9 กุมภาพันธ์ 2551 15:40 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
จริงๆแล้วจุดประสงค์มาอินเดียครั้งนี้ เพียงเพื่อนั่งสมาธิปฎิบัติธรรมเก้าวัน ในส่วนของพระมหาประเสริฐท่านมาทำปริญญาเอก เพื่อเป็นดอกเตอร์ ซึ่งในตอนนี้ท่านได้เป็นสมใจ เป็นความโชคดี โดยบังเอิญหลายอย่างที่เดินทางมาครั้งนี้ ได้เจอเรื่องไม่คาดฝัน ไม่คิดว่าลามะทิเบตลงมาจากเขาเป็นแสนคนเพื่อสวดมนต์ประจำปี ในเดือนมกราคม สวดมนต์กันตั้งแต่เช้าจนค่ำ โชคดีได้มีโอกาสเข้าร่วมพิธีอย่างชิดใกล้ ยามแขกกันฝูงชนมากมายออกไปแต่กลับผลักเราเข้าไปในพิธีอย่างไม่รุ้เนื้อรู้ตัวในเจดีย์พุทธยา หน้าพระพุทธเมตตา เพราะเข้าใจว่าเป็นชาวทิเบตเหมือนกัน
สิ่งสำคัญที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้เลยคือ แม่น้ำเนรัญชรา แม่น้ำเนรัญชรา ชาวบ้านแถบนั้นเรียกว่า "ลิลาจัน" มาจากคำสันสกฤตว่า "ไนยรัญจนะ" แปลว่า แม่น้ำที่มีสีใสสะอาด แต่จริงแล้วเนรัญชรามีแต่ทรายเต็มไปหมด จะเห็นแขกนั่งกันเป็นระยะๆ อดสงสัยไม่ได้ ว่าเขานั่งทำอะไรกันนะ ในแม่น้ำเนรัญชรา อยากจะไปดูใกล้ๆจัง แต่ขวัญใจที่ไปด้วยกระซิบเบาๆๆว่า แขกนั่งขี้ คิดอยู่ในใจ ที่อินเดีย ล้าหลัง ไม่เจริญ และ ยังสกปรก คงจะมาจากความแตกต่าง ในเรื่องชนชั้น วรรณะ วัฒธรรม การนั่งไปคุยไป ขี้ไป ตามข้างทาง หรือกลางทุ่งนา นี่เองคงเป็นสาเหตุ และที่มา ของคำว่า ขี้คุย
แม่น้ำเนรัญชรา การเห็นครั้งแรก ผิดกับสิ่งที่คิดไว้ใน มโนภาพ ฟ้ากับดิน ไม่มีแม่น้ำสักนิด
ขอยืนยันว่าวันแรกที่เห็น แม่น้ำมีแต่ทรายจริงๆ โกรธแสนโกรธ ที่ดอกเตอร์บอกว่าจะพาไปดูน้ำในแม่น้ำเนรัญชรา แต่มีเพียงทรายกับขี้แขก ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เมื่อบ่นกับตัวเองว่า อยากเห็นแม่น้ำเนรัญชรา ดอกเตอร์บอกว่า อย่าล้อเล่น วันหลังจะพามาดูน้ำ ใครจะคิดว่าปาฏิหาริย์จะมีจริง พูดขึ้นกับตัวเอง เหมือนล้อเล่น กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ด้วยความผูกพันธ์และความรักและศรัทธา ในองค์พระพิศเณศ ที่วนเวียนและเหมือนมีพลังลี้ลับ ที่ตัวเองยังสับสนในตัวเอง และไม่สามารถพิสูจน์ได้ ท่ามกลางอุณหภูมิ ไม่ถึง 5 องศา ฝนตกลงมาอย่างหนัก และไม่มีท่าทีว่าจะหยุดตก
ในส่วนของประเทศอินเดีย ไม่รู้เรื่องอะไร ต้องถามดอกเตอร์ฤทธิชัย เพราะท่านอยู่อินเดียมา12 ปี ฝนเมื่อไรจะหยุดตกสักที นี้ก็ตกมาหลายชั่วโมงแล้ว คำตอบที่ได้รับ คือฝนอินเดียตกกันเป็นอาทิตย์ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ฝนตกเกือบ24 ชั่วโมงจึงหยุดตก
ท้องฟ้ายังมื้อครึมในรุ่งขึ้นของอีกวัน ดอกเตอร์เลยพานั่งรถสามล้อไปวัดรัญชราวาส ชื่อคล้ายวัดเนรัญชราราม อันเป็นสถานที่ตั้ง ของมมร.สธ.ศูนย์การศึกษาเพชรบุรี เมื่อรถถึงแม่น้ำเนรัญ ภาพที่เห็นเบื้องหน้า แม่น้ำเนรัญ จริง ๆๆๆ ซึ่งต่างจากวันก่อนอย่างสิ้นเชิง
เจอกับพระที่วัดเนรัญชราวาส ท่านก็ใจดีมาทัก โยมโชคดีที่ได้เห็นแม่น้ำเนรัญชรา หน้าหนาว ภาพแบบนี้ไม่เห็นมา หลายปีแล้ว ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกตามสบายนะโยม
เมื่อถึงวันที่จะไปนั่งปฎิธรรมที่พุทธคยา วันแรก ไม่มีสมาธินั่งปฎิบัติธรรมไม่ได้เลย เพราะเราไม่เคยพอใจ กับสิ่งรอบตัว ไม่ว่าฝุ่นที่คละคลุ้งทั่วไป สภาพขอทานเต็มไปหมด เพื่อเราพ้นจากวัดไทย เดินตามเป็นกิโล แม้กระทั่งเมื่อได้ไปนั่งที่ใต้ต้นโพธิ์ที่เจดีย์พุทธคยา ก็ยังคิดอีกว่า ผู้คนทำไมมากมาย หาความสุขสงบไม่ได้ ผู้คนที่มามาเพื่ออะไรกันหรือเพื่อบอกเพียงว่า ได้มาแล้ว ตกลงวันแรกไม่ได้อะไรกลับมาเลย
แต่เมื่อได้สนทนาธรรมกับพระมหาประเสริฐ ท่านให้ข้อคิดกลับมาว่า เพราะเราไปคิดแทนคนอื่น ว่าไม่มีความสุข อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี ทำไมเราไมคิดมุมกลับว่า สิ่งที่ทุกคนทำ เพราะอยากทำ มีความสุขในสิ่งที่ตัวเองทำ และตัวเองเป็นอยู่ขณะนั้น
พุทธคยา เป็นสถานที่สำคัญของชาวพุทธ มีสิ่งสำคัญที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า คือต้นพระศรีมหาโพธิ์ ขอเล่าประวัติของต้นโพธิ์ ซึ่งปัจจุบันเป็นต้นที่ 4
ต้นโพธิ์ต้นแรก เป็นสหชาติเกิดขึ้นพร้อมกับวันที่พระโพธิสัตว์ประสูติ ตามพุทธประวัติกล่าวว่า สหชาติ มี 7ประการ คือ กาฬุทายีอำมาตย์ , ฉันนะ , อานนท์พุทธอนุชา , พระนางพิมพา , ม้ากัณฑกะ , ขุมทรัพย์ 4 มุมเมือง , ต้นอัสสัตถะพฤกษ์ (ต้นโพธิ์) ต้นโพธิ์นี้จะผุดขึ้นมาเองจากพื้นเป็นปาฏิหาริย์ หรือจะมีคนมาปลูกในวันนั้นพอดีก็สุดจะทราบได้ อย่างไรก็ตามต้นโพธิ์ต้นนี้มีอายุมาจนถึงสมัยพุทธศตวรรษที่ 2 พระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์ชาวพุทธผู้ยิ่งใหญ่ ทรงเคารพรัก ต้นโพธิ์เป็นอย่างยิ่ง จะเสด็จไปนมัสการต้นโพธิ์อยู่ตลอดเช้าเย็น พระเหสีของพระเจ้าอโศกมหาราช คือ พระนางติษยรักษิต ไม่พอพระทัยที่พระเจ้าอโศก เอาใจใส่ต้นโพธิ์มากเกินไป(หึงกระทั่งต้นไม้) จึงได้ให้คนนางสาวใช้นามว่า นครา เอายาพิษเพื่อทำลายต้นโพธิ์ บางแห่งบอกว่าพระนางเอาเงี่ยงกระเบนมีพิษมาทิ่มรากต้นโพธิ์จนต้นโพธิ์ตาย เมื่อพระเจ้าอโศกทรงทราบถึงกับทรงวิสัญญีภาพล้มสลบลง เสียพระทัยเป็นอย่างยิ่งให้คนนำเอาน้ำนมโคมารดต้นโพธิ์ทุกวัน และพระองค์เองก็ทรงคุกเข่าที่ต้นโพธิ์นี้ พร้อมกับตั้งสัตยาธิษฐานขอให้มีหน่องอก ก็เกิดอัศจรรย์มีหน่อโพธิ์งอกขึ้นมา พระองค์ได้นำมาปลูกเป็นต้นที่ 2 อายุของต้นแรกสิริอายุได้ 342 ปี
ต้นโพธิ์ต้นที่ 2 มีอายุยืนมาจนกระทั่ง กษัตริย์ใจทมิฬหินชาตินามว่า ศศางกา ได้มาพบกับต้นพระศรีมหาโพธิ์ ก็ไม่พอพระทัยเนื่องเพราะพระองค์นับถือฮินดู จึงได้ให้คนทำลายต้นพระศรีมหาโพธิ์ และทำลายพระพุทธรูปในวิหารทั้งหมด แต่อำมาตย์ชาวพุทธไม่กล้าทำลายพระพุทธรูป จึงได้ใช้วิธีเอาปูนโบกทับเพื่อปิดไว้เฉยๆ ภายหลังพระเจ้าศศางกาได้รับผลกรรมเกิดแผลพุพองทั่วร่าง และสิ้นพระชนม์อย่างอนาถ รวมอายุต้นโพธิ์ต้นที่ 2 ได้ 871 ปี
ต้นโพธิ์ต้นที่ 3 หลังจากนั้นไม่นานพระเจ้าปูรณวรมา กษัตริย์ชาวพุทธได้มาพบเห็นต้นพระศรีมหาโพธิ์ล้มเช่นนั้นก็เสียพระทัย แต่ให้คนได้ค้นหาหน่อพระศรีมหาโพธิ์ ก็พบหน่อโพธิ์ขึ้นที่ใต้ต้นโพธิ์ จึงให้มีการปลูกขึ้นใหม่และสร้างรั้วล้อมป้องกันไว้อย่างแน่นหนา ต้นโพธิ์ต้นนี้มีอายุยืนนานมากถึง 1258 ปี ก็ล้มไปตามกาลเวลา
ต้นโพธิ์ต้นที่ 4 ในปี 2443 เซอร์อเล็กซานเดอร์ คันนิ่งแฮม นักโบราณคดีชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นผู้มีคุณูปการต่อพระพุทธศาสนามาก ได้ขุดค้นพบพุทธสถานหลายแห่ง จนทำให้พระพุทธศาสนาเป็นที่รู้จักของชาวอินเดีย หลังจากลืมเลือนไปแล้วกว่า 800 ปี ได้เดินทางไปที่พุทธคยาพบกับต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ล้มอยู่ แต่ได้พบหน่อโพธิ์งอกอยู่ที่ใต้ต้นเดิม 2 หน่อ หน่อหนึ่งสูง 6 นิ้ว ได้ปลูกไว้ที่บริเวณต้นเดิม อีกหน่อหนึ่งสูง 4 นิ้ว แยกไปปลูกทางด้านทิศเหนือห่างกัน 250 ฟุต อายุต้นโพธิต้นนี้ นับจากเริ่มปลูกปี 2443 - 2551รวมอายุได้ 108 ปี
สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่ชาวพุทธควรรู้และเกี่ยวกัพระพุทธเจ้าคือ สัตตะมหาสถาน สัตตะมหาสถาน หมายถึง สถานที่รอบๆต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ทรงประทับเสวยวิมุตติสุข(สุขอันเกิดจากการหลุดพ้นจากกิเลส)แต่ละแห่ง แห่งละ7วันรวม 49 วัน คือ
สัปดาห์ที่ 1 : โพธิบัลลังก์
ทรงประทับอยู่ที่ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์นั่นเอง หลังจากตรัสรู้แล้วทรงเสวยวิมุตติสุขทรงพิจารณาพระธรรม ที่ทรงตรัสรู้ คือ ปฏิจจสมุปบาทตลอด 7 วัน
สัปดาห์ที่ 2: อนิมิสเจดีย์
พระองค์ทรงดำเนินไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือต้นโพธิ์ ทรงยืนพิจารณาทอดพระเนตรต้นพระศรีมหาโพธิ์ โดยไม่กระพริบพระเนตรเลยตลอด 7 วัน ทรงหวลระลึกถึงอดีตที่ทรงชำระกิเลสหมดสิ้นผ่องใส ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ที่ประทับยืนนั้นเรียกว่า อนิมิสเจดีย์ ที่พุทธคยาปัจจุบัน บริเวณทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ของต้นพระศรีมหาโพธิ์ มีเจดีย์เป็นอนุสรณ์อยู่ลักษณะเจดีย์ทาสีขาว
สัปดาห์ที่ 3: รัตนจงกรมเจดีย์
พระพุทธเจ้า เสด็จไปบริเวณทิศเหนือของพระศรีมหาโพธิ์ ทรงนิรมิตที่จงกรมระหว่างโพธิบัลลังก์ กับที่ประทับยืนที่อนิมิสเจดีย์ ทรงเสด็จจงกรมจากทิศตะวันออกจรดทิศตะวันตก เรียกว่า รัตนจงกรมเจดีย์
ปัจจุบันรัตนจงกรมเจดีย์ อยู่ข้างพระมหาเจดีย์ ด้านทิศเหนือมีหินทรายสลักเป็นดอกบัวบาน จำนวน 19 ดอก มีแท่นหินทรายแดงยาวประมาณ 6 เมตร และมีป้ายหินอ่อนปักให้รู้ว่า นี่คือรัตนจงกรมเจดีย์ (Ratna cakra Chatiya) ที่พระพุทธองค์เสวยวิมุตติสุข ในสัปดาห์ที่ 3 ระหว่างต้นพระศรีมหาโพธิ์ กับอนิมิสเจดีย์
สัปดาห์ที่ 4 : รัตนฆรเจดีย์
พระองค์เสด็จไปประทับ ณ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทรงประทับในเรือนแก้ว(รัตนฆร) ที่เทวดานิรมิตถวาย ทรงประทับภายวนเรือนแก้วนั้นตลอด 7 วัน ทรงพิจารณาพระอภิธรรม เมื่อทรงพิจารณาถึงมหาปัฏฐาน ปรากฏมี พระฉัพพรรณรังสีแผ่ออกมาจากพระวรกาย
ปัจจุบันสถานที่ที่เป็นรัตนฆรเจดีย์นั้น มีอนุสรณสถานเป็นรูปวิหารทรงสี่เหลี่ยม ไม่มีหลังคามุงกว้างประมาณ 11 ฟุต ยาวประมาณ 14 ฟุต รอบข้างเต็มไปด้วยเจดีย์โบราณ มีพระพุทธรูปสมัยคุปตะและสมัยปาละ พิจารณาแลัวเห็นน่าจะมีผู้นำ มาตั้งไว้ในสมัยหลัง หน้าประตูเข้าด้านตะวันตกมีป้ายบอกว่ารัตนฆรเจดีย์ (Ratnagrha Chatiya)
สัปดาห์ที่ 5 : อชปาลนิโครธ
อชปาลนิโครธอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของต้นพระศรีมหาโพธิ์ คำว่า อชปาลนิโครธ หมายถึง ต้นไทรอันเป็นที่รักษาแพะ หมายถึง ต้นไทรนี้มักมีเด็กเลี้ยงแพะ พาแพะมาหากินเสมอๆ พระพุทธเจ้าขณะยังเป็นพระโพธิสัตว์ ยังไม่ตรัสรู้ ได้เคยเสด็จมารับข้าวมธุปายาส จากนางสุชาดาครั้งหนึ่ง ณ ที่แห่งนี้หลังจากตรัสรู้แล้ว ทรงมาประทับที่นี่อีกครั้งหนึ่ง ทรงพบกับพราหมณ์หุหุกชาติ ซึ่งมีปกติตวาดคนอื่นด้วยคำว่า หึหึ
สัปดาห์ที่ 6 : สระมุจลินทร์
พระพุทธองค์ได้เสด็จไปที่ใต้ต้นมุจลินทร์ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ห่างจากแม่น้ำเนรัญชรา ครึ่งกิโลเมตร ห่างจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ ราวๆ 2 กิโลเมตร ทรงประทับนั่งที่นั่นตลอด 7 วัน 7 คืน ขณะนั้นเกิดฝนตกใหญ่พญานาคนามว่า มุจลินทร์ปรารถนาจะกำบังฝนให้พระพุทธองค์ จึงขนดตนเองวนรอบพระ วรกายและแผ่พังพานบังลมผนตลอด 7 วัน เมื่อครบ 7 วัน ลมฝนสงบแล้ว ได้คลายตัวออกและแปลงเพศเป็นมานพหนุ่มถวายบังคม ณ เบื้องพระพักตร์พระองค์
ปัจจุบันบริเวณที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ใต้ต้นมุจลินทร์ เป็นสระบัวขนาดใหญ่ ชาวบ้านเรียกว่า มุจลินทร์โบกขรี (สระบัวมุจลินทร์) มีพระพุทธรูปปางนาคปรกประดิษฐานอยู่กลางสระ
สัปดาห์ที่ 7 : ต้นราชายตนะ
พระพุทธองค์เสด็จไปยังทิศใต้ของต้นพระศรีมหาโพธิ์ และประทับเสวยวิมุตติสุข ที่ควงไม้ราชายตนะ(ไม้เกตุ)ที่นั้นเป็นสัปดาห์สุดท้ายเป็นสัปดาห์ที่ 7 ขณะนั้นมีพ่อค้าวาณิชจากเมืองอุกกลชนบท ได้เดินทางมาค้าขายคือตปุสสะ และภัลลิกะและได้พบกับพระพุทธเจ้าซึ่งประทับอยู่ ณ ที่นั้นเกิดความศรัทธาปสาทะเลื่อมใส ได้ทูลถวายข้าวสัตตุผงข้าวสัตตุก้อน เวลานั้นพระพุทธองค์ไม่มีบาตรจะรับ ขณะนั้นท้าวมหาราชทั้ง4 ได้ทรงทราบ จึงน้อมนำบาตรศิลา4 ใบมาทูลถวาย พระองค์ทรงอธิษฐานเป็นบาตรใบเดียว และรับอาหารบิณฑบาตจากพ่อค้าทั้ง 2
สิ่งสำคัญที่ประดิษฐานอยู่ในบริเวณพุทธคยาอีกประการหนึ่ง ซึ่งพุทธศาสนิกชนนิยมไปกราบนมัสการกันมาก คือ พระพุทธรูปพระพุทธเมตตา เป็นพระพุทธปฏิมา ประดิษฐานที่ห้องบูชา ชั้นล่างสุดของมหาเจดีย์ ที่ประตูด้านทิศตะวันออก มีอายุถึง 1400 กว่าปี พุทธลักษณะเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยหรือปางภูมิสัมผัส ปิดทองเหลืองอร่าม เหตุที่เรียกว่า พระพุทธเมตตาเพราะพระพักตร์เปี่ยมไปด้วย ความอ่อนโยน เมตตากรุณา
มีตำนานที่น่าสนใจ เกี่ยวกับพระพุทธเมตตา คือ ครั้งหนึ่งพระเจ้าศศางกา กษัตริย์ฮินดูจากเบงกอล เมื่อขึ้นครองราชย์ ก็ทรงมีนโยบายทำลายพระพุทธศาสนา ได้ยกกองทัพมาถึงบริเวณพระศรีมหาโพธิ์ ได้สั่งให้กองทหารของตนทำลายต้นพระศรีมหาโพธิ์ พร้อมกับขุดรากขึ้นมาเผา (ภายหลังพระเจ้าปูรณวรมันได้เสด็จมาพบ ทรงเร่งให้บูรณะพระศรีมหาโพธิ์ขึ้นใหม่ ) และได้เข้าไปในพระมหาเจดีย์ เห็นพระพุทธรูปพระองค์หนึ่ง คิดจะทำลายด้วยตนเอง แต่ทำลายไม่ลงเพราะพระพักตร์ อันเปี่ยมด้วยเมตตา เมื่อยกทัพกลับพระนคร คิดว่าหากปล่อยให้พระพุทธรูปอยู่ในพระวิหาร พุทธศาสนิกชนก็จะฟื้นฟูขึ้นมาอีก จึงให้นายทหารคนหนึ่งไปทำลายทิ้ง นายทหารนั้นไปถึงก็ไม่กล้าทำลายเพราะเป็นชาวพุทธ แต่ครั้นจะไม่ทำลายก็เกรงพระราชอาญา อาจจะถูกประหารทั้งครอบครัว จึงคิดว่าไม่ทำลายดีกว่า แต่แค่ซ่อนพระพุทธปฏิมานี้เอาไว้ก็พอ จึงเอาอิฐมาก่อปิดทางเข้าห้องบูชาเพื่อไม่ให้ใครเห็น แล้วตั้งรูปพระเมหศวร ไว้ด้านหน้า
เมื่อกลับไปรายงานพระเจ้าศศางกาว่าทำลายพระพุทธรูปเรียบร้อยแล้ว แทนที่จะดีพระทัยกลับหวาดกลัวในอกุศลกรรม ภายหลังต่อมาได้ล้มป่วยลง พระวรกายเน่าเปื่อยเนื้อหลุดเป็นชิ้นๆ ด้วยบาปกรรมที่สั่งให้ทำลายพระศรีมหาโพธิ์ เมื่อพระเจ้าศศางกาสิ้นพระชนม์แล้ว ทหารคนนั้นจึงกลับไปที่พระมหาโพธิ์เจดีย์ นำเอาอิฐที่มุงบังพระพุทธรูปออก และจุดตะเกียงน้ำมันบูชา
การเดินทางมาครั้งนี้ นอกจากการได้ปฏิบัติธรรมแล้ว ก็หาโอกาสสัมผัสบรรยากาศแบบแขกสักหน่อย
ท่านดอกเตอร์ก็ใจดี พาไปทานอาหารทิเบต ที่มาตั้งร้านค้าชั่วคราว เมื่อเลิกกิจการก็จะฝั่งทุกอย่างไว้ใต้ดิน ปีหน้าก็ขุดขึ้นมาเปิดกิจการใหม่ อาหารนั้นอร่อย อาหารโปรดของท่านดอกเตอร์ มี โมโม แกงไก่ กินทุกวันไม่มีเบื่อ สั่งอาหารแต่ละครั้งนั่งรอจนลืม ลูกค้าบางคนนอนรออาหารจนหลับ
เรื่องราวต่างๆยังมีอีกมากมาย โปรดติดตามตอนต่อที่ 3 จะกล่าวถึงเกล็ดเล็กน้อย สาระที่น่ารู้ เมื่อเข้าสู่อินเดีย เช่น การซื้อของ รอแขกทำงาน หรือแม้กระทั่งการให้ทานกับขอทาน การขึ้นรถ เป็นต้น
4 กุมภาพันธ์ 2551 15:51 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
ตั้งแต่เติบโตมาในชีวิต ประเทศอินเดีย ไม่เคยอยู่ในความรู้สึกนึกคิด ว่าอยากไป เพราะฟังจากปากต่อปาก อินเดียสกปรก ขอทานเยอะ ไม่เจริญ
แต่เมื่อชีวิต ผกผันจากจุดหนึ่งมาสู่อีกจุดหนึ่ง มุมมองของชีวิต เปลี่ยนไปมากมาย ชีวิตเคยอยู่กับสิ่งที่เจริญทางวัตถุ มีเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย มีลูกน้องห้อมล้อม ใช้แต่สมอง ทำงาน ไม่เคยใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาใช้กันนัก
รูปแบบการทำงาน ความคิดเปลี่ยน อินเดีย ทำให้เห็นความแตกต่างหลายอย่างตั้งแต่อย่างก้าวสู่พื้นแผ่นดินนี้
ชีวิตไม่ใช่ไม่เคยไปต่างประเทศ ส่วนมากได้ไปแต่ประเทศที่เจริญทางวัตถุ การไปอินเดียครั้งกับมีความรู้สึกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ตั้งแต่ได้มีโอกาสเคลื่อนไหว ร่างกายอยู่บนอากาศโดยเฉพาะโดยสารไปกับใครอีกคนที่เรารู้สึกถึงความรัก ความห่วงใย ที่ไม่เคยพูดออกมาแต่ออกมาแต่แสดงออกด้วยการกระทำเสมอ ตัวเองรู้สึกเหมือนนก ที่ถูกปลดปล่อย มีอิสระ ไม่ต้องอยู่ใต้เงาอำนาจและการขมขู่ที่ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสบอบช้ำเสียที
มองจาก ท้องฟ้า เหมือนการเดินทางที่ทอดยาวไม่สิ้นสุด
ไม่เคยนึกรู้ ว่า จุดประสงค์มาอินเดียเพื่อ อะไร เพราะคนข้างกายไม่พูด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า บาดแผล ที่โดนมาในอดีต มากมายเกินเยียวยา บางครั้งและหลายครั้งไม่เคยจางหายได้ ทำให้ต้องแอบร้องไห้เงียบๆอยู่คนเดียว ท่านรู้ และห่วงแต่ท่านไม่พูดแต่ใช้วิธีแยบยลให้เราซึมซึบและไปเจอหายคนและหลายอย่างที่อินเดียด้วยตัวเอง
เมื่อเดินทางขึ้นเครื่องบิน ก็ได้พบเจอ พระรูปหนึ่ง ซึ่งท่านไปทำดอกเตอร์ และเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมดและตัวท่านเองใช้วิธีสนทนา ธรรม ให้เราเปลี่ยนมุมมองหลายอย่างในชีวิต
อินเดียตั้งแต่เข้าสนามบิน ก็พบเจอความวุ่นวายของผู้คนที่มาด้วยจุดหมายที่ต่างกันและยังอยู่บนความไม่ชัดเจนที่ดูคล้ายชัดเจนกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเพราะประเทศนี้มักมีเรื่องราวให้เราตื่นเต้นและเปลี่ยนไปมา จาก ประชากรคนอินเดียเสมอ ไม่ว่าเดินทางไปที่ใดในอินเดีย
เข้าสนามบินมีการขอค้นกระเป๋า ซึ่งต้องพูดภาษาอินดี กันพักใหญ่ คนยอมปล่อยคณะเราออกไป มีเสียงข้างๆดังลอยผ่านอากาศด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นอินเดียครั้งแรก..นี่มันนรก ชัดๆ......????อะไรเนี่ย....ถ้ากลับได้ฉันขอบินกลับเมืองไทยเดี๊ยวนี้.....
วันแรก ไปพัก บ้านดร.อันสาหรี ซึ่งเป็นพ่อบุญธรรมของดร.ฤทธิชัยและมีท่านพระมหาประเสริฐพักที่นี้ด้วย
กินอาหารอินเดีย จาปาตี สุดยอด นึกถึงมาม่าในกระเป๋าเดินทางทันที ตอนนี้....คุณคือคนสำคัญนะจ๊ะ มาม่าที่รัก
ต้อนรับดีมากครอบครัวนี้ ทั้งปาป๋า มาม๊า และน้องสาวอีกสองคน แถมทำวิธีวิวาห์แบบแขกให้อีกรอบ
ประเพณี ผู้หญิงอินเดีย ต้องดูแลแขกให้ทานอาหารให้อิ่ม โดยทานอาหารร่วมโต๊ะไม่ได้แต่นั่งโต๊ะบริการ เติมอาหาร ให้ตลอดเวลา อีกอย่างที่สำคัญ ต้องทานอาหารจนหมดห้ามเหลือในจาน
เอาหล่ะสิ....แหม...ท่านดอกเตอร์สบายสิ พูดฮินดีได้...พูดอังกฤษได้...เลยบอกได้...
พระมหาประเสริฐ....ว่าที่ดอกเตอร์....พูดอังกฤษได้....ก็บอกได้......
กระต่ายใต้เงาจันทร์....พูดอังกฤษก็.....ได้แค่หางอึ่ง....ฟังก็ไม่รู้เรื่อง....เจ้าของบ้านก็หวังดีเติมในจาน....จนอยากอ๊วก....เหลียวซ้าย...หาพระ...เพราะคิดว่าท่านต้องมีจิตเมตตา...ส่งสายตาอ้อนวอน....เจอสายตา...ตอบสนองให้รู้ว่า...ช่วยตัวเองก่อนน่ะโยม...อาตมาภาพก็ยังช่วยตัวเองกับสิ่งที่อยู่ในจานอยู่เลย...
แลขวา....ส่งสายตาอันหวานซึ้ง...แกล้งทำเป็นไม่เห็นไม่สนใจ...เช๊อะ....ใช้ภาษาที่พ่อแม่ให้มาก็ได้ย่ะ
รุ่งเช้าไปที่เจดีย์พุทธคยา พอเริ่มออกเดินทาง ก็เจอสหายตัวน้อยคอยทักทายตลอดทาง ว่า สวัสดีครับ แสนดีใจนึกว่าเจอคนไทยด้วยกัน แต่ ไม่ใช่ใคร ขอทาน แขกนั่นเอง เสียงคนข้างบอกด้วยเสียงอันเบา แม่อย่าให้เงินขอทานน่ะแค่นั้นแล้วมองด้วยสายตาปรามอยู่ในที
ไม่ให้ก็ไม่ให้ ทีนี้ เดินตามกันเป็นกิโล จนเข้าถึงพุทธสถานถึงเลิกตาม
ประเทศอินเดีย ดีอย่างหนึ่ง ถ้าเข้าไปตามสถานที่สำคัญ จะไม่ให้ขอทานเข้าได้
แต่อีกสิ่งหนึ่งต้องผจญระหว่างการเดินทาง ฝุ่น และอากาศที่หนาวเย็นอุณหภูมิ4องศาและมีสิ่งที่ท้ายน่าตื่นเต้นรออยู่ข้างหน้า ด้วยความระทึกใจ ถ้าอยากทราบเหตุการณ์ว่าจะเจออะไร โปรดติดตามตอนต่อไป