16 กันยายน 2553 20:03 น.

ความรักความหลังฝั่งทะเล

กระต่ายใต้เงาจันทร์


  มาถึงทะเลที่เดิม  กับความรู้สึกเดิมๆ ฉันปล่อยความคิดให้เรื่อยไหลไปตามความรู้สึก   ฉันกลับมาที่นี้   กี่ครั้งแล้วน่ะ  ท้องทะเลแห่งหนึ่งกับหยดน้ำตาที่รดรินกับความรอคอยที่เจ็บปวด   เคยคิดว่าถึงเวลากลับมาไม่เจอใครอีกคนที่เคยบอกไว้ในหลายปีที่ผ่าน
ฉันจะชินและชาจนลืมความเจ็บปวด  เปล่าเลยมีประโยชน์อันใดหัวใจกลับเจ็บหนักกว่าเก่า   จนรู้สึกเหมือนใจจะขาด  หายใจหอบถี่  ท้องทะเลช่างอ้างว้าง  หวาดหวั่น    จุดหมายปลายทางอยู่จุดใด   ทำไมฉันมองไม่เห็น  ทำได้เพียงปลอบใจตัวเองเสมอ คนอีกคนต้องมีชีวิตอยู่    พลังแห่งรัก  พลังแห่งความห่วงหา  คงมีอาณุภาพพอ   ที่จะส่งถึงคนอีกคนที่อยู่ปลายฝั่งหนึ่งของฝากฟ้า   ต้องกลับมา    ต้องกลับมา    
เวลาเลือนหายผ่านไปหลายปีเต็มทนแต่หัวใจฉันยังคงเรียกร้อง   เพราะอะไรกระนั้นหรือ   ฉันก็แค่....  ฉันก็แค่....อยากรู้ว่าคนอีกคนเป็นอย่างไรบ้าง   การรอคอย ทำให้ฉันความหวังแม้มันช่างเลือนรางหริบรี่เต็มทน
การรอคอยค่อยๆคลุกคลืบทำร้ายและทำลายหัวใจฉันให้ย่อยยับแหลกเหลวลงไปทีละเล็ก  ทีละน้อย   โดยเจ้าของหัวใจไม่สนใจที่จะไปดูแลมันปล่อยให้มันเจ็บและเจ็บอยู่อย่างนั้นเนิ่นนานวัน
ฉันมองทะเล  ที่เดิม   อยากท้องทะเลรักษาใจที่ปวดช้ำ โรคหรืออาการ  เหล่านี้ให้จางหายตรงไหนกันที่ช่วยรักษา     แสงสีนวลของพระจันทร์  หรือหาดทรายที่สะท้อนเงาล้อเล่นหยอกเย้ากับแสงสีนวล   หรือจะเป็นเม็ดทราย   ที่มีอณูเม็ดเล็กละเอียด   ซึมซึบความอ่อนหวาน    อยู่ในเม็ดทรายเหล่านั้น    หรือท้องทะเลสีฟ้าที่เปล่งประกายระยิบระยับสวยจับตาสะท้อนเงา   เป็นคลื่นที่ผิวน้ำ   หรือแม้กระทั่งบรรยากาศรอบๆที่อยู่ทั่วตัวเรา

ไม่ทราบว่า  มีกี่คนกัน  ที่ได้กลิ่นน้ำทะเล   โรคร้ายที่เกาะกุมหัวใจ  จะเบาบางไปได้   หรือทำให้เรา  หลงลืมได้ชั่วขณะ

คงแล้วแต่อาการ  ความรู้สึก  ความผูกพัน  หรือแม้กระทั่งบาดแผลของคนแต่คนละคน   เวลาอยู่ที่ท้องทะเล บางคน ได้ชื่นชมบรรยากาศมีแต่ความสุข   มีสิ่งดีๆให้ชีวิตมากมาย  บางคนมองเผื่อค้นปรัชญาความหมายในชีวิต   บางคน กลับหงอยเหงา   โดดเดี่ยว  อ้างว้าง  และซ่อนความเศร้า    และ  ความอาลัยอาวรณ์  
แต่ท้องทะเลมักมีเสน่ห์น่าค้นหาและลึกลับอยู่ในตัวเองจนทำให้ฉันกลับมาที่นี่ทุกครั้ง
ในส่วนที่ฉันบาดเจ็บบอบช้ำแต่ความสวยงามลึกลับของท้องทะเลกับทำให้ฉันหลงมนต์เสน่และค้นหาสิ่งดีๆในแฝงในพลังธรรมชาติมาบำบัดรักษาใจในบางส่วนได้อย่างประหลาดล้ำ

สำหรับฉันเองคิดว่าจุดที่สวยที่สุด     คือเรานั่งมองทะเลอยู่อย่างนั่น   จนสุดปลายของเส้นขอบฟ้า    ซึ่งไม่รู้ว่าขอบฟ้ากับเส้นของขอบทะเลบรรจบกันตรงไหน

เหมือนไม่สิ้นสุด    เหมือนเราแสวงหาความต้องการ   ของจิตใจ   แต่สุดท้าย   สิ่งที่ต้องการคือ   การปลดปล่อย     หรืออยากทิ้งสิ่งเลวร้ายลงไป   จะอาจจะเป็นได้ว่า  เก็บซึมซับสิ่งดีๆซ่อนไว้ในความทรงจำตลอดไปชั่วชีวิต


ทะเลคงเป็นสิ่งเดียว   ที่เราทิ้งอะไรลงไป    แล้วไม่มีใครหาเจอ   เหมือนความลับที่ฉันเก็บไว้คู่กับทะเล

คงจะมีแต่ฉันกับท้องทะเล    เท่านั้นที่จะรู้
				
16 กันยายน 2553 19:01 น.

นิทานธรรมบท(เรื่องที่9 ท้าวสักกะ)

กระต่ายใต้เงาจันทร์

เรื่องที่  ๙  ท้าวสักกะ
	ความพิสดารว่า  เจ้าลิจฉวีนามว่ามหาลิ  อยู่ในเมืองเวสาลี  พระองค์ทรงสดับธรรมเทศนาในสักกปัญหาสูตรของพระตถาคตแล้ว  ทรงดำริว่า  พระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ย่อมตรัสสมบัติของท้าวสักกะไว้มากมาย  พระองค์ทรงเห็นแล้วจึงตรัสหรือว่าไม่ทรงเห็น  ทรงรู้จักท้าวสักกะหรือไม่หนอ  เราจักทูลถามพระองค์ดู	
	ครั้งนั้น   เจ้าลิจฉวีพระนามว่า  มหาลิ  เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแระทับอยู่  ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว   จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคนั่ง  ณ  ที่สมควร  ได้กราบทูลพระศาสดาว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ท้าวสักกะจอมแห่งเทพทั้งหลาย  พระองค์ทรงเห็นแล้วหรือ  มหาลิ  ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทพทั้งหลาย  อาตมภาพเห็นแล้ว  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ก็ท้าวสักกะนั้น  จักเป็นท้าวสักกะปลอมเป็นแน่  เพราะว่าบุคคลอื่นเห็นได้โดยยากเหลือเกิน  พระพุทธเจ้าข้า  มหาลิ  อาตมภาพรู้จักท้าวสักกะและธรรมที่ทำให้เป็นท้าวสักกะ  ท้าวเธอสมาทานธรรมชนิดใด  ธรรมชนิดนั้น  อาตมารู้จักดี
	มหาลิ  ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทพทั้งหลาย  เมื่อครั้งเป็นมนุษย์มีชื่อว่ามฆะ  เพราะฉะนั้น  เขาจึงเรียกว่า  ท้าวมฆวา  
	มหาลิ  ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทพทั้งหลาย  เมื่อเป็นมนุษย์ได้ให้ทานก่อนคนอื่น  เพราะฉะนั้น  เขาจึงเรียกว่า  ปุรินททะ  
	มหาลิ  ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทพทั้งหลาย  เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ได้ให้ทานโดยเคารพ   ฉะนั้น  เขาจึงเรียกว่า  สักกะ
	มหาลิ  ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทพทั้งหลาย  เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ได้ให้ที่พักอาศัย  ฉะนั้น  เขาจึงเรียกท่านว่า  ท้าววาสวะ  
	มหาลิ  ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทพทั้งหลาย  ทรงดำริข้อความตั้งพันได้โดยครู่เดียวฉะนั้น  เขาจึงเรียกว่า   สหัสสเนตตะ
	มหาลิ  นางอสุรกัญญา  ชื่อสุชาดา  เป็นศรีภรรยาของท้าวสักกะ  ผู้เป็นจอมแห่งเทพเจ้าทั้งหลาย  ฉะนั้น  เขาจึงเรียกท่านว่า   ท้าวสุชัมบดี
	มหาลิ  ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทพเจ้าทั้งหลาย  เสวยราชสมบัติ  อันเป็นอิสสริยาธิปัตย์  แห่งเทพทั้งหลายในชั้นดาวดึงส์   ฉะนั้น  เขาจึงเรียกท่านว่า   เทวานมินทะ
	มหาลิ  ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทพทั้งหลาย  พระองค์ทรงบำเพ็ญวัตตบท  ๗  ประการให้บริบูรณ์แล้ว  ก็วัตตบททั้ง  ๗  นั้น  มีอยู่ดังต่อไปนี้
	เราพึงเป็นผู้เลี้ยงมารดาบิดาตลอดชีวิต  เราพึงประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูลเป็นนิตย์  จนตลอดชีวิต  เราจะพูดจาอ่อนหวานและอ่อนโยนตลอดชีวิต  เราจะไม่พูดส่อเสียดต่อผู้อื่นตลอดชีวิต  เราจะมีจิตปราศจากมลทิน  คือความตระหนี่  มีเครื่องบริจาคอันสละแล้ว  มีฝ่ามืออันล้างสะอาดดีแล้ว   ยินดีแล้วในอันเสียสละ  ควรแก่การขอ  ยินดีในการจำแนกแจกจ่ายทาน  พึงอยู่ครอบครองเรือตลอดชีวิตเราจะกล่าวแต่คำสัตย์ตลอดชีวิต  เราจะเป็นผู้ไม่โกรธตลอดชีวิต  ถ้าความโกรธพึงเกิดขึ้นแก่เรา  เราพึงหักห้ามมันเสียโดยเร็วทีเดียว
	พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  มหาลิ  กรรมนี้ท้าวสักกะทรงกระทำไว้ตั้งแต่ครั้งยังเป็นมฆมาณพ  ดังนี้แล้ว  อันเจ้ามหาลิใคร่จะทรงสดับข้อปฏิบัติของท้าวสักกะนั้นโดยพิสดาร  จึงทูลถามโดยความเคารพอีกว่า  มฆมาณพปฏิบัติอย่างไร  พระเจ้าข้า ?  จึงตรัสว่า  ถ้าอย่างนั้น  ขอมหาบพิตรจงตั้งในฟังต่อไปเถิด  เจ้ามหาลิตั้งใจคอยฟังต่อไปด้วยความเคารพ
	ในกาลล่วงมาแล้วช้านาน  มาณพชื่อฆมะ  อาศัยอยู่ในบ้านอจลคาม  ในแว่นแคว้นมคธ  ไปสู่สถานที่ทำงานในบ้าน  พร้อมด้วยเครื่องมือหลายอย่างผลุงผลัง  พอไปถึงสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง  ซึ่งเห็นว่าพอจะทำให้เป็นที่พักพาอาศัยแก่คนอื่นได้แล้ว  เป็นต้องลงมือทำลงไปโดยทันที  พอลงมือทำเสร็จแล้วเท่านั้น   คนอื่นมาเห็นก็แบ่งเอาของแกไปแกน่าจะโกรธให้แก่เขาคนนั้น  แต่แล้วมาณพผู้นี้หาได้แสดงอาการโกรธขึ้นมาแม้แต่น้อยไม่  ยินดีสละให้แล้ว  ตนเองก็ไปทำสถานที่อื่นต่อไป  แกตั้งใจทำอยู่อย่างนี้เป็นเวลาหลายวัน   เมื่อบุรุษคนหนึ่งเดินผ่านมาเห็นก็รู้สึกสงสัยในการกระทำของเขาครั้งนี้   จึงตรงเข้าไปถามว่า  เพื่อน ..............นั้น แกทำอะไร  มาณพรีบตอบอย่างไม่ได้คิดว่า  ถากถางหนทางไปสู่สวรรค์  บุรุษผู้นั้นได้ยินเพียงคำว่า   สวรรค์เท่านั้น  ก็มีจิตเลื่อมใส  ขอเข้าร่วมทำงานชิ้นนี้ต่อไป  ผลสุดท้ายมาณพนี้ได้เพื่อนร่วมงานถึง  ๓๓ คน  เพื่อนเหล่านั้น  ต่างคนต่างก็ตั้งใจทำงานอย่างขยันขันแข็ง  เพราะมุ่งที่จะไปสู่สวรรค์กันทั้งนั้น  ครั้นต่อมาวันหนึ่ง  มาณพเหล่านี้ได้พร้อมใจกันทำงานอยู่  ณ  ที่แห่งหนึ่ง  ซึ่งเป็นสถานที่ใกล้บ้านอจลคาม  นายคามโภชกะชักไม่พอใจ  และไม่เห็นชอบด้วยในการกระทำของมาณพเหล่านี้  จึงได้นำตัวของมาณพทั้งหมด  เข้าไปเฝ้าพระราชา  พระราชาโดยที่ไม่ได้คิดหาเหตุผลอะไร  จึงใช้ให้นายคามโภชกะ  พร้อมด้วยราชบุรุษ  นำช้างไปเหยียบพวกมาณพเหล่านั้น  แต่แล้วช้างหาได้เข้าใกล้มาณพพวกนั้นไม่  เพราะอาศัยอานุภาพเมตตาของมาณพ  ถึงแม้จะใช้ความพยายามสักแค่ไหน  และโดยวิธีใด  ช้างก็หาได้เหยียบพวกมาณพนั้นไม่  ด้วยความแค้นใจ  นายคามโภชกะ  ก็ได้นำเอาข้อความนั้นมากราบทูลแก่พระราชา  ท้าวเธอก็รับสั่งให้เรียกพวกมาณพเหล่านั้นให้เข้ามาเฝ้า  ตรัสถามความเป็นไปนั้นทั้งหมดมฆมาณพผู้เป็นหัวหน้า  จึงได้กราบทูลเรื่องที่เป็นมาแล้วทั้งหมดถวาย   พระราชาทรงเลื่อมใสในกิจการงานนั้น  จึงทรงมอบช้างเชือกนั้น   พร้อมทั้งนายคามโภชกะให้เป็นข้าทาสบริวารต่อไป   เมื่อเสร็จจากกิจนี้แล้ว   เหล่ามาณพก็ได้กราบทูลพระราชาไปปฏิบัติกิจ  อันจะนำประโยชน์มาให้แก่ตนและคนอื่นต่อไป  ต่อเมื่อได้ช้างมาแล้ว  จึงปรึกษากันที่จะสร้างศาลาให้เป็นที่พักของผู้สัญจรไป ๆ มา  ๆ  และให้เป็นประโยชน์แก่ผู้จะไปสู่ทิศานุทิศ  เมื่อตกลงกันเป็นเอกฉันท์แล้วก็ได้ลงมือสร้างศาลาตามความประสงค์ของตน  แต่ศาลาหลังนี้เป็นหลังใหญ่   จำเป็นต้องว่าจ้างให้นายช่างมาทำ  พอนายช่างสร้างศาลาจวนจะเสร็จแล้ว   จึงได้ทักท้วงขึ้นว่า  อุ๊ย ............ตาย ?  ขาดช่อฟ้า   พวกมาณพตกใจในเสียงของเขา  จึงรีบเข้ามาถามว่า  เป็นไรไปหรือนายช่าง ?  นายช่างจึงอธิบายให้มาณพเหล่านั้นเข้าใจความสำคัญของช่อฟ้า  และในที่สุดก็ใช้ให้พวกมาณพไปมาหา   แต่จะหาได้จากที่ไหนเล่า ?  นอกจากเรือนของนางสุธัมมาเท่านั้น  แต่แล้วมาณพกลับไปบอกแก่นายช่าง  และนายช่างเตือนต่อไปว่า   อย่าเลยมาณพเอ๋ยเว้นเทวโลก  พรหมโลกเสีย   ที่ไหนเว้นสตรี  สถานที่นั้นก็เป็นป่าช้า   หาความสนุกสนานมิได้เลย   เมื่อเป็นเช่นนี้  พวกท่านจะทำอย่างไร ?  พวกมาณพเกิดน้อยใจ  กลัวศาลาจะไม่เรียบร้อย  จึงพร้อมใจกันไปเอามาจากเรือนนของนางสุธัมมา  ตามาคำบอกของนายช่าง  เมื่อศาลาสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว   ปรากฏว่ามีแต่ชื่อนางสุธัมมาเท่านั้น  ส่วนมาณพ  ๓๓  คน  หาได้ปรากฏชื่อไม่  อาศัยผลกรรมที่ตนได้สะสมไว้เป็นอันมาก   ครั้งตายแล้วก็ได้ไปบังเกิดในดาวดึงส์โดยพร้อม ๆ กันทั้ง  ๓๓  คน  ส่วนช้างก็ไปเกิดเป็นเทพบุตร  ซึ่งมีนามว่า    เอราวัณ  สำหรับมฆมาณพเล่า  เมื่อจุติจากมนุษย์โลกแล้ว  ก็ได้บังเกิดเป็นใหญ่กว่าเทพเจ้าทั้งหลายในชั้นดาวดึงห์  มีพระนามว่า   ท้าวสักกเทวราช มีเอราวัณเทพบุตรเป็นพาหนะ
	ส่วนนางสุธัมมา  อาศัยว่าตนเป็นผู้มีความฉลาด  จึงได้สร้างช่อฟ้า  ร่วมบุญกุศลกับพวกมาณพเหล่านั้น  เมื่อละอัตตภาพ  ความเป็นมนุษย์แล้ว  ก็ได้ไปบังเกิดในดาวดึงสพิภพเช่นกัน  และศาลาก็ปรากฏขึ้นไปเกิดให้แก่นางด้วย  ซึ่งมีนามว่า  ศาลาสุธัมมา  ฉะนั้น  พอถึงวันธัมมัสสวนะเทพเจ้าทั้งหลาย  จึงเอาสถานที่นั้นเป็นที่ฟังธรรม
	ฝ่ายนางสุนันทา  คิดว่าตนเองมิได้ทำอะไรให้เป็นบุญกุศลร่วมในศาลาหลังนี้   ส่วนนางสุธัมมา  เขามีปัญญามากจึงได้ทำช่อฟ้าปลัง  แต่เรานี้สิโง่   จึงไม่ได้ทำอะไร  เอกเถอะเราจะจ้างคนให้มาขุดสรวะไว้ใกล้  ศาลาหลังนี้  เผื่อมาพักอาศัย  ก็จะได้ลงอาบน้ำให้สบายใจ  เมื่อนางทำเสร็จแล้ว  ก็ได้อุทิศให้เป็นส่วนกุศลเฉพาะตน  อาศัยบุญกุศลมีประมาณเท่านี้  ครั้งนางตายแล้วก็ได้ไปเกิดในดาวดึงส์ร่วมกับสามีของตน  ซึ่งได้นามว่า  สระโบกขรณีศระสุนันทา   เป็นที่อาบและที่เล่นของพวกเทพเจ้าเหล่าเทวดาทั้งหลาย
	ฝ่ายนางสุจิตราภรรยาคนที่  ๓  ของมาณพเล่า  สร้างบุญกรรมอะไรไว้  เปล่าเลย   นางไม่ได้ทำอะไร  แต่นางมาคิดว่า  นางสุธัมได้สร้างอะไรหนอ  จึงจะมีประโยชน์แก่เราและคนอื่น  เอาละ   เราจะสร้างสวนดอกไม้ให้มีนานาชนิด  เมื่อคนมาพักศาลา  ลงอาบน้ำแล้ว  ต้องเข้าไปเที่ยวชมสวน  เพื่อเลือกเก็บดอกไม้ต่าง ๆ มาประดับ  บุญก็จะเกิดแก่เรามิใช่น้อย  จึงไปว่าจ้างให้ช่างมาทำสวนดอกไม้   ไม่นานนักก็สำเร็จสมดังความปรารถนา  นางก็ได้อุทิศส่วนบุญกุศลให้มีแก่ตนและคนทั่วไป  พอสิ้นบุญกรรมของนางเท่านั้น  ก็ได้ไปเกิดร่วมสามีบนดาวดึงส์เหมือนกัน  ส่วนสวนของนางก็ปรากฏว่าไปบังเกิดให้นางเช่นกัน   และมีชื่อว่า   สวนจิตราลดาวัลย์   เป็นสถานที่ตกแต่งประดับประดาของเหล่าเทพเจ้า
	ส่วนนางสุชาดาศรีภรรยาของมฆมาณพคนที่  ๔  นั่นเองนางได้สร้างสมบุญกุศลอะไรไว้บ้าง ?  เปล่าเลย  นางไม่ได้ทำอะไรไว้  ได้แต่คิดว่า  สามีของเราทำแล้ว  ก็เป็นอันแล้วไป  เราไม่ต้องทำละ  นางแต่งเนื้อแต่งตัวโดยไม่ต้องทำอะไรไว้เลย  ครั้นตายแล้วก็ไปเกิดเป็นนางนกยางอยู่ที่ซอกเขาแห่งหนึ่ง  ซึ่งมีรูปร่างหน้าตาไม่น่าดูเลย  และไม่เป็นที่ปรารถนาของคนทั่งไป  เรื่องนี้ทำให้เดือดร้อยไปถึงท้าวสักกะผู้เป็นสามี  ท้าวเธอจึงได้จำแลงแปลงกายไปหานางนกยางด้วยความสงสารเอ็นดู  และได้ทรมานนางหลายอย่าง  มีให้นางอดอาหาร  รักษาศีล๕  นางได้ไปบังเกิดเป็นลูกสาวของนายช่างหม้อ  อยู่ในกรุงสาวัตถี  อาศัยนางใช้ความพยายามรักษาศีลมิได้ขาด  เมื่อจุติจากชาตินั้นแล้ว  ก็ได้ไปบังเกิดเป็นลูกสาวของอสูรในภพอสูร   เมื่อนางมีอายุ  ๑๕  ๑๖  แล้ว  บิดาก็จัดการให้มีการเลือกคู่ครองแก่นาง  ในขณะนั้น  ท้าวสักกะเทวราช  ก็ได้ปลอมแปลงเป็นอสูรแก่ไปอยู่ท้าย ๆ ของเหล่าอสูร  พอลูกสาวอสูรเห็นได้ที  ก็ทิ้งพวงมาลัยไปยังอสูรแก่  เมื่ออสูรแก่ได้โอกาสก็รีบนำอสูรกัญญาสุชาดาไปสู่ภพของตน  ทำให้อสูรหนุ่มทั้งหลายต้องผิดหวังไปตาม ๆ กัน  เพราะเหตุอะไรหรือท่าน  ก็เพราะเหตุว่า  ปุพเพกตปุญญตา  ไงเล่า ?   ผลสุดท้าย  นางก็ได้ไปอยู่ในอ้อมกอดของสามีด้วยความสุขารมย์   พร้อมด้วยศรีภรรยาทั้ง  ๓  คือ  สุธัมมา  สุนันทา   สุจิตรา  และมีสุชาดาเป็นคนสุดท้าย
	พระศาสดาตรัสว่า  มหาลิ  มฆมาณพปฏิบัติอัปปมาทปฏิปทาอยู่อย่างนี้  ก็แลมฆมาณพไม่ประมาทอย่างนี้  จึงถึงความเป็นใหญ่เห็นปานนี้  ทรงเสวยราชย์ในเทวโลกทั้ง  ๒  ชื่อว่าความไม่ประมาทนั้น  บัณฑิตทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นสรรเสริญแล้ว  เพราะว่า  การบรรลุคุณวิเศษ  ซึ่งเป็นโลกิยะและโลกุตตระแม้ทั้งหมด  จะมีได้ก็เพราะอาศัยความไม่ประมาทอย่างเดียว   ดังนี้แล้ว  ทรงตรัสพระคาถานี้ว่า
	ท้าวมฆวะ  ถึงความเป็นผู้ประเสริฐกว่าเทพเจ้าทั้งหลาย  เพราะความไม่ประมาท  บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญความไม่ประมาท  ความประมาท  อันท่านติเตียนแล้วทุกเมื่อ
คติจากเรื่องนี้
ความขวนขวายในการบำเพ็ญประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น  โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ  และชาติภาษา  แม้จะไม่พบความร่ำรวยเป็นเศรษฐี  ในปัจจุบันก็ตาม  แต่นักปราชญ์ไม่ได้ประณามว่าประมาท  ปล่อยชีวิตให้เป็นหมันกลับสรรเสริญว่า  เป็นการเสริมสร้างความไม่ประมาท  เขาผู้นี้จักถึงความเป็นผู้ประเสริฐกว่ามนุษย์  และเทพเจ้าเพราะความขวนขวาย  บำเพ็ญประโยชน์สาธารณะนั้นโดยไม่สงสัย				
7 กันยายน 2553 20:46 น.

บุญคืออะไร

กระต่ายใต้เงาจันทร์



บุญคืออะไร
อะไรเป็นบุญ   อะไรเป็นบาป
ในการใส่บาตรแล้ว   พระเป็นตัวบุญใช่ไหม   เคยถามพระไหม   ว่าพระใช่ตัวบุญ   หรือไม่    หากไม่ใช่   คงจะเป็นวัตถุสิ่งของ    ที่เราถวายพระ    แต่ถ้าไม่ใช่   คงจะเป็นตัวเรา   เพราะเราเป็นคนทำบุญ   แต่ถ้าไม่ใช่  วัตถุ สิ่งของ   คงจะเป็นความตั้งใจ  ความรู้สึกนึกคิด  มากกว่าที่เป็นตัวบุญโดยเจตนา
ถามว่า   บางคนบริจาคน้อย  กลัวจะได้บุญน้อย    และคิดว่า    ถ้าบริจาคมากคงจะได้บุญมาก
แต่ถ้ามาคิดดูให้ดี  ถ้าเราขาดความตั้งใจเสียแล้ว   ในการทำบุญในแต่ละครั้ง   คงจะไม่มีความหมายอะไร     
การทำบุญในแต่ละครั้งนั้น  ขึ้นอยู่ที่เราตั้งใจมากก็จะได้บุญมาก
ตั้งใจน้อย  ก็จะได้บุญน้อย
ถ้าบริจาคมากแต่ตั้งใจน้อยคงจะไม่ได้ผลบุญเท่าใด
แต่ถ้าบริจาคน้อยแต่ตั้งใจมากจะได้บุญมาก
การทำบุญทำได้หลายวิธี    เช่น
การรักษาศีล    การช่วยเหลือ   ผู้คน     หรือ  สัตว์  โดยความเต็มใจ
การบริจาคทาน  ไม่ว่าวิธีทางใด  ย่อมได้รับผลบุญเช่นกัน  เพราะเรากระทำด้วยความเต็มใจ
การไม่กล่าวนินทาใส่ร้ายผู้อื่น    หรือ   การที่จิตเกิดอกุศลในการลบและต้องคิดและฝึกจิตให้คิดในทางบวก
(จากหนังสือ   คำสอน   อุทิศบุญที่ได้ผล    พระอาจารย์เกษม  )
				
2 กันยายน 2553 00:06 น.

นิทานธรรมบท

กระต่ายใต้เงาจันทร์

เรื่องที่   ๑๕๖   การระงับการทะเลาะแห่งหมู่พระญาติ
	เรื่องมีอยู่ว่า   พวกเจ้าศากยะและพวกเจ้าโกลิยะนั้นแย่งน้ำกันทำนา  ถึงขนาดต้องเตรัยมออกรบกัน  จะฆ่าฟันกัน  ณ  ที่แดนแบ่งน้ำ
	พระศาสดาทรงทราบเรื่องนั้นในเวลาใกล้รุ่ง   จึงเสด็จไปทางอากาศพระองค์เดียวเท่านั้น   ประทับนั่งโดยบัลลังก็ในอากาศ  ณ  ท่ามกลางแม่น้ำโรหิณี   พระญาติทั้งหลาย   เห็นพระศาสดาแล้วทิ้งอาวุธถวายบังคม
	ลำดับนั้น   พระศาสดาตรัสว่า   มหาบพิตร   นี่ทะเลาะกันเรื่องอะไร
	พวกข้าพระองค์  ไม่ทราบ  พระเจ้าข้า   พระญาติเหล่านั้นทูลตอบ
	บัดนี้  จักมีใครทราบบ้าง   พระศาสดาตรัสถามต่อไป
	พวกญาติเหล่านั้น  ถามตลอดถึงพวกทาสและกรรมกรแล้วกราบทูลว่า
	ทะเลาะกันเรื่องน้ำ   พระเจ้าข้า
	น้ำมีราคาเท่าไร   มหาบพิตร   พระศาสดาตรัสถาม
	มีราคาน้อย  พระเจ้าข้า
	กษัตริย์ทั้งหลาย   มีราคาเท่าไร
	หาค่ามิได้   พระเจ้าข้า
	พระศาสดาตรัสว่า   การที่พวกท่าน  ยังกษัตริย์ซึ่งหาค่ามิได้ให้ฉิบหาย   เพราะอาศัยน้ำซึ่งมีราคาน้อย   ควรแล้วหรือ
	พวกพระญาติเหล่านั้นนิ่ง   ลำดับนั้น   พระศาสดาตรัสเตือนพระญาติเหล่านั้นแล้ว   ตรัสว่า   มหาบพิตร   เพราะเหตุไร   พวกท่านจึงกระทำกรรมเห็นปานนี้   เมื่อไม่มีเรา  ในวันนี้  สายธารแห่งเลือดคงจักไหลนอง   ท่านทั้งหลาย  ทำกรรมไม่สมควรแล้ว   ท่านทั้งหลายเป็นผู้มีเวรอยู่ด้วยเวร  ๕  เราไม่มีเวร   ท่านทั้งหลายเดือดร้อนด้วยกิเลส  แต่เราไม่เดือดร้อน   ท่านทั้งหลายขวนขวายในการแสวงหากามคุณแต่เราไม่ขวนขวาย   แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า
	ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีเวรกัน   พวกเรา  ไม่มีเวร  เป็นอยู่สบายดีหนอ   เมื่อมนุษย์พากันเดือดร้อนเราไม่เดือดร้อน  เป็นอยู่สบายดีหนอ   เมื่อมนุษย์ทั้งหลายขวนขวายกัน  เราไม่มีความขวนขวายอยู่สบายดีหรือ
	ในเวลาจบเทศนา  พวกพระญาติเหล่านั้นเลิกทะเลาะกัน
คติจากเรื่องนี้
การทะเลาะกันเพราะอาศัยเหตุเพียงเล็กน้อย   พึงฆ่าฟันกันตาย 
 ย่อมเป็นสิ่งที่คนฉลาดไม่พึงกระทำ				
1 กันยายน 2553 23:56 น.

หนุ่มบ้านนอก

กระต่ายใต้เงาจันทร์

หนุ่มบ้านนอกยากจนคนหนึ่ง เสี่ยงโชคเข้ามาหางานทำในกรุงเทพทั้งที่มิได้มีความรู้อะไรเลย

เนื่องจากได้ทราบข่าวที่เพื่อนเล่าให้ฟังว่ามีโรงเรียนแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพกำลังรับสมัคร นักการภารโรง ไม่จำกัดวุฒิการศึกษา

จึงจับรถมากรุงเทพและเดินกางแผนที่ (ที่เพื่อนเขียนให้)สุ่มถามชาวบ้านถึงที่ตั้งของโรงเรียนนั้นซึ่งกว่าจะเจอก็เหงื่อตกไปหลายปี๊บทีเดียวแหละ

เมื่อเข้าไปแจ้งความจำนงที่แผนกธุรการจึงมีเจ้าหน้าที่มาเรียกให้นั่ง< /SPAN>และยื่นใบสมัครมาให้กรอกข้อความ นายหนุ่มนั้นก็ยิ้มแหย ๆยกมือไหว้แล้วบอกอ่อย ๆ กับเจ้าหน้าที่ว่า

...ขอโทษครับพี่
ผม...คือว่า...
ผม...อ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้ครับ...

เจ้าหน้าที่ ท ี่นั่งรับสมัครอยู่นั้นชักสีหน้าทันที

...อะไรกัน คิดจะมาสมัครงานที่โรงเรียนถึงจะตำแหน่งแค่ นักการภารโรง
ถึงจะไม่ได้ใช้วุฒิการศึกษาแต่อย่างน้อยก็น่าจะอ่านออก เขียนได้ บ้างแหละ 

หนุ่มบ้านนอกหน้าซีดยกมือไหว้เจ้าหน้าที่ประหลก ๆ

...ผมไม่รู้หนังสือจริง ๆ ครับแต่ช่วยรับผมไว้หน่อยเถิดครับพี่ให้ผมแบกหามกวาดถูอะไรก็ได้ทุกอย่างครับ

งั้นก็คงจะไม่ได้หรอก. ..เจ้าหน้าที่เก็บใบสมัคร กับปากกาที่วางไว้ให้ คืนที่อย่างไม่มีเยื่อใย

...เรามาสมัครงานกับโรงเรียนนะอย่างน้อยก็ต้องมีพื้นรู้หนังสือบ้างสิถ้าไม่รู้อะไรเลยอย่างนี้ ก็เสียใจด้วยนะกลับไปเถอะ

หนุ่มบ้านนอกก็ได้แต่เดินออกจากโรงเรียนที่ตั้งความหวังว่าจะได้งานทำนั้นอย่างเงื่องหงอยและเมื่อไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ในกรุงเทพก็จึงต้องจำใจ กำเงินจำนวนสุดท้ายจับรถ ซมซานกลับบ้าน อย่างนกปีกหัก



แต่เมื่อกลับถึงบ้านจึงนึกขึ้นได้ว่าตนเองนั้นเพิ่งได้รับมรดกเป็นที่ดินสวนรกร้างเท่าแ มวดิ้นตายมาจากพ่อผู้ล่วงลับไปแล้ว

ด้วยความเจ็บใจจึงเกิดเป็นแรงมานะ ให้จับจอบเสียมหักร้างถางพง ที่ดินสวนเก่าที่รกร้างนั้นและค่อย ๆ พลิกฟื้นลงร่องผลไม้ไปทีละเล็กละน้อยอย่างฮึดสู้ชะตาชีวิต ด้วยความอดทน. . .



อาจเป็นบุญในปางบรรพ์ของพ่อหนุ่มคนนี้ก็ได้ที่ปรากฎว่า หลายปีต่อมา
สวนผลไม้ที่ลงแรงไว้นั้นออกผลอย่างงดงาม และสร้างผลกำไรมากทบทวีขึ้นทุกปี
กระทั่งสามารถเก็บเงินซื้อที่ดินในแปลงข้างเคียงขยายอาณาเขตสวนของตนเอง จนกว้างขึ้น และกว้างขึ้น. . .

หลายสิบปีต่อมาจากความขยันขันแข็ง มานะอดทนและประสบการณ์ที่เพิ่มพูน

บัดนี้หนุ่มบ้านนอกคนนั้นก็กลายเป็นชายชราที่คนทั้งเมืองรู้จักในนามของ พ่อเลี้ยงสวนผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดและภูมิภาคนั้น



อยู่มาปีหนึ่งเมื่อเก็บเกี่ยวผลไม้มากมายมหาศาลและชำระบัญน้ำบัญชีเรียบร้อย
โดยฝีมือของลูกหลานที่เลี้ยงดู ให้การศึกษาและแจกงานการให้ทำในสวนนั้นแล้ว

พ่อเลี้ยงชราก็หอบเงินเป็นฟ่อน นั่งรถเข้ามาในตัวอำเภอเพื่อขอเปิดบัญชีกับธนาคารเป็นครั้งแรก

เมื่อแจ้งนาม และความจำนงกับธนาคารแล้วพนักงานถึงกับตื่นเต้นกันยกใหญ่ผู้จัดการสาขาถึงกับเดินมาต้อนรับด้วยตัวเองเลยทีเดียว

เมื่อพนมมือไหว้ลูกค้าใหญ่ รายใหม่ อย่างนอบน้อมแล้วผู้จัดการก็แตะข้อต่อศอก
ยื่นใบเปิดบัญชีพร้อมปากกาปลอกทองให้กับพ่อเลี้ยงชราอย่างพินอบพิเทา

ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับทางเรารู้สึกเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสบริการพ่อเลี้ยงในครั้งนี้รบกวนกรอกใบเปิดบัญชีด้วยครับ

พ่อเลี้ยงชราส่ายหน้าช้าๆยื่นปากกาปลอกทองคืนให้กับผู้จัดการพร้อมกับยิ้มให้ พลางกล่าวเนิบๆ

พ่อหนุ่มช่วยกรอกรายการให้ลุงทีเถิดลุงอ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้หรอก...

ผู้จัดการรับปากกาคืนมาโดยอัตโนมัติแบบงงสุดขีดพลางค่อยๆอ้อมแอ้มถามลูกค้ารายใหญ่ (มาก ) อย่างเกรงใจสุดๆ

... เอ่อ...ผมไม่เคยทราบมาก่อนเลยครับ...
...เอ่อ...ขออนุญาตเรียนถามพ่อเลี้ยงด้วยความเคารพนิดหนึ่งเถิด ครับ
คือ...พวกเราในจังหวัดนี้ก็ทราบกันดีอยู่ถึงชื่อเสียงของพ่อเลี้ยงในกิจการสวนผลไม้ที่ใหญ่โตและเจริญก้าวหน้าที่สุดในภูมิภาคนี้
แต่... ผู้จัดการ ชะงัก ด้วยความเกรงใจ

และในที่สุดก็หลุดปากถามออกมาด้วยความฉงนที่มิอาจเก็บไว้ได้จริงจริง 

...แต่ พ่อเลี้ยงอ่านหนังสือไม่ออกและเขียนหนังสือไม่ได้ หรือครับ...

...พ่อหนุ่ม พ่อเลี้ยงชรายิ้มให้ผู้จัดการสาขาของธนาคารอย่างใจดี

...ถ้าลุงอ่านหนังสือออก และเขียนหนังสือได้น่ะนะ...

แกถอนหายใจยาว

ก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้ผู้จัดการถึงกับอึ้งไปนานเลยว่า

...ป่านนี้ ลุงก็คงได้เป็นภารโรงไปแล้วแหละ...


============ ========= ========= ========= =

คุณค่าของเราไม่ได้ขึ้นกับสิ่งที่คนอื่นมองเรา 
แต่ขึ้นอยู่กับตัวเรา 
โอกาสยังมีอยู่เสมอ ขอเพียงแต่มองไปรอบๆ 
ตั้งใจทำในสิ่งที่ทำได้ และทำให้เต็มความสามารถ
แล้วดอกผลจะตามมาเอง				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกระต่ายใต้เงาจันทร์
Lovings  กระต่ายใต้เงาจันทร์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกระต่ายใต้เงาจันทร์
Lovings  กระต่ายใต้เงาจันทร์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกระต่ายใต้เงาจันทร์
Lovings  กระต่ายใต้เงาจันทร์ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงกระต่ายใต้เงาจันทร์