซุกซ่อนไว้ในหลืบลึกของก้นบึ้งหัวใจ
การถูกเอารัดเอาเปรียบ การบังคับขู่เข็ญ การถูกทอดทิ้ง ยังคงวนเวียนว่าซาดซัดเข้ามาในชีวิตเหมือนคลื่นทะเลซัดหาฝัง ที่ไม่ได้หายไปยามกระทบชายฝั่ง แต่กลับกระแทกกระทั้นระลอกแล้วระลอกเล่า จน ตัวเอง อยากเร้นหาย และหยุดลมหายใจให้เหลือแต่วิญญาณที่เคว้งคว้าง ว่างเปล่าร่วงหล่น สู่ธุลีดิน
ทุกค่ำคืนในยามราตรีเยือนทักทาย น้ำตาจะเยือนมาทักทายหยอกเหย้า ราวเงาปีศาจที่กัดกร่อน เสียงสะอื้นเหมือนบทเพลงที่คอยกล่อม ค่อยๆแทะเล็มใจดวงเล็กๆที่หมดหวัง ให้บอบช้ำแสนสาหัส ตกสู่หุบเหวที่สูงชันและมืดมิด จนมอง ไม่เห็นทางออก ยามจมดิ่งสู่ห้วงเหวนิทรา ก็ตามคุกคามหลอกหลอนไม่หยุดหย่อน ให้จมปลักสิ่งเลวร้ายที่พบเจอให้เจ็บปวด ทับทวี จนรู้สึก เคว้งคว้าง โดดเดี่ยว อ้างว้าง และ หนาวเหน็บ
ความเข็มแข็งที่เคยก่อเป็นกำแพงที่หนาและแข็งแรงพังทลายไม่เป็นท่า
โลกนี้ช่างโหดร้ายสิ้นดี เรื่องเลวร้ายตามทำลายชีวิตไม่หยุดหย่อน มีแต่น้ำตา น้ำตา และน้ำตา ที่เป็นเพื่อนแท้ ยามสิ้นหวัง
ความเข็มแข็งเลือนหาย ความแพ้พ่ายพัดซ้ำเติม จนต้องหลีกเร้น จากโลกกว้าง สู่บ้านสวน ที่ไร้การติดต่อ ตัดขาดจากโลกภายนอก ความทรนง ความเชื่อมั่นศรัทธาใน ตนเอง หายหมดสิ้น มีแต่ความหวาดกลัว หวาดหวั่น เศร้าซึมจน ไม่อยากพบพูดจากับใคร จมปลักในความมืด มิด กลัวการถูกทำร้าย กลัวการเริ่มต้นชีวิตใหม่ กลัวคน กลัวสังคมที่เคยรู้จัก
อารมณ์แห่งความท้อแท้สิ้นหวัง มาบดบังความเข็มแข็งในตัวตนให้หายหมดสิ้น
ไม่รู้ว่าบาดแผลที่ได้รับมา มากมาย ในมรสุมชีวิต จะเลือนหายไปเมื่อใด
ไม่รู้ว่าน้ำตา เมื่อไรจะหยุดทักทายได้สักวัน
ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะชินชา และยอมรับเรื่องเลวร้าย ปล่อยวางและไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดและเสียใจอีกต่อไป
หวังว่า เพียงหวังว่า ความเป็นตัวตน ในตนเอง จะกล้าออกมาเผชิญหน้าแทนที่ความหวาดกลัว ยืนหยัดสู้อยู่ในโลกแสนโหดร้าย เรียนรู้ที่ใช้สิ่งที่พบเจอมาสร้าง ความ ฮึกเหิมเติมพลังแห่งชีวิต
ให้เงาน้ำตาที่ตกผลึก เป็นบทเรียน สอนที่มีค่า ตั้งอยู่บนความไม่หวาดหวั่น เพื่อสร้างหนทางชีวิต ทลายกำแพง ที่ซุกซ่อนความอ่อนแอ และเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง