21 กันยายน 2550 15:40 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
รักใสใสกับความหมายยมันส์ๆ คงจะเป็นรัก ที่มาจากอารมณ์ ของแต่ละบุคคลแต่ละมุมมอง คงให้ความหมายในความคิดได้ดังนี้
ถ้าคุณเป็น คนมองโลกในแง่ดี คงจะเป็นแบบว่า ถ้าคุณรักใครสักคน ปล่อยเธอไป จนเธอ ไม่มีที่จะไป เดี๊ยวเธอก็กลับมา
ถ้าคุณเป็นคน ขี้สงสัย รักของคุณคงเป็นแบบว่า ปล่อยเธอไปพอเธอกลับมาคงถามเธอว่า..จะกลับมาทำไม๊...ทำไม ....
รักของคนขี้หวง ถ้าคุณรักใครสักคน ชาตินี้ ขาดเธอไม่ได้หัวใจขอสารภาพ
ยังไงก็ตื้อแนบแน่นหนึบนาน
รักของคนมีความอดทน ถ้ารักใครสักคนปล่อยเธอไปแล้วก็...รอ...รอ...รอ...จนกว่าจะตายจากกันไปข้างหนึ่ง
แต่ถ้ารักของคนไม่อดทนถ้าคนรักใครสักคน ฉันปล่อยเธอไปนานแล้วทำไมเธอเพิ่งไป
รักของนักถ่ายภาพ ถ้ารักใครสักคนปล่อยเธอไปแต่อย่าลืมถ่ายภาพนู๊ดไว้พิมพ์ขายเธอจะได้โทรมาหาคุณอีก
รักของเซลส์แมน รักใครสักคนปล่อยเธอไปช่วงโปรโปรชั่นเธอจะกลับมา
รักแบบเจ้ากรรมนายเวร รักใครสักคน ปล่อยเธอไป เธอต้องไปชดใช้กรรมกับคนอื่นต่อ
รักของทหาร ถ้าคุณรักใครสักคนปล่อยเธอไป ถ้าชีวิตคุณอยู่ในอันตรายเมื่อไรเธอจะกลับมาขอให้คุณทำประกันชีวิตให้
รักของช่างแอร์ ปล่อยเธอไป ถ้าเธอร้อนเมื่อไรเธอจะกลับมาให้คุณช่วยทำให้เย็น
รักของช่างซ่อมบำรุง ถ้าคุณรักใครสักคน ปล่อยเธอไปถ้าอ่ะไหล่ในตัวเธอเสียเมื่อไรเอจะกลับมาให้คุณซ่อม
รักของคุณครู ถ้าคนรักใครสักคน ปล่อยเธอไป ถ้าเธอกลับมา บอกเธอว่า รักน่ะเด็กดื้อ
รักของปอเต็กตึ๊ง ถ้าคุณรักใครสักคนปล่อยเธอไปแล้วเธอจะกลับมาใช้บริการคุณในลมหายใจเฮือกสุดท้าย
รักของนักศึกษารักใครสักคน ปล่อยเธอไป ถ้าเธออยากค้นคว้าวิจัยเธอจะกลับมาหาคุณ
รักของนักขายของเก่า รักใครสักคนปล่อยเธอไป พอเธอเริ่มแก่เมื่อไรเธอจะกลับมาให้คุณดู
รักของกระเป๋ารถเมล์ รักใครสักคนปล่อยเธอไปพอเธอกลับมาบอกเธอว่า ชิดในหน่อยเพ่...ชิดในหน่อย
นิยามพนักงานบริบํทถ้าคุณรักใครสักคน ปล่อยเธอไป แล้วเธอกลับมาพร้อมกับคำถามที่ว่าพี่ค่ะ ถ้าพี่ยังเป็นพนักงานอยู่ ติดต่อเจ้าของบริบัทให้หนูหน่อยค่ะ พี่หนูน่ะรักความก้าวหน้า
รักใสใสในนิยามหลายๆแบบคงตรงใจกันบ้างแต่ถ้ายังไม่ถูกใจคุณ ลองนึกสิค่ะว่ารักของคุณเป็นอย่างไร สดใส ซาบซ่าเพียงไหนแล้วช่วยบอกความหมายความรักของคุณมาถึงกันบ้างน่ะ
11 กันยายน 2550 22:41 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
แปลกใจและแปลกตา กับเรื่องที่เกิดขึ้นในรั้วการศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งนี้
เมื่อต้องรับบทบาทมาเป็นอาจารย์ผู้สอนนักศึกษาที่วัยใกล้เคียงกัน แม้กระทั่งถึงวัยพ่อแม่ จนระดับคุณตา คิดตลอดเวลาว่าจะสอนๆๆเพื่อเอาประสบการณ์ไปต่อยอดเพื่อทำมาหากิน หรือศึกษาต่อในอีกระดับขึ้นไป
แต่ไม่คิดไม่ฝัน ว่าผูกพันจนแยกไม่ออก เคยคิดตลอดเวลาว่า นั่งรถทัวร์มาสอน จากเหนือถึงใต้.....สงสัยตัวเองจะบ้า....มาสอนอะไรถึงที่นี่.....
บรรยากาศ...ก็ชวนสอนเสียนี่กระไร วนเวียนเข้าออกอยู่กับวัด ไม่ว่ากินนอนเดินทางไปไหน เจอพระกับเจอวัด เป็นงานประจำ เออแต่แปลกน่ะกลับเหมือนน้ำซึมบ่อทราย กลับซึมซับรักที่นี้จนบอกไม่ถูก...หนีงานประจำตัวเองมาอยู่ที่นี่ประจำ จนตัวดำเป็นสำลีเม็ดใน อาคารก็ไม่มี แอร์ก็ไม่มี อุปกรณ์ที่สอนใช้ทำมาหากิน ก็มีแต่กระดาน กลับปากกาเคมี สอนก็สอนในวัดเดินสอนตามกุฎิจนอยากจะเป็นแม่ชีอยู่แล้วในความรู้สึก มีหลายอาชีพมากที่มาเรียนที่นี่ ตั้งตำรวจ นักศึกษา โรงงาน โรงแรม จนบรรยายไม่หมด เวลาสอน น่ารักตั้งใจเรียนดีกันทุกคน จ้องตาแป๊วแหวว ยิ้มกันตลอดเวลา จนเราเองต้องคอยถามว่า เข้าใจไหมค่ะ มีอะไรจะถามไหมค่ะ สงสัยอะไรไหมค่ะ ไร้ปฎิกริยา ตอบสนองสมองคงชาไปบางส่วน เลือดและวิญญาณอาจารย์เข้าสิงเลยบอกด้วยเสียงอันอ่อนหวานว่า นักศึกษาที่เคารพ โปรดช่วยอาจารย์ทำมาหากินหน่อยค่ะ ทีนี้หล่ะเป็นเรื่อง....ถามกันถกเถียงกันเป็นงานประจำ....แถมบอกว่า...การสร้างความร้าวฉานคืองานของเรา....ตอนนี้สอนเมื่อไรน้ำลายอาจารย์กับลูกศิษย์พ่นพิษใส่กันทันที...สนุกสนานและอบอุ่นมากๆในความรู้สึก
การเรียนการสอนที่นี่ มีรูปกิจกรรมนักศึกษา หลายรูปแบบ แม้แต่การปฎิบัติธรรม
จนต้องไปปฎิบัติธรรมกับนักศึกษา เสียเป็นเวลาสามวัน มีอดอาหารเย็นถือศีลแปด ให้ทานได้แต่น้ำปานะ
หิวกันทีสิทีนี้....อาจารย์ขา.....อาจารย์ครับ....น้ำปานะตั้งอยู่บริเวณไหนค่ะ
เราก็ชี้ไปที่โต๊ะที่ไว้ใช้วางอาหารมีขวดน้ำปลาเรียงกันเป็นแถวแล้วบอกด้วยจิตอันเมตตาว่า.....นี่...น้ำปลาน่ะ...ลูกน่ะ....
แล้วก็เดินจากมาด้วยกริยาอันสำรวม
การเข้าค่ายธรรมมะที่วัดห้วยทรายใต้ได้อะไรหลายอย่าง มีนอน นั่ง ตะแคงสมาธิ มีคนบอกว่า...แหมอาจารย์น่าจะมีวิ่งสมาธิบ้าง....
มีกิจกรรมดีอีกอย่างคือเสีย
งธรรมใต้แสงเทียนดีมากๆ
จบหลักสูตรมีการแจกใบวุมิบัตรกันถ้วนทั่วทุกตัวตน
จนเข้าค่ายเราก็ยังไม่ได้ขึ้นไปพิจิตรสะที วนเวียนไปกับคณะอาจารย์ผู้สอน และลูกศิษย์ พบคนโน้นคนนี้ เพื่อหาทุนจัดสร้างมหาลัย อยากให้เกิดวิทยาลัยสงฆ์ขึ้นจริงๆค่ะเพราะว่า นักศึกษา ดิ้นรนกันช่วยตัวเองตลอดเวลา สร้างจตุคาม ก็บดมวลสารกันเอง ขายดอกมะลิวันแม่ จนกระทั่งแบ่งฝ่ายถอดแปลนในการสร้าง จนบัดนี้ ก็ยังดิ้นรน จะทำตะกรุดในส่วนของนักศึกษาอาคารที่เป็นกุฎิก็มาช่วยกันกันห้องเอง ระดับนายกอบต.ที่เป็นนักศึกษาว่างก็มาช่วยตัดหญ้าในวัด ประธานนักศึกษาก็วิ่งวุ่นคิดทุกทางเพื่อหาเงินเข้ามหาลัยในการสร้างอาคาร หลวงพ่อที่ให้ที่ดินท่านก็เดินทางไปกับคณะอาจารย์เพื่อพบปะและหาแนวทาง
หลายคนอ่านแล้วสงสัย ว่า ทำไม ผู้บริหารศูนย์การศึกษาและนักศึกษาต้องหา
เงินสร้างอาคารเรียนเอง ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่า เป็นระเบียบของมหาวิทยาลัยสงฆ์
ศูนย์การศึกษาตั้งยังไม่ถึง ๕ ปี ต้องหาเงินสร้างอาคารเรียนเอง ที่สร้างเงื่อนไข เช่นนี้เนื่องจากไม่ต้องการให้วัดต่างๆ ตั้งศูนย์การศึกษาง่ายๆๆ
นักศึกษาที่นี่ใช้ระบบเรียนด้วยความศรัทธาและชักชวนกันมาเรียนมีบางครอบครัวมาเรียนทั้งสามีและภรรยา จนถึงลูกชาย ลูกสะใภ้
แหม...คิดในใจ....อยากให้มีผู้ใจบุญตั้งกองผ้าป่าที่ทอดที่วัดเนรัญชรารามบ้างจัง
ผู้เขียนหรือคณะอาจารย์ที่มาสอนที่นี่มาจากไกลๆกันทุกคน เพราะมาเห็นที่นี่แล้วรักอย่างบอกไม่ถูกจนตัวเองผู้เขียนเองวนเวียนและอยากมาอยู่ที่นี่เลยตอนนี้
4 กันยายน 2550 12:02 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
ความรักทำให้คนตาบอด
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว นานมากๆๆจนจำวันเดือนปีที่เกิดเรื่องนี้ไม่ได้ มีชายหนุ่มคนหนึ่ง หลงรักสาวข้างบ้าน เขาเฝ้าแอบมองสาวเจ้าทุกวัน โดยไม่เว้นแม้แต่วันหยุดราชการ หรือวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ชายหนุ่มผู้นี้ หลงงมงาย เฝ้าแอบมองดูสาวเจ้า โดยปีนต้นมะม่วง เรียกว่ามดแดงที่แฝงพ่วงมะม่วงยังอาย เจ้าหนุ่มผู้นี้ ปีนขึ้นปีนลงใช้สายตาโลมเลียลูบไล้ ใบหน้าสาวเจ้า เหมือนตกอยู่ในภวังค์แห่งความรักโดยไม่สนใจ สิ่งรอบข้าง ฤดูกาลจะเปลี่ยนไป ลมฝนพายุกระหน่ำ ใบไม้ ไหวโยกคลอนสั่นสะเทือนทั่วสารทิศ ไม่สามารถทำให้ชายหนุ่มผู้นี้หวั่นไหวได้ จนกระทั่ง กิ่งมะม่วงออกดอกช่อกิ่งใบเจริญงอกงามออกมาใหม่ เขารอจนเวลาล่วงเลยผ่านพ้นไปผลมะม่วงสุกงอม เหมือนความรักที่เต็มเปี่ยมอุรา เขาได้ปีนต้นมะม่วงเพื่อเก็บผลที่สุกให้สาวที่หลงรักอยู่ เหมือนความรักที่สุกงอม เช่นเดียวกัน แต่อนิจจา เหมือนฟ้าแกล้ง กิ่งมะม่วงดีดกระเด็นกระดอนถูกลูกนัยน์ตาจนบอดสนิททำให้ชายหนุ่มจมลงสู่ภวังค์อันมืดมิด..
...............................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
ด้วยประการเหตุนี้คือเรื่องราวของ.....ความรักทำให้คนตาบอด............
2 กันยายน 2550 09:57 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
ผู้หญิงอินเดีย:มุมมองในปัจจุบัน
ผู้หญิง คือ เพศแม่ เป็นผู้ให้กำเนิดชีวิตบนโลกมนุษย์ หากไม่มีแม่ผู้ให้กำเนิดโลกคงไม่มี ดังนั้นทรรศนะของฮินดู จึงถือว่าเพศหญิง คือ ศักติ ผู้มีอำนาจเหนือเพศชาย คือศิวะ, พระเจ้า ตรงกับแนวความคิดเรื่องปุรุษ และปรากฤต ทั้งสองความเห็นให้ความสำคัญกับศักติหรือปรากฤต ว่ามีอำนาจกระตุ้นให้พระเจ้ามีพลังสร้างขึ้นมาได้
เรื่องสิทธิสตรี เป็นเรื่องที่กล่าวขานกันทุกประเทศ ทุกมุมโลก บทความนี้กล่าวเฉพาะผู้หญิงอินเดีย ก็เพื่อศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรมประเทศเพื่อนบ้านไทยเรา โดยศึกษาบางประเด็น เท่าที่โอกาสจะเอื้ออำนวย
หนังสือCulture Shock! India คือที่มาของบทความนี้ มีเนื้อหาที่พูดถึงผู้หญิงในอินเดียค่อนข้างจะตรง เพราะมองจากเหตุการณ์ วิกฤติการณ์ของระบบ Dowry ในปัจจุบัน แม้ระบบ Purdahนั้นก็เป็นเรื่องเฉพาะของศาสนาอิสลาม เป็นประเพณีดั้งเดิม นิยมปฏิบัติกันมากโดยเฉพาะในเมืองราชสถาน (Rajasthan)ส่วนSatiนั้นก็เป็นเรื่องสำคัญของศาสนาฮินดูเพราะปฏิบัติตามคำสอนในพระเวทที่ว่าหญิงที่ปฏิบัติสามีจนตัวตายนั้นจะช่วยชำระบาปของญาติทั้ง ๓ฝ่าย คือของบิดา ของมารดา และครอบครัวสามีตนเอง ประมาณปี พ.ศ.๒๓๔๓(ค.ศ.๑๘๐๐) ได้มีการต่อต้านรุนแรงต่อประเพณีนี้ โดยกลุ่มนักสอนศาสนา(Missionary)และประชาชนทั่วไปไม่เห็นด้วย จนเป็นเหตุให้รัฐบาลในสมัยนั้นต้องตรากฎหมายขึ้นเรียกว่า Sati Regulation Act of1829 (พ.ศ. ๒๓๗๒)อนึ่งเพราะการถือปฏิบัติผิดหลักประเพณีของระบบ Dowry ดั้งเดิม จึงเกิดกฎหมายเพื่อปกป้องฝ่ายหญิง เรียกว่าDowry Prohibition Act 1961(พ.ศ. ๒๐๔๐)ขึ้นมา
สภาพที่เป็นจริงในปัจจุบัน
ถ้าใครคิดที่จะมองภาพตัวอย่างที่ชัดเจนของความเป็นหญิงชาวอินเดีย ละก็คงหาภาพที่สวยงามพร้อมปรากฏรอยยิ้มอันอ่อนหวาน เหมือนแผ่นโฆษณาท่องเที่ยวนั้นคงมิได้แน่ เพราะคงเห็นแต่ภาพของหญิงเหล็กที่ทูนวัสดุที่มีน้ำหนัก เช่น ก้อนอิฐ, หม้อน้ำ, ฟืน หรือไม่ก็หญ้าสำหรับเลี้ยงสัตว์ ไว้บนศีรษะกำลังเดินหลังแข็งทื่อไป
ทั้งนี้เพราะว่า หญิงยากจนต้องทำงานหนักด้วยความจำเป็นอย่างสุดๆ โดยเฉลี่ยต้องทำงานหนักมากกว่าหญิงวัยทำงานวัยเดียวกัน เมื่อเทียบกับหญิงในประเทศอื่น อาชีพที่หญิงต้องลงไปทุบหินในบ่อ ขุดแร่ ทำการจักสาน ปั้นหม้อดิน หว่านข้าวกล้า พรวนดินและเก็บเกี่ยวพืชผลในไร่ เป็นงานที่เพิ่มจากงานในบ้านตามปกติ คือ ไปตักน้ำ เก็บฟืนและหญ้าเพื่อเลี้ยงสัตว์ ทำกับข้าว ทำความสะอาดบ้าน และเลี้ยงลูก
ตามเขตเมืองต่างๆ เราจะเห็นผู้หญิงวรรณะต่ำ ทำงานก่อสร้าง ใช้ศีรษะทูนอิฐ พร้อมอุ้มลูกไว้ที่สะเอวข้างหนึ่ง เดินไต่ขึ้นลงบันไดที่ล่อแหลมต่ออันตรายอย่างยิ่ง ผู้หญิงต้องทำงานที่ไม่ถนัด เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่มีค่าจ้าเพียงเล็กน้อย ทั้งๆที่บางครั้งมีครรภ์ หรือแม้แต่ต้องเลี้ยงลูกไปพลางทำงานไปพลางก็ตาม จะพบเห็นผู้หญิงเหล่านี้ตามที่สาธารณะได้ยาก เพราะผู้หญิงมิได้ถูกจัดไว้ในกลุ่มที่ทัดเทียมระดับเดียวกันเลย ดังนั้นจึงมีความแตกต่างมากมาย หลายระดับตามชั้น วรรณะ และฐานความคิดความเชื่อของแต่ละรัฐ
ในสังคมยุคใหม่ ตามเขตเมือง เช่น เมืองเดลี มีเจ้าสาวถูกเผาโดยปราศจากเหตุผลที่จะรักษาประเพณีดั่งเดิม เพื่อทีวีหรือตู้เย็นตัวใหม่เท่านั้น อัตราเฉลี่ยมากกว่าหนึ่งรายต่อวัน ตามภาคเหนือของอินเดีย ซึ่งในอดีตตกเป็นของชนชั้นปกครองมุสลิม ปัจจุบันยังมีการถือระบบศักดินา และเชื้อพระวงศ์อยู่ ส่วนทางภาคใต้จะรักษาระบบความเสมอภาคมากกว่า ในสังคมของชนเผ่าต่างๆ บางเผ่า จะปรากฏเรื่องอิทธิพลของการแบ่งเพศ แบ่งวรรณะ รุนแรงมากกว่าภาคตะวันตกของอินเดีย เช่นที่เมืองราชสถาน เมื่อไม่นานมีผู้หญิงท่านหนึ่งถูกเผาบนกองเพลิงที่กำลังลุกไหม้ ในพิธีเผาศพสามีของเธอ คาดว่าเป็นไปตามความเชื่ออย่างเคร่งครัดของประเพณีโบราณ
ผู้หญิงวรรณะต่ำ อาจจะมีอำนาจในการตัดสินเพิ่มมากขึ้นก็ได้ หากว่าเธอได้สมาคมกับผู้หญิงในวรรณะสูง เพราะว่าสถานภาพทางสังคม ทางครอบครัวนั้น มักจะถือเอาตามเหตุการณ์ที่พวกตนจะรักษาผลประโยชน์ด้านแรงงาน หรือการไม่ต้องทำงาน หรือแม้แต่การกักกันไว้เพื่อใช้งานเป็นต้น
การสูญเสียอิสรภาพอีกอย่างก็คือ ผู้หญิงต้องทนลำบากเพื่อแลกกับความสุขสบาย แม้ผู้หญิงวรรณะสูงก็ตาม ต้องทุกข์ทรมานเพราะข้อปฏิบัติทางประเพณีที่กดดันสตรีเพศ เช่น ประเพณี Purdah และSati หรือแม้แต่การแต่งงานตั้งแต่เป็นเด็ก การไม่ยอมรับความเป็นหญิงหม้ายในสังคม
การฆ่าทารกเพศหญิง และการทำแท้งในกรณีที่ตั้งครรภ์เพราะขาดความรู้ในการมีเพศสัมพันธ์ ก็เป็นแรงกดดันผู้หญิงในอินเดีย ให้มีแต่ทารกเพศชายเท่านั้น เพราะว่าลูกชายเท่านั้นที่จะสืบทอดมรดก หรือประกอบพิธีเผาศพบิดามารดาได้ เพราะมีความเชื่อว่า เขาจะช่วยให้วิญญาณมีความปลอดภัย เดินทางไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ อีกอย่าง ลุกชายเท่านั้นที่จะนำค่าDowry มาได้ เพราะครอบครัวฝ่ายหญิงต้องจ่ายให้เท่าราคาที่อาจจะทำให้ครอบครัวฝ่ายหญิงล่มจมก็ได้ แม้ในสังคมของชนเผ่าต่างๆบางเผ่า จะถือประเพณีที่ฝ่ายชายต้องจ่ายค่าสินสอดให้ฝ่ายหญิงก็ตาม แต่ก็ยังมีปะเพณีเก็บค่าDowry อยู่เหมือนเดิม แต่ภาคใต้ของอินเดีย ผู้หญิงและผู้ชายค่อนข้างมีเสรีภาพในการพบปะสังสรรค์มากกว่าทางภาคเหนือ ในเขตเมืองใหญ่ๆ เช่นเดลี บอมเบย์(มุมไบ) กัลกัตต้า(โกลกาต้า) มาทราส(เซียนไน) เป็นต้น ผู้หญิงมีการศึกษาแล้ว นักแสดง นักกฎหมาย เป็นต้น จะมีเสรีภาพมากขึ้น ไม่ต้องตรากตรำทำงานหนัก ไม่ต้องใช้ผ้าคลุมหน้าตัวเองอีกต่อไป
ผู้หญิงในอินเดีย สามารถทำงานในตำแหน่งสำคัญๆได้ แต่ต้องมีเงื่อนไขว่า เธอ ต้องมีความเกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญมาก่อน เช่น นางอินธิรา คานธี ได้เป็นนายกรัฐมนตรีของอินเดีย เพราะเธอเป็นลูกสาวของท่านอดีตนายกรัฐมนตรี ศรีเยาวหราล เนหรู, นางมเนกา คานธี ได้เป็นรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม เพราะว่าเธอเป็นภรรยาหม้ายของนายสัญชัย คานธี บุตรของนางอินธิรา คานธี ดังนั้นในปัจจุบันหากผู้หญิงไม่มีบุคคลสำคัญหนุนหลังอยู่ ก็อาจถูกทอดทิ้งไป
ในยุคพระเวท ผู้หญิงมีบทบาททัดเทียมผู้ชาย คือสามารถเป็นนักบวชได้ และถ้าเป็นหม้ายก็จะสามารถกลับแต่งงานใหม่ได้ แต่ปัจจุบันความสำคัญได้ลดลงไป จนเหลือแต่เพียงว่า เธอต้องนั่งใกล้สามีในเวลาทำพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น
ตามความเชื่อของศาสนาฮินดู ผู้หญิงเป็นทั้งผู้ควรแก่การบูชา และเป็นอันตรายต่อพิธีการบูชา ข้อห้ามสำหรับผู้หญิงมีประจำเดือน(ระดู)ในสมัยก่อน ก็คือ เธอจะถูกให้ออกไปอยู่นอกบ้านประมาณ ๓ วัน แต่ปัจจุบันในครอบครัวที่เคร่งศาสนามากๆ จะห้ามผู้หญิงมีระดูเข้าครัว ห้ามจับต้องเกลือ ห้ามไปวัด ห้ามเข้าร่วมในพิธีกรรมทางศาสนาด้วย ตามความเชื่อเรื่องเทพเจ้าและสิ่งลึกลับ ถือว่าพระเจ้าต้องเพศชาย และไร้อำนาจ หากแต่ได้อาศัยอิทธิพลของศักติ ต้องอาศัยเพศหญิงจึงจะมีพลังสร้างที่สมบูรณ์
ความเห็นเพิ่มเติม เกี่ยวกับระบบ Dowry, PurdahและSati
จากข้อความที่กล่าวข้างต้น มีนัยว่าสังคมอินเดียไม่น่าอยู่เสียเลย ดังนั้นเพื่อให้เกิดมุมมองที่เป็นธรรมกับครอบครัวชาวฮินดูอื่นๆ ที่รักษาประเพณีถูกต้อง ทำให้สังคมอินเดียน่าอยู่ จึงต้องขยายความในตอนนี้
คำว่าDowry ไม่ได้หมายถึง สินสอด หรือ สินสมรส เพราะความหมายเดิมเกิดจากตระกูลราชบุตร ที่เป็นนักรบ ในเมืองราชสถาน(Rajasthan) เมื่อรบชนะข้าศึก ก็จะได้เครื่องบรรณาการต่างๆ พร้อมทั้งได้หญิงสาวจากเมืองขึ้นมาครอบครอง ปัจจุบันแต่ละครอบครัวต้องแบ่งสมบัติให้ลูกๆ โดยเฉพาะลูกสาวที่จะต้องไปอยู่บ้านฝ่ายชายหลังจากแต่งงานแล้ว สมบัติก้อนนี้ถือเป็นหน้าเป็นตาของครอบครัวฝ่ายหญิง เพื่อที่ลูกสาวตนจะได้ไม่เป็นภาระของครอบครัวฝ่ายชายมากเกินไป ที่สำคัญคล้ายจะบอกว่า ลูกสาวตนมิได้มาอาศัยฝ่ายชายถ่ายเดียวนะ จากความหมายที่ดีนี้ Dowry คือสมบัติฝ่ายหญิงที่ได้มาจากครอบครัวของตนเพื่อจะไปมีครอบครัว มิได้หมายถึง ค่าตัวเพื่อซื้อฝ่ายชาย แต่อย่างใดเลย
อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน ครอบครัวอินเดีย บางครอบครัวของฝ่ายชาย ได้เรียกร้องค่าDowry มากมายตามที่ตนอยากจะได้ บ่อยครั้งที่ทำให้ครอบครัวฝ่ายหญิงต้องล่มจมเป็นหนี้ก็มี(บางครั้งเมื่อทำการสู่ขอ ตกลงเรื่องDowryไว้แล้ว แต่เมื่อถึงวันแต่งงานฝ่ายชายเรียกร้องเพิ่มอีกก็มี ซึ่งฝ่ายหญิงก็ต้องจำยอม)
คำDowryนี้ สอ เสถบุตร แปลว่า สินเดิมของฝ่ายหญิงที่นำติดตัวมาเพื่อสมรส นี่คือความหมายที่แท้และดั้งเดิม แต่หลายท่านแปลว่า ค่าสินสอด นี่ผิดทั้งในความหมายประเพณีดั้งเดิม และการนำคำว่า สินสอด มาใช้ผิดความหมาย เพราะคำนี้ หมายความว่า ฝายชายต้องมอบให้ฝ่ายหญิง
ระบบPurdah
Purdah หมายถึง ผ้าม่าน คือผ้าที่ต้องใช้คลุมหน้า และความหมายหนึ่งคือการปิดกั้นสิทธิของผู้หญิงในสังคมเดิมที่เป็นประเพณีของผู้หญิงชาวมุสลิมในเมืองราชสถาน(Rajasthan)มาจนถึงทุกวันนี้ การคลุมหน้าด้วยผ้าม่านนั้นปฎิบัติกันทั่วไปไม่ว่าจะเป็นชาวมุสลิมในรัฐใดก็ตาม สามารถพบเห็นภาพเช่นนี้อยู่เสมอ ตามร้านค้า บนรถที่วิ่งไปตามท้องถนน นั่นคือผู้หญิงมุสลิมจะแต่งกายด้วยผ้าสีดำเข้มและคลุมศีรษะทั้งหมดจนไม่สามารถเห็นใบหน้าและรอยยิ้มเลย ประเพณีผู้หญิงฮินดูไม่นิยมปฏิบัติ
ผู้หญิงฮินดูนิยมใส่แต่สาหรีและชุด Salwar ไม่ได้คลุมหน้า ชุดนี้จะมีผ้าชิ้นยาวเรียกว่าDupatta เหมือนสะใบสำหรับพาดบนไหล่ ให้ปลายทั้งสองห้อยลงมาด้านหลัง ให้ช่วงกลางปกปิดตรงคอและหน้าอกพอดี สำหรับผ้าสาหรีนั้น ผู้นุ่งต้องจำด้านบนสุดและด้านล่างไว้ให้ดี เพราะด้านบนต้องให้อยู่ช่วงลำตัวขึ้นไปถึงศีรษะ ส่วนด้านล่างที่เรียกว่า Phalใช้นุ่งอย่านุ่งสับล่างสับบน
ระบบSati
Satiหมายถึงผู้หญิงที่มีความเชื่อมั่นต่อประเพณี คือผู้หญิงในวรรณะสูงต้องทำอัตวินิบาตกรรม ในพิธีเผาศพของสามีตัวเอง เพื่อที่จะได้ชื่อว่าเป็นผู้รักษาประเพณีอย่างเคร่งครัด ผู้หญิงวรรณะสูงต้องแต่งงานเมื่ออายุยังเยาว์ และน้อยคนที่จะได้กลับมาแต่งงานใหม่ หากเธอเป็นหม้าย
ระบบSatiเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๑(ค.ศ.๑๙๘๘)หรือราว๑๒ปีที่ผ่านมา ที่เมืองราชสถาน มีผู้หญิงชื่อRoop Kanwas ถูกเผาเพื่อรักษาระบบนี้ อนึ่งในราว พ.ศ.๒๑๕๘-๒๑๖๑(ค.ศ.๑๘๑๕-๑๘๑๘) เป็นสมัยที่ผู้หญิงปฎิบัติตามประเพณีSati กันมาก ในหลายๆเมือง โดยเฉพาะในเมืองโกลกาต้า(Kolkata)นิยมมากที่สุด แต่ทุกวันนี้ไม่มีใครปฏิบัติตามพิธีนี้อีก
*******************************************************************