7 พฤศจิกายน 2554 00:02 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
เนื่องด้วยนักศึกษาโปรแกรมวิชารัฐประศาสตรศาสตร์มหาบัณฑิต รุ่นที่7และ8 คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยภัฎเชียงราย ได้เรียนวิชาสัมมนาวิชาการจากรองศาสตราจารย์ ประกายศรี ศรีรุ่งเรื่อง คณบดีสำนักบริหารรัฐกิจมหาวิทยาลัยภัฎเชียงราย เห็นว่าปัญหาเรื่องน้ำท่วมเป็นปัญหาสำคัญระดับประเทศที่ส่งผลกระทบทุกภาคส่วนในเรื่องของเศรษฐกิจจึงได้จัดงานสัมมนาวิชาการขึ้นเพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานทราบถึงสภาวะเศรษฐกิจไทย แลกเปลี่ยนเรียนรู้และเผยแพร่วิชาการด้านเศรษฐศาสตร์จนสามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันและเป็นการประชาสัมพันธ์มหาวิทยาลัยในด้านการพัฒนาบุคลากรทางวิชาการอีกทางหนึ่งจึงขอเรียนเชิญท่านผู้ที่สนใจร่วมงาน
การปาฐกถาพิเศษ เรื่อง ทิศทางเศรษฐกิจไทยหลังภัยพิบัติน้ำท่วม
โดย พณฯ สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2554 เวลา 10.00 น- 12.00 น
ณ.ห้องประชุมพะยอม มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย
( ผู้เข้าร่วมงานไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น)
''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''
กำหนดการ
เวลา 09.00 น.-9.30 น. ลงทะเบียนรับเอกสาร
เวลา 9.30 น.-10.00 น. พิธีเปิดการสัมมนาโดย
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.มานพ ภาษิตวิไลธรรม
เวลา 10.00 น-11.30น. ปาฐกถาพิเศษ เรื่องทิศทางเศรษฐกิจไทยหลังภัยพิบัติน้ำท่วม
โดย พณฯ สุชาติ ธาดาธำรงเวช
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
เวลา 11.30น-12.00น. .ตอบข้อซักถาม
กล่าวขอบคุณและมอบของที่ระลึกโดย
รองศาสตราจารย์ ประกายศรี ศรีรุ่งเรื่อง คณบดีสำนักบริหารรัฐกิจมหาวิทยาลัยภัฎเชียงราย
ปิดการสัมมนา
หมายเหตุ ( ผู้เข้าร่วมงานสัมมนาวิชาการ ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น)
23 ตุลาคม 2554 16:05 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
จากการที่ได้มีโอกาสไปบรรยายธรรมที่สถานพินิจ ได้ให้หัวข้อกับเยาวชนที่นั่นไว้ว่าให้เขียนงานส่งในเรื่อง ผมจะเป็นคนดี โดยจะนำหนังสือที่มีลายเซ็นคุณวิสุทธิ์ ขาวเนียม เรื่อง ลมมลายู กับเพลงผีเสื้อของ ต้นกล้า อันดามัน ไปมอบให้ ทั้งหนังสือธรรมมะส่วนหนึ่ง เมื่อเด็กๆหายจากอาการ เป็นโรคตาแดง กระต่ายได้มีโอกาสเข้าไปบรรยายอีกครั้งกับดร.ฤทธิชัย แกมนาค ได้ สมุดที่เขียนบันทึกจากจากเด็กคนหนึ่งที่มีหลายๆคนเขียนไว้ในนั้นเล่มเดียวกัน
แต่มีเรื่องหนึ่งที่อ่านแล้วสะท้อนใจ เด็กผู้ชายคนหนึ่งเขียนว่า มาอยู่ที่นี่เพราะไปขโมยกล้องถ่ายรูปเพื่อนำเงินมาเป็นค่าเทอม เพราะตัวเองถูกพ่อแม่ทิ้งตั้งแต่เด็ก อยู่กับยาย มีความทุกข์มากในแต่ละวันเพราะไม่เคยมีใครมาเยี่ยม เคยมีแฟน พออยู่ในนี้ แฟนก็ทิ้ง ตัวเองอยู่ข้างนอก รับจ้างสร้างโบสถ์ หาเงินเลี้ยงตัวเองและยาย และเพื่อเรียนหนังสือ เด็กคนนี้จะบันทึกทุกวันหลังจากที่กระต่ายเข้าไปบรรยายแบบวันต่อวัน มีหลายส่วนที่ยกย่องเจ้าหน้าที่ในนั้นว่า ดูแลและแนะนำดี พร้อมทั้งมีความสุขมากเมื่อได้เรียนวิชาชีพ แต่ถ้าไม่มีอะไรให้เรียน จะทุกข์มากอยากออกไปจากที่นี่ พออาจารย์กระต่ายแนะนำว่า ถ้าใครมีความทุกข์ไม่มีที่ปรึกษาหรือใครมาเยี่ยมให้เขียนระบายใส่สมุดทุกวัน หรือถ้าไม่พอใจ หรือหงุดหงิดอะไรให้เขียนหรือขีดฆ่าจนกระดาษขาด แล้วค่อยๆๆทำให้เบาลง แล้วควบคุมอารมณ์ตามปกติ โดยฝึกในแต่ละวัน เด็กมาเล่าให้ฟังว่า ผมรู้สึกดีขึ้นมาก เป็นว่าเกือบเดือนที่ทำแบบนี้ เค้าจะเขียน คำว่า ผมจะเป็นคนดี ทุกวัน วันละหลายบรรทัด
กระต่ายไม่ได้คาดหวังอะไรจากการเขียนหัวข้อเรื่องที่ให้ การเขียนไปกับการลงมือทำ แต่อย่างน้อยก็ทำให้เด็กๆมีจิตใจที่ดีขึ้นเข็มแข็งขึ้นรู้ผิดชอบชั่วดีบ้าง
ในการบรรยายอีกเรื่องเป็นเรื่องในความมืดของสีขาว จะพูดถึงเปรียบเทียบดีและเลว ในการกระทำของคนที่เป็นเรื่องจิตใจและอารมณ์ เมื่อบรรยายจบให้เด็กเขียนหัวข้อมาส่งมีเด็กคนหนึ่งเขียนให้ข้อคิดว่า จงใช้จิตควบคุมอารมณ์ อย่าให้อารมณ์ควบคุมจิต เลยให้หนังสือ เพลงผีเสื้อไป หนังสือปกเป็นสีขาว เด็กๆชอบแบ่งกันดูเจ้าของที่ได้ พอใครยืมไปทีก็เอาหนังสือกลับมาเช็ดกลับชายเสื้อทีเพราะกลัวเปื้อนตัวเองเลยมองดูด้วยความเป็นสุขตรงนั้น
ส่วนลมมลายูเด็กผู้ชายคนนั้นที่ได้ไป อ่านข้อความ ที่คุณวิสุทธิ์ เขียนให้อยู่ตรงนั้นพร้อมดูหน้าปก และลายเซ็น ต์ เด็กๆอาจไม่รู้จักคะเพราะกระต่ายอยู่เหนือแต่หนังสือได้มาจากคนภาคใต้ แต่นั้นเป็นแรงกระตุ้นอย่างดีว่าในนั้นมีบทกลอนด้วย พร้อมแบ่งเพื่อนๆๆอ่าน ดูเด็กๆๆจะมีความสุขมากๆๆ
ความสุขหาง่ายถ้าเราพอใจและเต็มใจที่จะทำโดยไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้นและสิ่งสำคัญสิ่งนั้นคือ ความดี
กระต่ายใต้เงาจันทร์
21 ตุลาคม 2554
12 ตุลาคม 2554 23:25 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
เรื่องที่ ๒๓๖ ช้างชื่อปาเวรกะ
ช้างนั้น ในเวลาเป็นหนุ่มมีกำลังมาก ต่อมาอ่อนกำลังลงเพราะชราตัดทอน ลงไปสู่สระใหญ่แห่งหนึ่งแล้วก็ติดอยู่ในหล่มไม่สามารถจะขึ้นได้ มหาชนเห็นช้างนั้นแล้วจึงสนทนากันขึ้นว่า ช้างขนาดนี้ยังทุพพลภาพได้ พระราชาทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว ทรงบังคับนายหัตถาจารย์ให้ไปยกช้างนั้นขึ้นจากหล่ม เขาไปถึงที่นั่นแล้วก็แสดงการรบขึ้นให้ตีกลองรบขึ้น ช้างซึ่งเป็นเชื้อชาติสัตว์มีมานะก็ลุกขึ้นโดยเร็วและยืนอยู่บนบกได้ ภิกษุทั้งหลายเห็นเหตุนั้นแล้วจึงกราบทูลแด่พระศาสดา พระศาสดาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลายช้างตัวนั้นถอนตนขึ้นจากหล่มคือเปือกตมตามปกติก่อน ส่วนเธอทั้งหลายแล่นลงแล้วในหล่มคือกิเลส เพราะฉะนั้น แม้เธอทั้งหลายจงเริ่มตั้งความเพียรโดยแยบคายแล้ว ถอนตนขึ้นจากหล่มคือกิเลสนั้นเถิด
คติจากเรื่องนี้
ท่านทั้งหลาย จงยินดีในความไม่ประมาท จงตามรักษาจิตของตน จงถอนตนขึ้นจากหล่ม ประหนึ่งช้างที่จมลงในเปือกตม ถอนตนขึ้นได้ฉะนั้น ฯ
เรื่องที่ ๑๗๗ ปัญหาที่ภิกษุทูลถาม
เล่ากันว่า สมัยหนึ่งพระศาสดาเสด็จเข้าไปบิณฑบาต ในเมืองสาเกต พราหมณ์เฒ่าชาวเมืองสาเกตคนหนึ่ง กำลังเดินออกไปจากพระนคร พบพระทศพลในระหว่างประตูหมอบลงแทบเท้าพระองค์จับข้อพระบาทไว้มั่น พลางกล่าวว่า พ่อธรรมดาบิดามารดา ลูกชายพึงประคบประหงมในเวลาที่ท่านชราแล้วมิใช่หรือ แต่ทำไม่ พ่อจึงไม่แสดงตนให้ปรากฏแก่ข้าพระองค์สิ้นกาลประมาณเท่านี้ แล้วได้พาพระศาสดาไปสู่เรือน
ฝ่ายนางพราหมณีเห็นเช่นนั้น ก็มาหมอบแทบพระบาททั้ง ๒ ของพระองค์ ทูลว่า พ่อ พ่อไปไหนเสียนานถึงป่านนี้ แล้วสั่งให้บุตรธิดาถวายบังคมพระองค์ ด้วยบอกว่าพวกเจ้าจงมา จงถวายบังคมพี่ชาย
สามีภรรยาทั้งสองนั้น มีใจยินดีเลี้ยงดูพระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์ แล้วทูลนิมนต์ให้พระองค์มารับบาตรที่บ้านของตนเนืองนิตย์ แต่ว่า พระศาสดาเสด็จมาไม่ได้ จึงส่งภิกษุรูปหนึ่งมา
สองสามีภรรยาได้ถวายทานแก่พระพุทธเจ้าสิ้นกาลนานได้บรรลุอนาคามิผลแล้วภิกษุทั้งหลาย สนทนากันในโรงธรรมว่า ผู้มีอายุ พราหมณ์ชื่อโน้น รู้ว่าพระเจ้าสุทโธทนะเป็นพระบิดาของพระตถาคต พระนางมหามายาเป็นพระมารดาทั้งรู้อยู่อย่างนั้น พร้อมกับนางพราหมณีก็บอกว่าบุตรของเราฝ่ายพระศาสดาก็ทรงรับรองอย่างนั้นเหมือนกัน จักมีเหตุอะไรหนอ
พระศาสดาทรงสดับคำของภิกษุเหล่านั้น ได้ตรัสว่าสองสามีภรรยานั้น เมื่อก่อนนี้ได้เป็นบิดามารดาถึง ๕๐๐ ชาติติด ๆ กัน พวกภิกษุทั้งหลายจึงเชื่อ
ต่อมา พราหมณ์และนางพราหมณีทั้งสอง ได้บรรลุพระอรหันต์ผลแล้ว ปรินิพพานคราวนั้น ชนทั้งหลายได้ทำการสักการะอย่างมากมายแก่พราหมณ์ และนางพราหมณี พระศาสดาก็ได้เสด็จไป ณ ที่นั้น พอเสร็จจากการเผาศพของสองสามีภรรยาแล้ว ภิกษุทั้งหลายก็ทูลถามพระองค์ว่า ภพของพราหมณ์และนางพราหมณีนั้น เป็นอย่างไร พระเจ้าข้า
ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าอภิสัมปรายภพของพระอเสขมุนีผู้เห็นปานนั้น ย่อมไม่มี เพราะว่าพระอเสขมุนีเห็นปานนั้นย่อมบรรลุมหานิพพานอันไม่จุติ อันไม่ตาย แล้วจึงตรัสพระคาถานี้ว่า
มุนีเหล่าใด เป็นผู้ไม่เบียดเบียน สำรวมด้วยกายเป็นนิตย์ มุนีเหล่านั้นย่อมไปสู่ฐานะอันไม่จุติซึ่งเป็นที่คนทั้งหลายไปแล้ว ไม่เศร้าโศก
คติจากเรื่องนี้
ชาติก่อนกับชาตินี้ ไม่เหมือนกันเสมอไป ชาติก่อนเราอาจจะได้เป็นได้
แต่ชาตินี้ความหมุนเวียนแห่งสังขารเปลี่ยนแปลงไปตามเรื่องของมัน
เรื่องที่ ๑๒๓ พระนางมัลลิกาเทวี
เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่ง พระนางมัลลิกาเทวี เสด็จเข้าไปยั้งซุ้มสำหรับสรงสนาน ทรงชำระพระโอษฐ์แล้ว ทรงน้อมสรีระเริ่มจะชำระพระสงฆ์ มีสุนัขตัวโปรดตัวหนึ่ง เข้าไปพร้อมกับพระนาง มันเห็นพระนางน้อมลงเช่นนั้น จึงเริ่มจะทำอสัทธรรมสันถวะ พระนางทรงยินดีสัมผัสของมัน จึงได้ประทับยืนอยู่ พระราชาทรงทอดพระเนตรทางสีหบัญชรในปราสาทชั้นบน ทรงกิริยานั้น ในเวลาพระนางเสด็จมาจากซุ้มน้ำนั้น จึงตรัสว่า หญิงถ่อย จงฉิบหาย เพราะเหตุไรเจ้าจึงได้ทำกรรมเห็นปานนี้
หม่อมฉันทำอะไรพระเจ้าข้า พระนางทูลถาม ทำสันถวะกับสุนัข
นางปฏิเสธทันทีว่า นางมิได้ทำ เมื่อพระราชาไม่ทรงเชื่อ ก็กราบทูลว่า
ขอเดชะ ผู้ใดผู้หนึ่งเข้าไปซุ้มน้ำนี้ ผู้เดียวเท่านั้นก็ปรากฏเป็น ๒ คนแก่ผู้ที่แลดูทางสีหบัญชรนี้
พระราชาทรงทดลองดู พอพระองค์เข้าไปในซุ้ม และออกมา นางก็ตู่ว่าพระองค์ทำสันถวะกับนางแพะ พระราชาทรงเชื่อว่า ผู้เข้าไปซุ้มน้ำนี้ผู้เดียวย่อมปรากฏเป็น ๒ คนแน่
ฝ่ายพระนางมัลลิกา นับแต่วันนั้นมามีจิตหม่นหมองรำลึกถึงแต่กรรมที่ตนทำไว้ พอสิ้นพระชนม์ก็บังเกิดในอเวจีมหานรกถึง ๗ วัน การสิ้นพระชนม์ของพระนางยังความทุกข์โศกให้แก่พระราชาอย่างใหญ่หลวง เพราะพระนางเป็นที่โปรดปรานของพระราชามาก พอพระองค์จัดการพระศพของพระนางเสร็จไปแล้วก็เสด็จไปวิหาร เพื่อจะทูลถามที่เกิดของนาง แต่ว่า พระศาสดากลัวว่าท้าวเธอจะทราบว่านางเกิดอเวจี จึงทรงทำให้พระองค์ลืมเสียถึง ๗ วัน พอวันที่แปด นางมัลลิกาได้พ้นจากนรกไปบังดุสิตบุรี จึงบอกแก่พระราชา ผู้ทรงเสด็จมาทูลถาม พระราชาดีพระทัยเป็นอันมาก ตรัสว่า
พระเจ้าข้า เมื่อพระนางไม่เกิดในดุสิตภพ คนอื่นใครเล่าจะบังเกิด หญิงเช่นกับพระนางมัลลิกานั้นไม่มี เพราะในที่ที่พระนางนั่งเป็นต้น กิจอื่นเว้นการจัดแจงทานย่อมไม่มีเลย พระเจ้าข้า ตั้งแต่พระนางไปสู่ปรโลกแล้ว สรีระของหม่อมฉันไม่ค่อยกระปรี้กระเปร่า
อย่าคิดเลย มหาบพิตร พระศาสดาตรัส ความตายย่อมแน่นอนสำหรับสัตว์ทุกจำพวก แล้วตรัสถามถึงราชรถ เมื่อพระราชาทูลตอบ และทรงชี้ให้พระองค์ทราบว่า รถคันนั้นเป็นของพระเจ้าปู่พระชนกแล้ว พระองค์ก็ตรัสว่า
มหาบพิตร รถของพระเจ้าปู่ของมหาบพิตร เพราะเหตุไร จึงไม่ถึงรถของพระชนก รถของพระชนก ไม่ถึงรถของมหาบพิตร ความคร่ำย่อมมาถึง แม้แก่ท่อนไม้เห็นปานนี้ ก็จะกล่าวไปไยความคร่ำจักไม่มาถึงอัตตภาพนี้เล่า มหาบพิตร ความจริง ธรรมสัตบุรุษเท่านั้น ไม่มีความชรา ส่วนสัตว์ทั้งหลายชื่อว่าไม่ชรา ย่อมไม่มี แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า
ราชรถ ที่วิจิตรดี ยังคร่ำคร่าได้ อนึ่ง ถึงสรีระก็ย่อมถึงความคร่ำคร่าไม่ สัตบุรุษทั้งหลาย ย่อมปราศรัยกับด้วยสัตบุรุษ
คติจากเรื่องนี้
ในโลกนี้ มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่ไม่ตาย ไม่แก่ชรา นั่นก็คือ ธรรมของสัตบุรุษ
เรื่องที่ ๑๓๘ พระเจ้าสุทโธทนะ
เรื่องมีอยู่ว่า สมัยหนึ่ง พระศาสดาเสด็จไปกรุงกบิลพัสดุ์ เป็นครั้งแรก พระองค์ได้รับการต้อนรับจากพระญาติเป็นอันมาก เมื่อทรงแสดงธรรมทำลายมานะของเจ้าศากยะเหล่านั้นแล้ว ตรัสเวสสันดรชาดก จบลง พวกพระญาติทั้งหลายก็ถวายบังคมลากลับ โดยไม่มีสักพระองค์หนึ่ง แม้พระเจ้าสุทโธทนะเอง จะทรงนิมนต์รับภิกษาของตนในวันรุ่งขึ้น
ฝ่ายพระศาสดา พอรุ่งเช้าพระองค์ก็ทรงอุ้มบาตรพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เสด็จออกบิณฑบาตไปตามตรอกน้อยใหญ่ในนครกบิลพัสดุ์ พระนางยโสธราประทับอยู่บนปราสาททอดพระเนตรเห็นเช่นนั้นก็รีบไปทูลพระเจ้าสุทโธทนะ พระองค์ตกพระทัย รีบเสด็จออกไปถวายบังคมพระองค์โดยเร็วตรัสว่า
ลูก ทำไมท่านจึงทำให้ข้าพเจ้าฉิบหายอย่างนี้เล่าท่านเที่ยวบิณฑบาตให้เราละอายเหลือเกิน
มหาบพิตร พระศาสดาตรัส อาตมภาพให้พระองค์ละอายหามิได้ แต่อาตมภาพประพฤติตามวงศ์สกุลของตน
พ่อ วงศ์ตระกูลของเรา เคยเที่ยวบิณฑบาตหรือ พระเจ้าสุทโธทนะทูลถาม
มหาบพิตร นั่นมิใช่วงศ์ของพระองค์ พระศาสดาตรัสตอบ แต่นักเป็นวงศ์ของอาตมภาพพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ เสด็จเที่ยวบิณฑบาตเป็นอยู่เหมือนกันทุกพระองค์ แล้วได้ตรัสพระคาถานี้ว่า
บรรพชิตไม่พึงประมาทในก้อนข้าว อันตนพึงลุกขึ้นยืนรับ บุคคลพึงประพฤติธรรมให้สุจริตผู้ประพฤติธรรม ย่อมอยู่เป็นสุขในโลกนี้และโลกหน้า บุคคลพึงประพฤติธรรมให้สุจริต ไม่พึงประพฤติธรรมให้ทุจริต ผู้ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุขในโลกนี้และโลกหน้า
ในเวลาจบเทศนา พระราชาดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล
คติจากเรื่องนี้
การบำเพ็ญชีวิตโดยลำบาก เศร้าหมอง แต่สุจริต ย่อมดีกว่าการเป็นอยู่
อย่างฟุ่มเฟือยแต่ทุจริต เป็นไหน ๆ
3 ตุลาคม 2554 00:49 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
ตั้งแต่วัยเด็ก พ่อแม่ มักดูแลและคอยปกป้อง ไม่อยากให้ลูกทุกคนเจอเลวร้ายในชีวิต ซึ่งรูปแบบในการกระทำแต่ละครอบครัวย่อมแตกต่างกันไป ตามพื้นฐานชีวิต ความเคยชิน สภาพแวดล้อมและสถานะทางครอบครัว แม้แต่ตัวกระต่ายเอง พ่อมักจะปกป้อง ไม่อยากให้เจอแต่สิ่งเลวร้าย แต่บางทีในความเป็นมนุษย์นั้นเราก็ไม่อาจฝืนชะตาฟ้าลิขิตได้
ลูกใครติดยา พ่อใครค้ายา แม้แต่แม่ใครเป็นผู้หญิงหากิน พ่อจะไม่ให้เฉียดเข้าใกล้ แม้แต่ลูกหลานที่ไม่ได้ทำแต่เป็นพี่น้องกันก็ตาม พ่อเอาความรัก ความทนุถนอม ความหวงและความห่วงไม่อยากให้กระต่ายเจอสิ่งไม่ดี
เห็นคนเหล่านี้ หรือญาติ หรือลูก หลาน บางคนเพิ่งออกจากคุก บางทีไม่ได้ติดยา แต่พ่อไม่รับเข้าทำงานแม้แต่จะเปิดประตูรั้วต้อนรับแต่พ่อก็พูดจาให้กลับไปดีๆ
เคยถามพ่อหลายครั้ง เพราะกระต่ายเองก็สงสารเห็นบางคนน้ำตาซึมกลับไป พ่อว่ากันไว้ดีกว่าแก้ รู้หน้าไม่รู้ใจ ภาพเหล่านี้จึงอยู่ในใจเรื่อยมา
จนมีช่วงจังหวะชีวิต ที่ต้องเดินเฉียดคุกเฉียดตาราง อยู่ช่วงหนึ่ง รู้สึก เลยว่า นั่นคงเป็นความรู้สึกของคนเหล่านั้น ที่ถูกมองด้วยสายตาเหยียดหยาม เคลือบแคลงสงสัย และดูถูก
กระต่ายเข้าใจสภาพนี้ดียิ่งเราไม่ได้ทำผิด เราก็ยิ่งวนเวียนหาคำตอบว่า เราผิดอะไร แล้วสิ่งที่เราทำดีหล่ะ ไหนใครบอกว่า ทำดีได้ดี แวปหนึ่งจะมีจิตด้านลบเข้าครอบงำ เราต้องตามมันให้ทันและสะกดสิ่งเราลงไปให้ได้เอาจิตฝ่ายดีมาดำเนินชีวิตเหมือนเดิม
จึงต้องใจตั้งแต่นั้นมา ...ถ้ามีโอกาส..ฉันต้องเดินเข้าคุก...ไปบรรยายเรื่องการใช้ชีวิตกับหลักธรรมให้นักโทษฟังสักครั้ง..มีนิสิตถามว่าถ้าถูกให้ไปพูดแดนประหารจะพูดอย่างไร
กระต่ายคงจะเหล่าแต่เรื่องสนุกสนาน ให้เค้าฟังแล้วมีความสุขเค้าจะได้มีความสุขก่อนตายคิดอย่างนี้จริงๆคะ
แต่เมื่อมีโอกาสไปบรรยายสถานพินิจ กระต่ายก็ต้องหากิจกรรมเพื่อดึงกลุ่มและความรู้สึกแต่ละคนออกมาให้ได้ ร้อยกว่าคน กระต่ายหวังเพียงว่าได้มาห้าคน ที่มาใช้ชีวิตที่ดีกลับตัว ได้ ใชชีวิตอย่างมีความสุขและสังคมยอมรับได้
มีบางคนเข้าไปอยู่ในนั้นเพราะแค่ให้เพื่อนมารับแต่ไม่รุ้ว่าเพื่อนขโมยรถมอร์เตอร์ไซด์มา มีทั้งคดีค้ายา เป็นเยาวชนทั้งสิ้น เราต้องใช้ทั้งความอ่อนหวานในความเด็ดขาด ความเข็มแข็งในความเมตตาเหล่าประสบการณ์ที่ตัวเองเคยผ่านหรือว่าเรื่องที่เคยไปเจอมา
มีประมาณสามสี่คนในนั้นร้องไห้..ถามกลับมาว่า...แล้วหนู...แล้วผมออกมาจะใช้ชีวิตอย่างไร
ก็บอกไปว่า เราต้องเป็นคนดี ไม่ใช่แค่คิด แต่ต้องทำด้วย และต้องมีความอดทนพร้อมทั้งขอบคุณชีวิตที่เรามาอยู่ในที่นี้ เอามาเป็นพลัง สร้างความต้านทานชีวิตเพราะเราต้องผ่านมันไปให้ได้ มีหลายเรื่องที่เด็กๆได้ระบายและแลกเปลี่ยนความคิดมีกิจกรรมร่วมกันรวมทั้งงานเขียน ที่ขอมาจาก คุณวิสุทธิ์ ขาวเนียม และต้นกล้า อันดามัน ในเรื่อง ลมมลายู และ เพลงผีเสื้อ พร้อมลายเซ็นในเล่ม โดยให้หัวข้อเรื่องว่า..ฉันจะเป็นคนดี...เด็นๆสนใจกันมากและอยากเขียนเลยต้องขอขอบคุณในส่วนนี้ที่ร่วมกันแบ่งปันอยากน้อยก็สอนให้เด็กรักการอ่านและเขียน กระต่ายเองก็นำหนังสือธรรมมะและเรื่องสั้น นวนิยาย สมุดโน๊ตไปแจกหลายเล่มคิดว่าอย่างน้อยเด็กคงจะได้อะไรกลับไปบ้างและมีความสุขเล็กๆทั้งคนให้และคนรับ
เราไม่สามารถรู้ได้เจาะลึกว่าอะไรเป็นสาเหตุให้เด็กเหล่านี้ เดินทางผิด แต่กระต่ายคิดว่า เราควรจะชี้ทางในสิ่งที่เด็กจะต้องเดินในทางที่ถูกจะทำหรือไม่นั่นกระต่ายคิดว่า ตัวเองได้ทำแล้วมีความสุขและจะยิ่งมีความสุขถาเด็กๆเป็นคนดีใช้ชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุขแต่ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนักเพราะคิดว่าทำดีที่สุดเท่าความสามารถและกำลังเราทำได้ก็พอคะ ไม่ยึดติดว่าจะต้องได้ในสิ่งที่เราทำทุกอย่าง
เด็กๆอยากรู้เรื่องกฎหมายยาเสพติดคะ กฎหมายเยาวชนอายุสิบแดปีเกี่ยวกับโทษยาเสพติด
กฎหมายเกี่ยวกับลักทรัพย์ กระต่ายไม่มีความรู้ตรงนี้จึงต้องเสาะแสวงหา และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าถ้าใครอ่านเจอ ช่วยตอบและบอกมาทีแม้กระทั่งหลักธรรมคำสอนที่กระต่ายสามารถนำไปถ่ายทอดให้เด็กๆรู้จักการใช้ชีวิตจะขอบพระคุณอย่างสูง
สิ่งอัศจรรย์ที่อยู่ในคนโดยเฉพาะคนไทยด้วยกันทั้งๆที่ไม่รู้จักว่าใครเป็นใครแต่ในจิตใจที่ซุกซ่อนอยู่ส่วนลึกของหัวใจคือการให้ ความเมตตาสิ่งนี้คงเรียกว่า...สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก...
ใช้หัวใจเขียน
กระต่ายใต้เงาจันทร์
26 กันยายน 2554 23:27 น.
กระต่ายใต้เงาจันทร์
...แผ่นดินใด ไร้คน แผ่นดินนั้นเป็นป่าชัฏ
แผ่นดินใด มีคนที่ไร้การศึกษา
แผ่นดินนั้น เกิด จลาจล
แผ่นดินใด มีทั้งคน มีทั้งการศึกษา
แผ่นดินนั้น เป็นแผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง
การศึกษา สร้างคน คนสร้างชาติ
ชาติพัฒนา ได้ จากการศึกษา ของคนผู้มีการศึกษา
โอกาสทองของคนในจังหวัดเชียงรายมีแล้ว เมื่อ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา ห้องเรียนวัดพระแก้ว จังหวัดเชียงราย ให้โอกาสต่อผู้ไม่มีโอกาส ผู้ด้อยโอกาส ได้มีโอกาสมีการศึกษา
เหมือน ประตูที่ถูกปิดมานาน ถ้าไม่มีการเปิดให้ใช้สอย สนิมจะเกาะหนาแน่นเปิดได้ยาก กว่าจะเปิดประตูได้ ต้องหมดพลังไปมากโข ประตูวัดเปิดตลอด แต่ไม่ค่อยมีคนเดินเข้าไป ทำให้ประตูวัด ไร้ฝูงชนที่หนาแน่น ไม่เหมือนประตูวิก ผับ บาร์ เป็นประตูที่ปิดมียามเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด ยังมีฝูงชนไปออขอเปิดประตู เพื่อเข้าไปหาความรู้ในความมืด เป็นความรู้คู่ความมืด ความมืดให้อะไรได้บ้าง ถามใจดูก่อน เพราะความมืดให้อวิชชา มิได้ให้การศึกษา แต่เป็นการก่อปัญหา ในชีวิตของนิสิต
...นิสิตผู้ใฝ่การศึกษา เมื่อมีโอกาสอย่าปล่อยโอกาสให้พลาดไป จงใช้โอกาสให้เป็นโอกาสในการศึกษา มาช่วยกันเคาะประตู ค่อยๆ แกะประตูให้เปิดอ้า เปิดกว้างๆ จะได้เดินเข้าไปอย่างสง่างาม ตามด้วยความรู้ ความสามารถมีความประพฤติดีตามมา
ประตูมหา ลัย เปิดแล้ว เปิดอย่างถูกต้อง เปิดเพื่อรอ ท่านทั้งหลาย ให้เดินเข้าสู่ประตูมหา ลัย เหมือนเดินเข้าไปสู่ประตูวิวาห์ เดินด้วยความสุขใจ ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ภายใต้มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
โอกาสทองของชาวเชียงรายและพื้นที่ใกล้เคียงมาถึงแล้ว นับได้เป็นโชคดีอย่างมหาศาลดุจได้รางวัลแจ๊คพอต 1 ใน 100 หรือ 1 ในพื้นที่วัดพระแก้ว ห้องเรียนวัดพระแก้ว เปรียบเสมือนเด็กกำลังเดินเตาะแตะ ต้องช่วยกันพยุง ช่วยกันเลี้ยงดูอุปถัมภ์ ค้ำชู เพื่อให้ยืนได้ เดินได้ จักให้มีโอกาสวิ่งได้ วิ่งแข่งกับเขาได้ จะเป็นวิ่ง 100 เมตร 1000 เมตร ก็เป็นการวิ่งเพื่อเข้าสู่เส้นชัย แล้วความชนะก็จะตามมา จะได้เป็นเอกภาพอันน่าประทับใจของผู้ศึกษา ผู้บริหาร ตลอดถึงคณาจารย์
..การศึกษาไม่มีพรมแดน... ไม่มีขีดคั่นกั้นกาล และไม่ขวางทางใคร อายุ วัย เวลา มิใช่เป็นอุปสรรคในการศึกษา แต่การไม่ศึกษา ทำให้ไม่มีการศึกษา เมื่อหมดโอกาสในการศึกษา ความก้าวหน้าของชีวิต ก็จะเป็นไปตามอัตภาพ เป็นภาพเก่าเก็บ เป็นความเจ็บปวดที่ไม่ได้ศึกษา ไร้การศึกษา ทำให้โอกาสกลายเป็นวิกฤติในชีวิต ..โกยเถอะโยม..
เด็ก หนุ่ม สาว เฒ่า แก่ ชรา ทุกคนหวังการศึกษา ชีวิต คือ การศึกษา การศึกษาเพื่อชีวิต อิฐเป็นพื้นฐาน เป็นที่รองรับในการสร้างตึก ชีวิตที่ดีต้องมีการศึกษา การศึกษาเป็นพื้นฐานของชีวิต
..นกไม่มีขน คนไม่มีการศึกษา บินสู่ที่สูงไม่ได้.. ไปในที่สง่างามไม่มี การศึกษาทำให้ไม่เคอะเขิน มีความแกล้วกล้า องอาจ ในสังคม สมาคม เดินเข้าสู่สังคมได้อย่างสง่าผ่าเผย โดยไร้ผู้คนดูถูกเหยียดหยาม
ท่านทั้งหลาย จงมาดูการศึกษาเถอะ การศึกษาให้ความรู้มากมาย หลายสถาน ให้อำนาจวาสนา บารมี ให้มีกิน มีงาน มีบริวารมากมาย ให้ความก้าวหน้า ให้อนาคตที่ดีงาม ให้ทุกๆ อย่างที่ต้องการ แล้วท่านละ จะไม่เข้ามาศึกษาหรือ มาเถอะ ท่านมีผู้มีโอกาสทั้งหลาย มาเคาะประตูสูมหา ลัย ด้วยกันเถอะ แล้วจะเจอแต่ความดี - สิ่งดี เพื่อนดี มีดีเป็นที่รองรับ แน่นอนมีการศึกษาดี ดีกรีดี ปริญญารออยู่ข้างหน้า ต้องไขว่คว้าเอาเอง
...ลืมเถิดชีวิตที่ต้องผิดหวัง
ลบความหลังลิขิตชีวิตใหม่
หากสำเร็จตามฝันในวันใด
จะก้าวไปเทียมบ่าปัญญาชน
อย่ารอช้า การศึกษามิรอใคร ใครศึกษาก่อน จบก่อน ปริญญาก็มาก่อน คนศึกษาทีหลังต้องรอความหวังต่อไป บางคนรอจนหมดหวัง บางคนรอโดยไม่มีที่หวัง และบางคนหวังอย่างลมๆ แล้งๆ ฉะนั้นโอกาสมาถึงพึงใช้โอกาสให้เป็นโอกาส อย่าให้โอกาสพลาดไป ใจจะได้มีปริญญามาครอบครอง วันที่รับปริญญา คือ วันที่ทำให้ชีวิตมีค่า มองเห็นค่าของชีวิต ชีวิตนี้มีค่าเพราะการศึกษา ให้คนมีปัญญา เป็นบัณฑิต มหาบัณฑิต ตามโอกาส
มาเถิดบัดนี้ ประตูมหา ลัย เปิดรอท่านแล้ว รอด้วยใจหวัง หายั้งหยุดไม่ ชักชวนกันมา เหมือนชวนกันไป ไปสู่ประตูมหา ลัย ด้วยการพลิกดินสู่ดาว พัฒนาจากรากหญ้าสู่รากแก้ว ผลิตจากเหตุให้มีผล ผลสัมฤทธิ์ที่ดลบันดาลให้ผู้ศึกษา มีการศึกษา มีใบปริญญาเป็นรางวัลแห่งชีวิตตลอดกาล แล้วจะได้รับการขนานนามว่า บัณฑิต ผู้พิชิตประตูวิกสู่ประตูวัด ด้วยการมาช่วยกันเคาะประตูสู่มหา ลัย