9 พฤษภาคม 2553 13:10 น.

ขำ ขำ วันหยุดแบบกระต่ายใต้เงาจันทร์

กระต่ายใต้เงาจันทร์



อากาศร้อนมากๆเลยทำงานบ้างแบบเล่นบ้างตามประสาคนนิสัยดี

เลยอยากเขียนให้ขำ   แก้ง่วงให้ตัวเองนะคะ

อากาศร้อนทำไงถึงหายร้อน     กระต่าย

ว๊าว  ...ง่ายนิดเดียวใส่ทองจิ   เพราะทองไม่รู้ร้อน

ทานข้าวอิ่มแล้วง่วงนอนจังขึ้นมาตอนบ่าย  ทำไงกระต่าย

ว๊าว...ง่ายนิดเดียว..เอางานตัวเองให้คนอื่นทำ   แล้วก็เขียนขอบตาวงกลมให้ดำๆทั้งสองข้างหาแว่นใส่ ที่มีรูปคนลืมตาน่ะ แล้วตัวเองก็แอบหลับ   คร๊อกฟี๊....  คร๊อกฟี๊...


พอนอนแล้วหาเรื่องอู้งานนั่งมากๆก็เบื่อ    หาเรื่องเดินไปเดินมา     
ไปแซวเพื่อนที่ทำงาน   ด้านคอมพิวเตอร์    ขอเตือนเลย   คนจบคอม   เดี๊ยวนี้  อันตราย    ยิ่งนักโปรแกมเมอร์  ยิ่งต้องระวัง

อ้าวเหรอ   ....เพราะอะไรกระต่าย....

ว๊าว...ก็คนตายกันเยอะ     นายทะเบียนข้างบนลงทะเบียนไม่ทัน
มัวแต่เขียนๆ   เลยมองหา  คนเก่งคอมพิวเตอร์อยู่ให้ไปช่วยงานน่ะสิ

เดินไปเดินมา   เดินเลยไปถึง  ห้องเรียนพระนิสิต
มนัสการเจ้าคะ   ทักไป

มีคำถามลอยมา    โยมอาจารย์กระต่าย    สวดมนตร์  แบบทั่วไปสวดยังไง   ไม่ใช่   พนมมือ    วันทา   อภิวาท
ว๊าว    ....ตอบไป.....    ถ้าแบบคนใต้น่ะ
ยะลา    ปัตตานี    นราธิวาส
ถ้าแบบคนไปวัด

แม่ชี     นินทา       เจ้าอาวาส

เดินต่อไปอีก   ไปเจอนิสิตฆราวาส  ที่ชอบเล่นกล์อฟ   นั่งอยู่ในห้องนั่น
สวดมนตร์  อิมิตา  สักเรนะ 
 
มาทัก  สวัสดีครับ  อาจารย์   กระต่าย

สวดมนต์ดีเหมือนกัน  แต่ก๊วนนักกล์อฟจะสวดกันอีกอย่าง  อาจารย์อยากรู้ไหมครับ
ว๊าว...คงแบบนี้สิค่ะ ....   อีนี่มา   จัดการเลยน่ะ

ว่าแระกลับห้องที่ทำงานดีกว่า   กวนเค้าทุกห้องแล้วน่ะกระต่าย...แฮะ....แฮะ....

				
6 พฤษภาคม 2553 20:14 น.

หน้าใหญ่จนจมไม่ลง

กระต่ายใต้เงาจันทร์

หน้าใหญ่จนจมไม่ลง				
4 พฤษภาคม 2553 10:04 น.

ความธรรมดาที่ไม่ธรรมดา

กระต่ายใต้เงาจันทร์



ในตัวตนคนเรา  มักยอมรับในสิ่งที่ชอบ และใช่     และเกิด  ความพึงพอใจ  แต่ถ้า  เมื่อไร   เราเรียนรู้  ความไม่ชอบ    และปฎิเสธ  ในสิ่งที่เราไม่ชอบ  ไม่ยอมรับ    และกล้าก้าวออมาในสิ่งเหล่านั้น   ไม่ยึดติด  กับ อารมณ์สุข  ทางกาย   ความสุขสบาย    ฟุ้งเฟ้อ   ห่วงหน้าตา    และลาภยศ  ในสิ่งที่คนอื่นหยิบยื่นให้  ทำให้ตกเป็นทาสสิ่งเรานี้


ไม่กล้าเพราะ  กลัวหนทางข้างหน้า   กลัวการเปลี่ยนแปลง  รู้สึกว่า  ช้าหรือสายเกินไป  สำหรับชีวิต   แต่ถ้า  เราตั้งเป้าหมาย  และมองสิ่งนั้นเป็นเรื่องธรรมดา   และเมื่อ  ถึงจุด   ในความ  ไม่ชอบ  และปฎิเสธ นั่นเอง  เป็นการเริ่มต้น  ของ  การต่อสู้    อีกครั้ง

ฉันคิดเสมอ  และวางแผน  ชีวิตเสมอ  ตั้งแต่วัยเด็ก  จนเติบใหญ่  แต่ฉัน ลืมไป  ตอนนั้น    ว่า   โลกนี้ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงแม้ว่า  คุณคิดว่า  คุณทำดีที่สุดแล้วก็ตาม


ในกระบวนการคิด  คงมีพลังลี้ลับ   และกระบวนการรักษาเยียวยาตัวเอง    ไม่ว่า  เจอเรื่องเลวร้ายเพียงใด     ฉันมักจะหาเหตุผลที่ดีมารองรับเพื่อให้ทุกข์
 

 น้อยลง   คนเราทำได้ทุกคน    ถ้าเรา   หาเหตุผลกับสิ่งนั้นไม่เจอ   น่าจะหาทางแก้ไขโดยสติ    และคิดซ้ำๆเสมอว่า   เราสามารถผ่านช่วงนี้ไปได้   ต้องมีแต่สิ่งดีๆเกิดขึ้นในชีวิตในเมื่อเราไม่เคยทำสิ่งที่ไม่ดี     ตั้งใจกระทำแต่สิ่งดี  

  กระบวนการคิดของคน  ทางจิตวิญญาณจะมีพลังดึงดูดถ้าเราซึมซับและคิดแต่สิ่งที่ดีเข้าหา    และ   ผลักสิ่งที่ไม่ต้องการออกไป

คงเหมือนการทำอะไรซ้ำๆ  เช่น  คนชอบซุบนินทา   กระทำอยู่ทุกวัน    ทำจนเป็นนิสัย  จนเป็นความเคยชินเลยกระทำอยู่เช่นนั้น

คงเหมือนคนติดเหล้า  ต้องดื่มทุกวัน  เพราะคิดว่า   ต้องดื่ม  นั่นติดในอารมณ์เสียมากกว่าเพราะคิดไปเอง

อารมณ์โกรธเป็นสิ่งหนึ่ง   ทำยังไงให้เรา  โกรธน้อยลง    พอโกรธต้องคิดแล้ว   เครียด     อยากตะโกน  ปากคอสั่น   มือสั่น   หายใจรัวและเร็วเหนื่อยและโทรมง่าย    เราต้องคิดแล้ว  ถ้าตัวเราเองไม่เจอคนแบบนี้  เราอยากเจอไหม    อยาก

โดนไหม   อยากคุยด้วยไหม  สิ่งสำคัญ  โกรธแล้วแก่เร็ว    ความชรามาหาเราไวขึ้น   ไม่เห็นประโยชน์อะไรตรงนี้เลย   คนขี้โมโห    อาจมาจากหลายปัจจัย 
  ก่อนอื่นเราต้องดูตัวเองก่อน  ว่า   เรายึดติดเรายึดติดในตัวตนความคิดตัวเองมากไปรึปล่าว

สิ่งสำคัญต้องเอาใจเขามาใส่ในเรา

ไม่มีอะไรที่คนเราเปลี่ยนแปลงไม่ได้ถ้าคุณกล้าพอ

แต่คุณต้องซื่อสัตย์และตั้งมั่นและกระทำอย่างต่อเนื่อง   จักรวาลคงกำหนดเวลาความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่ตัวคุณเอง

เราต้องรักและเคารพนับถือความคิดตัวเองในการกระทำที่ถูกต้อง  แต่อย่าหลงตัวเอง ถ้าเรารักและนับถือตัวเองเมื่อไร   ฉันคิดว่าการรักคนอื่นไม่ใช่เรื่องยากมันเกิดขึ้น  โดยอัติโนมัติ

แต่ในสิ่งมีชีวิตทุกสิ่ง  ย่อมทำผิดพลาดได้เสมอเพราะ   มัน  เป็นธรรมชาติที่จัดสรรลงมา    เราคงต้องมาเรียนรู้   การ  ปล่อยวาง      ยอมรับ   และ  อภัย     คำหลังคงทำได้อยากที่สุด  เพราะเรามักคิดเสมอ  ว่าในเมื่อมีคนอื่นทำร้ายเรา  เราทำไมต้องดีด้วย    มันต้องตาต่อตา  ฟันต่อ   ฟันสิ     ร้ายมาก็ร้ายไป    ดีมาก็ดีไป
ฉันใช้เวลาเรียนรู้  และทำว่า  ให้อภัย   มาหนึ่งปีเต็มๆจึงทำได้

ฉันไม่เคยรู้ว่าสิ่งที่ฉันกระทำและหาเหตุผลมารองรับรักษาเยียวยาตัวเองนั่นคือ  หลักธรรมมะ  จนฉันได้   นั่งสมาธิและปฎิบัติธรรม

นั่นจึงเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับทุกคน   เพราะฉันคิดว่า  ทุกคน  ย่อมมีธรรมมะอยู่ในใจ   มนุษย์คงมีสองขั้วเหมือนขั้วไฟฟ้า  คือ   บวกและลบ
อยู่ที่ฝ่ายไหนขึ้นมาควบคุมและเหนือจิตใจเราก็เท่านั้น

บางครั้งความถูกต้องก็ทำให้เราต้องสูญเสียอะไรมากมาย  แต่เราต้องฝึกและบังคับให้มันเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางชีวิตที่ดี    ด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธา

คงเหมือนการให้อภัย     เราให้อภัย    เสียอะไรไปบ้าง     เสียเงิน  เสียทองนั่นไม่ใช่เพราะ   หลายคนคงเสียไปแล้ว

แต่เราได้อิสระ   อิสระทางความคิด     ความเคียดแค้น      จากกองไฟที่เผาไหม้ใจเราเอง  ใช่ว่า  คนที่เราแค้น  จะทุกข์กับเรา  เขาเหล่านั้นอาจกำลังมีความสุข    เรา  โง่หรือบ้าแน่   ที่   ยังทุกข์    โกรธ   แค้น

อดีตเราย้อนไปแก้ไขไม่ได้    เราจึงต้องเรียนรู้การให้อภัย      และเมตตา   ยากค่ะ   ข้อนี้  แต่ถ้าใครหรือคุณทำได้   คุณจะหลับอย่างเป็นสุข      หน้าตาสดใส    รู้สึกจิตใจโล่ง   โปร่งสบาย   ตอนแรก   ต้องฝืนตัวเองสักนิด   แต่ทำบ่อยๆจนเคยชินสิ่งนี้จะเกิดขึ้นในอัติโนมัติ

ทุกคน  มีภาระ   มีหน้าที่   กับสังคมและครอบครัวทำอย่างไรให้ชีวิตสมดุลย์และมีความสุขแค่วันนี้  เราคิดดี  ทำดี    เราก็ถือว่าเราได้ทำบุญที่ยิ่งใหญ่แล้ว      การปฎิบัติธรรม  ทำสมาธิ  เราทำที่บ้านก็ได้  ที่ทำงาน     หรือที่ใดๆ     มีเวลาแค่ไหนก็ทำเท่านั้น    ค่อยๆเป็นไป   สิ่งสำคัญคือ   ใจเราต้องปฎิบัติ

				
28 เมษายน 2553 13:23 น.

ตำนานพระอุปคุต

กระต่ายใต้เงาจันทร์

พระอุปคุตเกิดหลัง พระพุทธเจ้า เสด็จปรินิพพานแล้ว ประมาณ พ.ศ. 218 ปี แต่ไม่ทราบ ภูมิเดิมของท่านละเอียด ว่าเป็นบุตรของใคร เกิดในวรรณะอะไร และที่ไหน  
จากการสันนิษฐานตามตำนาน พระเถระอุปคุต น่าจะเป็นชาวเมืองปาตลีบุตร เมื่อบวชแล้วบำเพ็ญเพียร จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ สำเร็จอภิญญาต่างๆ จนสามารถแสดงอภินิหาร เป็นที่เล่าลือมาจนทุกวันนี้ มีปฏิปทาดำเนินไปในทางสันโดษ มักน้อย นัยว่าท่านเนรมิตเรือนแก้ว (กุฏิแก้ว) ขึ้นในท้องทะเลหลวง (สะดือทะเล)   แล้วก็ลงไปอยู่ประจำ ที่กุฏิแก้วตลอดเวลา เมื่อมีเหตุเภทภัยเกิดขึ้นในพระศาสนา หรือเมื่อมีพิธีกรรมใหญ่ๆ หรือมีผู้นิมนต์ ท่านก็จะขึ้นมาช่วยเหลือ ด้วยความเต็มใจเสมอ 
	สรุปรวมความได้ว่า ท่านเป็นพระเถระสำคัญองค์หนึ่ง ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช (ผู้นำกองทัพธรรมแผ่กระจายไปทั่วโลก) เป็นพระเถระผู้เปี่ยมด้วยพุทธานุภาพ และฤทธิ์เดชเกรียงไกร สามารถปราบพญามารและกำจัดสิ่งชั่วร้าย ที่จะมาทำลายพิธีกรรมใหญ่ ๆ มาแต่ครั้งโบราณ
 	เรื่องราวก็มีอยู่ว่า เมื่อประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ 2 หลังพุทธปรินิพพาน ณ นครปาตลีบุตราชธานี (ปัจจุบันคือเมืองปัตนะ ภาคใต้อินเดีย) พระเจ้าอโศกมหาราช ผู้ครองราชสมบัติในขณะนั้น ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ตามตำนานกล่าวว่า ได้ทรงสร้างพระวิหารและพระสถูป มากมายทั่วทั้งชมพูทวีป (เค้าว่ามากถึงแปดหมื่นสี่พันองค์) เป็นผู้รวบรวมและขุดค้นพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อจะนำไปบรรจุในสถูปที่พระองค์ทรงสร้างไว้ทุกแห่ง 
 	เมื่อการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระองค์ก็ทรงปรารภ ที่จะจัดให้มีการฉลองสมโภช พระสถูปเจดีย์ทั้งหมดนั้น เป็นการมโหฬารยิ่ง ตลอด 7 ปี 7 เดือน 7 วัน และเพื่อให้การฉลองสมโภช เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ปราศจากอุปสรรค จึงใคร่จะอาราธนาพระสงฆ์ขีณาสพ ที่ทรงอิทธิฤทธิ์ มาเป็นผู้คุ้มครองงาน ให้ปราศจากการรบกวนจากมารร้ายต่าง ๆ 
 	แต่พระสงฆ์ในนครปาตลีบุตร ไม่มีรูปใดที่จะสามารถ เป็นผู้คุ้มครองงานมหกรรมอันยิ่งใหญ่นี้ ให้พ้นจากภัยทั้งหลายทั้งปวงได้ (โดยเฉพาะภัยจากพญาวัสสวดีมาร ผู้มีฤทธิ์ยิ่งกว่าภูตผีปีศาจทั้งหลาย) นอกเสียจากพระอุปคุตเถระผู้เดียวเท่านั้น พระสงฆ์ทั้งปวงจึงตั้งตัวแทน ๒ รูป ลงไปอาราธนาพระอุปคุตเถระผู้เรืองฤทธิ์   มาช่วยรักษาความปลอดภัย ในงานสมโภชครั้งนี้ ซึ่งกล่าวกันว่า พระอุปคุตเถระองค์นี้ มีปกติสันโดษอยู่องค์เดียว เข้าฌานสมาบัติเสวยวิมุตติสุข อยู่ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ภายในปราสาทแก้วที่เนรมิตขึ้น เหนือรัตนะบัลลังก์ จะออกจากสมาบัติ เหาะขึ้นมาบิณฑบาต ในโลกมนุษย์ ในวันพุธเพ็ญกลางเดือนเท่านั้น และในครั้งนี้เอง พระอุปคุตเถระ ถูกพระภิกษุสองรูป ผู้ได้อภิญญาสมาบัติ ชำแรกมหาสมุทร ลงมาถึงตัวท่านแจ้งว่า ให้ท่านจงเป็นธุระ ป้องกันพญามารอย่าให้รบกวนงานฉลองพระสถูปเจดีย์ ของพระเจ้าอโศกมหาราชได้ 
 	เมื่อพระอุปคุตเถระได้รับนิมนต์ ก็เดินทางมานมัสการ และรายงานตัวต่อคณะสงฆ์ในวันรุ่งขึ้น พระเจ้าอโศกมหาราช จึงได้เสด็จเข้ามานมัสการคณะสงฆ์ เพื่อขอทราบเรื่อง ผู้จะที่จะมาทำหน้าที่รักษาการ งานฉลองสมโภชพระสถูปเจดีย์ เมื่อพระองค์ทรงทราบ ว่าผู้ที่จะมาทำหน้าที่นี้ คือพระอุปคุตเถระ   ก็ทรงนึกแคลงพระทัย เนื่องจากพระอุปคุตเถระนั้น มีร่างกายผ่ายผอมดูอ่อนแอ ก็ทรงไม่แน่ใจ เกรงจะทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์ แต่ไม่ทรงตรัสว่ากระไร 
 	ครั้นรุ่งเช้าวันใหม่ ขณะที่พระอุปคุตหาเถระ ออกบิณฑบาตในนครปาตลีบุตรนั้น พระเจ้าอโศกมหาราช ใคร่จะทดสอบฤทธิ์พระเถระ   จึงทรงปล่อยช้างซับมัน (ช้างตกมัน) ให้เข้าทำร้ายพระเถระ พระมหาอุปคุตเถระเห็นดังนั้น จึงสะกดช้าง ที่กำลังวิ่งเข้ามา ให้หยุดอยู่กับที่ ไม่ไหวติงประดุจช้างที่สลักด้วยศิลา พระเจ้าอโศกมหาราช ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็ทรงเลื่อมใส จึงเสด็จไปขอขมาพระเถระ พระมหาอุปคุตเถระ ก็ให้อภัยทั้งแก่พระเจ้าอโศกมหาราช และพญาคชสาร
 	เมื่อเห็นว่าพระอุปคุตเถระ มีฤทธิ์เดชมาก พระเจ้าอโศกมหาราช ก็ทรงวางพระทัย   ตรัสสั่งให้เตรียมฉลองสมโภช พระสถูปเจดีย์ทั้งหมด ด้วยการปลูกปะรำร้านโรง ประดับธงทิว และประทีปโคมไฟ ตลอดระยะทางกึ่งโยชน์ ทำให้ตามแนวฝั่งแม่น้ำคงคา สว่างไสวไปทั่วทั้งบริเวณ บรรลุฤกษ์งามยามดีตามที่กำหนดไว้ บรรดาพระสงฆ์ขีณาสพ และพระสงฆ์ปุถุชน ตลอดจนพุทธศาสนิกชน ทั้งในนครปาตลีบุตร และต่างแดนจากจตุรทิศ ก็เริ่มหลั่งไหลเข้าสู่บริเวณงาน พร้อมเครื่องสักการบูชา เพื่อร่วมพิธีฉลองสมโภช พระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุอยู่ในมหาเจดีย์   และเจดีย์ ทั้งแปดหมื่นสี่พันองค์ ด้วยความเลื่อมใส ศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง และในเวลานี้เอง พญามาร (พญาวัสสวดีเทพบุตรมาร) ก็มุ่งหน้าเข้ามาในงานกับเค้าเหมือนกัน ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะก่อความวุ่นวาย ต่างๆ นานา ทั้งบันดาลให้เกิดลมพายุ ทั้งแปลงร่างเป็นสัตว์ป่า และสัตว์หิมพานต์ แต่ทุกครั้งก็โดนพระอุปคุตเถระ กำราบได้หมด และสุดท้าย เพื่อให้พญามาร ออกไปจากบริเวณพิธี พระอุปคุตเถระ จึงเนรมิตร่างหมาเน่าขึ้นมาตัวหนึ่ง แล้วดึงประคตจากเอวของท่าน ออกมาผูกร่างหมาเน่านั้น คล้องคอพญามารไว้ แล้วสำทับว่าไม่ว่าใครก็ตาม (นอกจากท่านเอง) จะเอาหมาเน่านี้ออก จากคอพญามารไม่ได้ แล้วขับพญามารออกไป จากบริเวณงานทันที 
 	ด้วยความอับอาย พญามารก็ออกมาจากบริเวณงาน และพยายามแก้ร่างสุนัขเน่า ออกด้วยฤทธานุภาพ แต่ทำอย่างไร ก็ไม่สามารถแก้ได้ เพราะเมื่อเอามือทั้งสอง ต้องสายประคตที่คล้องคอทีไร ต้องมีไฟลุกขึ้นไหม้คอ และมือทันที สุดจะแก้ไขด้วยตนเองได้ ก็ไปหาที่พึ่งอื่น (ที่คิดว่าน่าจะช่วยได้) แต่ถึงแม้จะไปหาท้าวมหาราชทั้งสี่ พระอินทร์ ท้าวยามา ท้าวสันดุสิต ท้าวนิมิตเทวราช ตลอดจนท้าวสหัสบดีพรม ก็ไม่มีใครสามารถช่วยได้ ต่างได้แต่แนะนำว่า ให้พญามารไปขอขมา และขอความเมตตา จากพระเถระผู้นั้นเสียดีกว่า
 	พญามารเห็นดังนั้น จึงจำใจต้องกลับไปหาพระเถระ อ้อนวอน ให้ช่วยเอาซากหมาเน่าออกจากคอให้ แล้วจะไม่มารบกวน การจัดงานอีก พระอุปคุตเถระก็อนุโลมตาม แต่ยังไม่ไว้ใจพญามารนัก   เกรงพญามาร จะกลับมาทำลายพิธีในภายหลัง จึงเดินนำพญามาร ไปยังเขาใหญ่ลูกหนึ่ง แล้วเอาร่างหมาเน่าทิ้งลงเหว และเนรมิตให้สายประคตยาวขึ้น แล้วพันคอพญามาร ไว้กับเขาลูกนั้น พร้อมทั้งแจ้งว่า เมื่อเสร็จพิธีฉลองสมโภช พระมหาเจดีย์สิ้นสุดลงแล้ว   จึงจะแก้โซ่ออก ปล่อยให้พญามารเป็นอิสระ (7 ปี 7 เดือน 7 วัน) เวลาผ่านไปตามที่ตกลงกัน การจัดงานสมโภชน์ ก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี พระอุปคุตเถระ จึงกลับมาหาพญามาร โดยแอบอยู่ห่างๆ เพื่อฟังเสียงพญามารว่า ละพยศร้ายหรือยัง

 	พญามารเอง เมื่อจากทิพยวิมานอันบรมสุข มารับทุกขเวทนาเช่นนี้ ก็ละพยศร้ายในสันดาน หวนนึกถึงพระพุทธโคดม จึงกล่าวสดุดี ในความเมตตากรุณา ของพระพุทธเจ้า ในเรื่องที่ทรงมีมหากรุณาธิคุณ อันยิ่งใหญ่ว่า ทรงบำเพ็ญสิ่งอันเป็นที่สุดหามิได้ เป็นที่พึ่งพำนักแก่สัตว์โลกทั้งมวล ในกาลทุกเมื่อ พระองค์นั้น เป็นผู้ประเสริฐหาผู้เสมอเหมือนมิได้ อนึ่ง   ในกาลก่อน ข้าพเจ้าได้ทำร้ายพระองค์ โดยประการต่างๆ แต่พระองค์ ก็ยังทรงมหากรุณาธิคุณ มิได้กระทำการโต้ตอบ แก่ข้าพเจ้าเลย มาบัดนี้ สาวกของพระองค์นามว่าอุปคุต ไม่มีเมตตาแก่ข้าพเจ้าเลย กระทำกับข้าพเจ้า ให้ได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส และได้รับความอับอาย เป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากว่าข้ายังมีบุญกุศล ที่ได้สั่งสมไว้แต่กาลก่อน ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐาน ปรารถนาเป็นพระสัพพัญญูในอนาคต ดังเช่นพระองค์ต่อไป
 	กล่าวได้ว่า การตกระกำลำบากในครั้งนี้ ทำให้พญามาร ซึ่งความจริงแล้ว ในอดีตชาติ (ในยุคของพระกัสสปพุทธเจ้า) เคยมีจิตตั้งมั่น ที่จะบำเพ็ญเพียร ให้ได้เป็นพระพุทธเจ้าเช่นกัน แต่ที่ได้กระทำการขัดขวาง พุทธศาสดาของพระพุทธโคดม ก็ด้วยความริษยา พระพุทธโคดม (มีมิจฉาทิฐิ) เนื่องด้วยพระองค์ ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก่อนตน ทั้งๆ ที่ตนบำเพ็ญบารมี มามากพอสมควรเหมือนกัน แต่การกระทำในแต่ละครั้ง ก็มิได้ล่วงเกิน ทำบาปหนักแต่ประการใด 
 	เมื่อพระอุปคุตเถระ ได้ยินคำปรารภดังนั้น ก็เห็นว่าพญามารสิ้นพยศแล้ว จึงแก้โซ่ออก ปล่อยให้พญามารเป็นอิสระ พร้อมทั้งขอขมาพญามาร และบอกว่า การกระทำครั้งนี้ ก็เพื่อให้พญามาร ระลึกได้ถึงพุทธภูมิ ที่ท่านเคยปรารถนาไว้เท่านั้นเอง มิได้มีเจตนา ที่จะล่วงเกินประการใด ซึ่งพญามารก็เข้าใจด้วยดี 
 	ต่อจากนั้นพระเถระ ก็ได้ขอให้พญามาร เนรมิตกาย เป็นพระพุทธองค์ เพื่อจะได้เห็น เป็นพุทธานุสติบ้าง ซึ่งพญามารก็รับคำ แต่ขอร้องว่า เมื่อเห็นเขาเนรมิตกาย เป็นพระพุทธองค์แล้ว อย่าหลงกราบไหว้เป็นอันขาด เพราะจะให้เขาบาปหนัก 
 	ครั้นเมื่อพญามารเนรมิตกาย เป็นพระพุทธเจ้า ประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ และฉัพพรรณรังสี อันวิจิตร มีพระอัครสาวกเบื้องซ้าย เบื้องขวา แวดล้อมด้วย มหาสาวกทั้งหลายเป็นบริวาร เสด็จเยื้องย่าง ด้วยพุทธลีลาอันงดงามยิ่ง พระเถระ และบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย เห็นเช่นนั้น ก็ลืมตัวพากันถวายนมัสการ ทำเอาพญามารตกใจ รีบคืนร่างเดิม และท้วงติงว่า ทำให้ตนมีบาปหนัก แต่พระเถระ ก็กล่าวให้พญามารสบายใจว่า ทุกคนกราบไหว้พระพุทธเจ้า และพญามารก็ไม่บาปหรอก จะได้กุศลมากกว่า 
 	จากนั้นพญามาร ก็กลับคืนสู่สวรรค์ ชั้นที่ 6 วิมานของตน และนับแต่นั้นมา พญามารได้มีจิตอ่อนน้อมเลื่อมใส ในพระพุทธศาสนา หมดสิ้นน้ำใจริษยา และบำเพ็ญบารมี เพื่อพุทธภูมิต่อไป 				
22 เมษายน 2553 21:43 น.

วิธีปราบผู้ชายเจ้าชู้

กระต่ายใต้เงาจันทร์



ก่อนอื่น  "ถ้าไม่แน่จริง...อย่ามีแฟนเจ้าชู้"   อย่าคิดว่าตัวเองแน่  ไม่ว่าคุณจะสวยเริ่ดสูงส่งแค่ไหน  นางงามจักรวาลก็ถูกผู้ชายเจ้าชู้เขี่ยทิ้งมาแล้ว  ขอบอก

สำหรับคนที่มีแฟน/สามีเจ้าชู้แล้ว   มันหลวมตัวไปแล้ว  เลิกก็เลิกไม่ได้ จะทำไง...

คุณต้องรู้จักเรียนรู้ที่จะอยู่กับผู้ชายเจ้าชู้ค่ะ   

ไม่ต้องไปสืบสาวหาสาเหตุหรอกค่ะว่าทำไมเขาจึงเจ้าชู้ มันจะเกิดจากพันธุกรรมหรือจากการแพ้ยาบางชนิด ...ก็ช่างศีรษะมัน   ให้คุณเข้าใจเพียงว่า  "ความเจ้าชู้"  เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นได้และเปลี่ยนแปลงยากมาก.. ก็พอแล้ว

ยกตัวอย่างง่ายๆละกัน
สมมติว่าเขากลับบ้านดึกเพราะไปเที่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่ง  คุณรู้..แต่เขาโกหกคุณว่าติดประชุม   

- ถ้าคุณโกรธ  แต่ไม่พูดอะไร ---> ยอมทน  
- ถ้าคุณโกรธ  โต้กลับอย่างดุเดือด -->  ยอมไม่ได้ 
- ไม่โกรธ และไม่โต้ตอบ  ทำงานอย่างอื่นต่อไปตามปกติ --->  ยอมรับ     

ไม่ต้องกลัวค่ะ..การยอมรับ ไม่ใช่เรื่องโง่  เพราะ "คุณรู้"  ว่าเขาโกหก  ถ้าครั้งต่อไปเขามาขอเงินคุณไปเที่ยวผู้หญิงคุณก็จะปฏิเสธเพราะ...คุณรู้  แต่ถ้าคุณให้เงินเขา..นั่นค่อยเรียกว่า  "โง่ " ค่ะ

กรณีที่ยกตัวอย่างมา  ถ้าคุณผู้หญิงบางคนอยากโต้ตอบเขาก็อย่าให้ดุเดือด   คุณอาจพูดว่า  "ดิฉันเจอคุณกับน้องเกิบที่ผับ  ท่าทางสนุกก็เลยไม่อยากรบกวน  วันหลังอย่ากลับดึกนักนะคะ  ลูกไม่ได้เจอหน้าคุณเป็นเดือนแล้วค่ะ"

ดิฉันเจอคุณกับน้องเกิบที่ผับ  ---> ให้เขารู้ว่าคุณรู้  เพื่อให้เขาโกหกน้อยลงหรืออาจระวังมากขึ้นถ้าคิดจะโกหกอีก (ฮ่า..)   อย่าโต้ตอบแบบนี้ถ้าคุณไม่ได้เจอเขาด้วยตา  เพราะมันจะขึ้นต้นด้วย "เพื่อนดิฉันบอกว่าเจอคุณกับน้องเกิบที่ผับ.."  แบบนี้ไม่น่าเชื่อถือค่ะ  ฟังคนอื่นเล่ามา  แสดงว่าคุณหูเบา   เขาเองก็จะโกหกต่อไปเพราะรู้ว่า "คุณยังจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน"

ท่าทางสนุกก็เลยไม่อยากรบกวน --->  แสดงให้เขารู้ว่า คุณให้เกียรติเขา  เขาก็ควรจะให้เกียรติคุณเช่นกัน

วันหลังอย่ากลับดึกนักนะคะ  ลูกไม่ได้เจอหน้าคุณเป็นเดือนแล้วค่ะ" ---> บอกข้อเท็จจริงเพื่อให้เขาตระหนักว่าพฤติกรรมของเขาอาจส่งผลกระทบต่อจิตใจของคนที่เขารัก  

โต้ตอบสั้นๆก็พอค่ะ  โดยโต้ตอบเมื่อคุณต้องการให้เขาลดพฤติกรรมลงบ้างเมื่อคุณเห็นว่ามันกำลังเกินขอบเขต  แต่อย่าไปคาดหวังว่าเขาจะเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง

แต่ถ้าเป็นนิยามแบบกระต่ายใต้เงาจันทร์ที่คิดแบบสนุกๆเล่นๆคงเพิ่มเติมข้อคิดได้อีกดังนี้ค่ะ


ถ้ามีแฟนเจ้าชู้จะให้กิน ผงชูรสมากกเอาให้มันหัวล้านก่อนวัยอันควร ผู้หญิงไม่แล 
จากนั้นก็ให้กินอาหาร junk foods เยอะๆ ไขมันเยอะ ขุนให้อ้วนจน ตรงนั้นใช้การไม่ได้ อ้วนๆๆๆๆ 
คิดว่าผู้ชายบางคนไม่มุ่งเรื่องอื่น   นอกจากทำสถิติจีบอย่างเดียวไว้คุยกับก๊วนเพื่อน   ปล่อยผีเข้าป่าไปค่ะ  ยึดเงิน   ยึดบัตรเครดิต   ยึดรถ  ให้มันไปตายเอาดาบหน้า


เรื่องจริงของผู้ชายที่ต้องเปลี่ยนไปผู้ชายเปลี่ยนไปได้ยังไง ขึ้นอยู่กับเวลาค่ะ ผู้ชายจะพูดอย่างนี้ เริ่มที่คำว่ารัก  หลังจากผ่านไป 6 สัปดาห์ ผมรักคุณ ผมรักคุณ ผมรักคุณ หลังจากผ่านไป 6 เดือน อ๋อ..แน่นอน ผมยังรักคุณอยู่เสมอ หลังจากผ่านไป 6 ปี ถามได้ ถ้าผมไม่รักคุณ แล้วผมจะมาแต่งงานกันคุณหาพระแสงของ้าวทำไมฟะ กลับจากทำงาน หลังจากผ่านไป 6 สัปดาห์ ที่รัก ผมกลับมาบ้านแล้ว หลังจากผ่านไป 6 เดือน กลับแล้ว หลังจากผ่านไป 6 ปี นี่..ทำกับข้าวหรือยังเนี่ย รับโทรศัพท์ให้ หลังจากผ่านไป 6 สัปดาห์ ที่รักจ๊ะ มีคนอยากคุยกับคุณนะ หลังจากผ่านไป 6 เดือน นี่คุณ โทรศัพท์คุณนะ หลังจากผ่านไป 6 ปี รับโทรศัพท์ซะทีซิฟะ ทำกับข้าว หลังจากผ่านไป 6 สัปดาห์ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคุณทำกับข้าวได้อร่อยขนาดนี้  หลังจากผ่านไป 6 เดือน แล้วเย็นนี้เราจะกินอะไรกันเนี่ย หลังจากผ่านไป 6 ปี กินของเก่าอีกแล้วหรือฟะ ชุดใหม่ หลังจากผ่านไป 6 สัปดาห์ ว้าว..คุณดูสวยยังกะนางฟ้าตอนสวมชุดนี้เลยนะนี่ หลังจากผ่านไป 6 เดือน คุณซื้อชุดใหม่อีกแล้วหรือนี่ หลังจากผ่านไป 6 ปี ซื้อมาเท่าไหร่ละเนี่ย โทรทัศน์ หลังจากผ่านไป 6 สัปดาห์ ที่รักจ๊ะ..คืนนี้เราจะดูรายการอะไรกันดี หลังจากผ่านไป 6 เดือน ผมชอบหนังเรื่องนี้ หลังจากผ่านไป 6 ปี ผมจะดูแผ่นผี ถ้าคุณไม่ชอบก็ขึ้นไปนอนซะ ผมจัดการ    เองได้ การเมคเลิฟ หลังจากผ่านไป 6 สัปดาห์ ที่รักจ๊ะ..คืนนี้ผมอยากนอนกอดคุณจัง หลังจากผ่านไป 6 เดือน ไว้วันหลังก็แล้วกันนะ ผมเหนื่อยมากแล้ว หลังจากผ่านไป 6 ปี นี่ขยับไปฝั่งโน้นได้ไหม เหม็นเบื่อจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว. 

ข้อสุดท้าย   ถ้าผู้หญิงรักผู้ชายมากกว่าตัวเองก็ไม่รู้จะพูดว่าอย่างไร    นอกจาก   ทนไม่ได้    เป็นยอมทน   ผลสุดท้าย   ต้องยอมรับในที่สุด


				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกระต่ายใต้เงาจันทร์
Lovings  กระต่ายใต้เงาจันทร์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกระต่ายใต้เงาจันทร์
Lovings  กระต่ายใต้เงาจันทร์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกระต่ายใต้เงาจันทร์
Lovings  กระต่ายใต้เงาจันทร์ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงกระต่ายใต้เงาจันทร์